เมษายน 2568: พอล แชมเบอร์ส นักวิชาการอเมริกันถูกกองทัพภาคที่ 3 ดำเนินคดี ม.112 ในขณะที่ศาลอาญาเริ่มสั่งห้ามเผยแพร่เหตุการณ์ในคดีสำคัญ

เดือนเมษายน 2568 มีคดีที่เกี่ยวเนื่องกับการแสดงออกทางการเมืองเพิ่มขึ้นใหม่ 7 คดี โดยมีหนึ่งคดีเป็นคดีของ ดร.พอล แชมเบอร์ส ในข้อหามาตรา 112 กรณีที่มีการเผยแพร่ข้อความแนะนำงานเสวนาทางวิชาการในเว็บไซต์ของสถาบัน ISEAS-Yusof Ishak โดยแม่ทัพภาคที่ 3 มอบอำนาจไปกล่าวหา

นอกจากนั้นเป็นคดี พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ ของกลุ่ม P-Move. อดีตแรงงานบริษัทยานภัณฑ์, สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) และสมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า (สชป.) ที่มาชุมนุมเรียกร้องประเด็นปัญหาที่บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล ทยอยได้รับหมายเรียกย้อนหลังจากการชุมนุมปี 2567 – 2568 

ในเดือนที่ผ่านมา ยังมีคำพิพากษาในคดีมาตรา 112 ออกมาอีกอย่างน้อยสองคดี ได้แก่ คดีของ “ตรัณ” ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำคุก 1 ปี 6 เดือน ไม่รอลงอาญา และศาลไม่อนุญาตประกันตัวในชั้นฎีกา ส่วนอีกคดีหนึ่งเป็นของ ‘พิมชนก’ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำพิพากษายืนให้จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา แต่ได้ประกันตัวในชั้นฎีกา

นอกจากนั้นยังมีคำพิพากษาในคดี ‘ทวงคืนหอศิลป์ มช.’ จากกรณีที่อาจารย์และนักศึกษาร่วมกันตัดโซ่และเข้าไปใช้พื้นที่ของหอศิลปวัฒนธรรมของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อจัดแสดงงานศิลปะประจำปีตามรายวิชาเรียน เมื่อปี 2564 โดยศาลพิพากษายกฟ้อง ระบุว่าคณะกรรมการหอศิลป์ฯ พิจารณาการขอใช้พื้นที่ล่าช้า และจำเลยกระทำโดยมีเหตุอันควร  ส่วนในคดีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ชุมนุมและการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองอีกอย่างน้อย 6 คดี 

และที่สำคัญในเดือนที่ผ่านมา พบว่าศาลอาญาเริ่มมีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาในรายคดี โดยเฉพาะในคดีมาตรา 112 และคดีจากการแสดงออกทางการเมืองที่ประชาชนให้ความสนใจ อย่างน้อย 4 คดี โดยระบุห้ามมิให้บุคคลใดนำเหตุการณ์ในห้องพิจารณาคดีและในศาลอาญาถ่ายทอดเผยแพร่สู่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต 

แนวโน้มการออกคำสั่งห้ามเผยแพร่ในหลายคดี โดยมีเนื้อหาเหมือนกันทุกตัวอักษรและออกโดยองค์คณะต่างกัน อาจสะท้อนว่าไม่ได้เกิดจากดุลยพินิจเฉพาะกรณีของผู้พิพากษาแต่ละราย แต่เป็นผลจากนโยบายจากผู้บริหารศาล ซึ่งอาจขัดต่อหลักการอิสระของตุลาการ (Judicial Independence) รวมถึงปัญหาการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม ซึ่งเป็นไปโดยเปิดเผยโปร่งใส และเปิดโอกาสให้สาธารณชนตรวจสอบการทำงานของศาลได้

.

นอกจากนั้น ศาลไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสาร และพยานบุคคลในคดีมาตรา 112 ของ ‘เบนจา’ กรณีปราศรัยในการชุมนุม #กระชากหน้ากากสยามไบโอไซน์ เมื่อปี 2564 แม้ทนายความยื่รคำร้องขอออกหมายเรียกถึงสี่ครั้งแล้วก็ตาม

และในเดือนที่ผ่านมา อัยการสูงสุดยังมีคำสั่งไม่ฟ้องนักกิจกรรมและประชาชนรวม 9 คน ในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ​ และข้อหาอื่น ๆ รวม 6 ข้อหา กรณีชุมนุม #ทวงคืนประเทศไทยขับไล่ปรสิต เพื่อรำลึกครบรอบ 1 ปี การเริ่มชุมนุมของ “เยาวชนปลดแอก” เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2564 หลังคดีถูกค้างคาอยู่ในชั้นสอบสวนกว่าสามปีเศษ

.

จากการติดตามของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ตั้งแต่เริ่มการชุมนุมของ “เยาวชนปลดแอก” เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2563 จนถึงวันที่ 30 เม.ย. 2568 มีประชาชนที่ถูกดำเนินคดีจากสถานการณ์ชุมนุมและการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ไปแล้วอย่างน้อย 1,972 คน ในจำนวน 1,325 คดี เมื่อเปรียบเทียบสถิติคดีกับในช่วงเดือนมีนาคม 2568 แล้ว มีจำนวนคดีเพิ่มขึ้น 7 คดี 

หากนับจำนวนบุคคลที่ถูกดำเนินคดีซ้ำในหลายคดี โดยไม่หักออก แต่นำจำนวนมาเรียงต่อกันแล้ว จะพบว่ามีจำนวนการถูกดำเนินคดีไปอย่างน้อย 4,046 ครั้ง

สำหรับสถิติการดำเนินคดี แยกตามข้อกล่าวหาสำคัญ ได้แก่

1. ข้อหา “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มีผู้ถูกกล่าวหาอย่างน้อย 279 คน ในจำนวน 312 คดี (จำนวนนี้อย่างน้อย 165 คดี ถูกดำเนินคดีเนื่องจากประชาชนร้องทุกข์กล่าวโทษ)

2. ข้อหา “ยุยงปลุกปั่น” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 มีผู้ถูกกล่าวหาอย่างน้อย 156 คน ในจำนวน 55 คดี

3. ข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มีผู้ถูกกล่าวหาอย่างน้อย 1,466 คน ในจำนวน 675 คดี

4. ข้อหาตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ มีผู้ถูกกล่าวหาอย่างน้อย 193 คน ในจำนวน 106 คดี

5. ข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มีผู้ถูกกล่าวหาอย่างน้อย 211 คน ในจำนวน 234 คดี

6. ข้อหาละเมิดอำนาจศาล อย่างน้อย 45 คน ใน 27 คดี และคดีดูหมิ่นศาล อย่างน้อย 37 คน ใน 11 คดี

จากจำนวนคดี 1,325 คดีดังกล่าวมีจำนวน 699 คดี ที่สิ้นสุดไปแล้ว (คดีบางส่วนไม่ได้สิ้นสุดลงทั้งคดี เช่น มีการอุทธรณ์คดีเฉพาะจำเลยบางคน แต่จำเลยบางคนคดีสิ้นสุดแล้ว) 

.

แนวโน้มการดำเนินคดีในช่วงเดือนเมษายน 2568 ที่ผ่านมา มีสถานการณ์สำคัญดังต่อไปนี้

พอล แชมเบอร์ส นักวิชาการอเมริกัน ถูกออกหมายจับหลังกองทัพภาคที่ 3 กล่าวหาคดีมาตรา 112 – ประชาชนที่ชุมนุมหน้าทำเนียบฯ ทยอยได้รับหมายเรียก พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ย้อนหลังจากเหตุปี 67

เดือนที่ผ่านมามีคดีมาตรา 112 เพิ่มอีกหนึ่งคดี คือคดีของ ดร.พอล แชมเบอร์ส (Dr. Paul Chambers) นักวิชาการสัญชาติอเมริกัน ประจำสถานประชาคมอาเซียนศึกษา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ถูกศาลจังหวัดพิษณุโลกออกหมายจับในคดีตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ กรณีที่มีการเผยแพร่ข้อความแนะนำงานเสวนาทางวิชาการในเว็บไซต์ของสถาบัน ISEAS-Yusof Ishak (สถาบันวิชาการของสิงคโปร์) ซึ่งคดีนี้มีแม่ทัพภาคที่ 3 มอบอำนาจในการแจ้งความร้องทุกข์  

หลังการแจ้งข้อกล่าวหา และตำรวจนำตัวไปขอฝากขัง ศาลจังหวัดพิษณุโลกกลับมีคำสั่งไม่ให้ประกันตัวระหว่างสอบสวน จากนั้นหลังอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 6 จึงอนุญาตให้ประกันตัว โดยให้ติดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

ต่อมา ดร.พอล ยังได้รับแจ้งคำสั่งจากตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร (วีซ่า) โดยอ้างเหตุผลว่ามี “พฤติการณ์ต้องหาว่ากระทำความผิด” ตามมาตรา 112 แต่ยังอยู่ระหว่างอุทธรณ์คำสั่ง

จนถึงเมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2568 สำนักงานอัยการสูงสุดเผยแพร่ข่าวว่า อธิบดีอัยการภาค 6 มีคำสั่งไม่ฟ้องคดีของ ดร.พอล โดยจะดำเนินการยื่นคำร้องขอปล่อยตัวต่อศาลจังหวัดพิษณุโลก และส่งสำนวนพร้อมความเห็นไม่ฟ้องไปยังผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 พิจารณาว่าจะมีความเห็นแย้งหรือไม่ 

ล่าสุด ในระหว่างรอการอุทธรณ์คำสั่งเพิกถอนวีซ่า มหาวิทยาลัยนเรศวรมีคำสั่งแจ้งยกเลิกการจ้างงาน ดร.พอล โดยอ้างว่าถูกเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร ทำให้เป็นบุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติในการทำงานในประเทศไทย

สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงปัญหาการถูกกล่าวหาในมาตรา 112 นอกจากจะสร้างผลกระทบในภาระทางคดีแล้ว ในกรณีของชาวต่างชาติกลับมีความซับซ้อนด้วยกระบวนการสั่งเพิกถอนวีซ่า ทั้งกระทบต่อชีวิตประจำวัน และการประกอบอาชีพภายในประเทศไทย แม้ในท้ายที่สุดจะไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหาเลยก็ตาม นอกจากนั้นกรณี ดร.พอล ยังมีแนวโน้มจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกาและไทยอีกด้วย

.

เดือนที่ผ่านมา กลุ่มภาคประชาชน ทั้งกลุ่ม P-Move, อดีตแรงงานบริษัทยานภัณฑ์, สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) และสมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า (สชป.) ที่มาชุมนุมเรียกร้องประเด็นปัญหาที่บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล ทยอยได้รับหมายเรียกย้อนหลังจากการชุมนุมปี 2567 – 2568 ในข้อหา พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ อีก 5 คดี 

ในคดีแรก กรณีชุมนุมติดตามการประชุม ครม. ว่าด้วยเรื่องแก้ไขปัญหาป่าไม้ที่ดิน โดยกลุ่มสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) และสมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า (สชป.) บริเวณทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2568 โดยผู้กล่าวหาคือ พ.ต.ท.สุรพันธ์ พันเปี่ยม และมีผู้ออกหมายเรียกข้อหา พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ทั้งสิ้น 7 คน 

คดีที่สอง กรณีชุมนุมติดตาม #พีมูฟทวงสิทธิ์ บริเวณข้างทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 8 ต.ค. 2567 โดยมี พ.ต.ท.ชัยธัช เชียงทา เป็นผู้กล่าวหา มีผู้ถูกออกหมายเรียกในข้อหา พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ทั้งสิ้น 5 คน

คดีที่สาม กรณีชุมนุมติดตาม #พีมูฟทวงสิทธิ์ บริเวณข้างทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2567  และคดีที่สี่ กรณีชุมนุมติดตาม #พีมูฟทวงสิทธิ์ บริเวณข้างทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 2567 โดยมี พ.ต.ท.ชัยธัช เชียงทา เป็นผู้กล่าวหาทั้งสองคดีในข้อหาตาม พ.ร.บ.ชุมนุมฯ พบว่ามีผู้ถูกออกหมายเรียกทั้งสองคดีคือ จำนงค์ หนูพันธ์

และคดีที่ 5 กรณีอดีตแรงงานบริษัทยานภัณฑ์ ชุมนุมติดตามเงินค่าชดเชยที่หน้าทำเนียบรัฐบาล หลังนายจ้างไม่จ่ายค่าชดเชย โดยมี พ.ต.ท.สุรพันธ์ พันเปี่ยม เป็นผู้กล่าวหา ยังอยู่ระหว่างรอติดตามว่ามีผู้ถูกออกหมายเรียกจำนวนเท่าใด

.

.

ศาลพิพากษาคดี ม.112 ว่ามีความผิดสองคดี – ไม่รอลงอาญา หนึ่งคดีเข้าเรือนจำก่อนได้ประกันตัว ส่วนอีกคดีไม่ได้ประกันตัว

ตลอดเดือนเมษายน 2568 ศาลมีคำพิพากษาคดีมาตรา 112 ออกมาอย่างน้อย 2 คดี ซึ่งล้วนเป็นคดีในชั้นอุทธรณ์ คำพิพากษาต่างยืนลงโทษว่ามีความผิด ไม่รอลงอาญา โดยมีหนึ่งคนได้ประกันตัว และมีหนึ่งคนไม่ได้ประกันตัว ดังนี้

คดีของ “ตรัณ” (นามสมมติ) ประชาชนจากกรุงเทพฯ วัย 25 ปี ถูกฟ้องจากกรณีคอมเมนต์ใต้ไลฟ์สดในเพจศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2564 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุก 1 ปี 6 เดือน  ไม่รอลงอาญา และต่อมาศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัว ทำให้เขาต้องถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ​ และเป็นผู้ต้องขังทางการเมืองคนล่าสุด

ในคดีของพิมชนก จิระไทยานนท์ (ใจหงษ์) นักกิจกรรมวัย 27 ปี ถูกกล่าวหาเนื่องจากโพสต์เฟซบุ๊กว่า ‘รัฐบาลส้นตีน สถาบันก็ส้นตีน🔥🙂’ เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 2565 โดยศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา และเข้าเรือนจำระหว่างรอการประกันตัว ต่อมาศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัว รวมระยะเวลาที่เธอถูกคุมขังทั้งสิ้น 4 วัน (28 เม.ย. – 1 พ.ค. 2568) 

.

.

ปัจจุบัน (6 พ.ค. 2568) ยังคงมีผู้ถูกคุมขังในเรือนจำจากการแสดงออกทางการเมือง หรือมีมูลเหตุเกี่ยวข้องกับการเมือง จำนวนอย่างน้อย 47 คน ในจำนวนนี้เป็นผู้ต้องขังที่ไม่ได้รับการประกันตัว อย่างน้อย 29 คน (เป็นคดีตามมาตรา 112 จำนวน 19 คน)

สำหรับสถานการณ์การยื่นประกันตัวผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดีและชั้นอุทธรณ์ในเดือนที่ผ่านมา ทนายความได้ยื่นประกันตัวหรืออุทธรณ์คำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัวไปไม่น้อยกว่า 3 คน ได้แก่ ดร.พอล แชมเบอร์ส, “แดง ชินจัง” และ อานนท์ นำภา โดยพบว่าศาลอุทธรณ์ภาค 6 อนุญาตให้ประกันตัว ดร.พอล แต่อย่างไรก็ตามในกรณีผู้ต้องขังรายอื่น ๆ ยังถูกศาลยกคำร้องเช่นเดิม

.

ศาลยกฟ้องคดีทวงคืนหอศิลป์ มช. เห็นว่าคณะกรรมการหอศิลป์ฯ พิจารณาการขอใช้พื้นที่ล่าช้า – จำเลยทั้งสามกระทำโดยมีเหตุอันควร

สำหรับคดี “ทวงคืนหอศิลป์ มช.” ของทัศนัย เศรษฐเสรี, ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ และ ยศสุนทร รัตตประดิษฐ์ ถูกฟ้องในข้อหาร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ และบุกรุกเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ฯ จากกรณีที่อาจารย์และนักศึกษาร่วมกันตัดโซ่และเข้าไปใช้พื้นที่ของหอศิลปวัฒนธรรมของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อจัดแสดงงานศิลปะประจำปีตามรายวิชาเรียน เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2564 

ศาลจังหวัดเชียงใหม่พิพากษายกฟ้อง โดยเห็นว่าการพิจารณาของคณะกรรมการล่าช้าเกินสมควร ทำให้จำเลยเข้าไปใช้พื้นที่เพื่อจัดแสดงงานศิลปะตามโครงการวิจัยของนักศึกษา เป็นการทวงสิทธิในการจัดแสดงงานศิลปะ และระหว่างจัดแสดง โจทก์ไม่ได้เข้าไปห้ามปรามหรือขับไล่ และต่อมาได้มีการอนุมัติรับรองผลการศึกษาจากการจัดแสดงงาน การกระทำของจำเลยจึงมีเหตุอันสมควร

.

ในเดือนที่ผ่านมาศาลมีคำพิพากษาในคดีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ชุมนุมและแสดงออกทางการเมืองอีกอย่างน้อย 6 คดี โดยมีคำพิพากษาลงโทษเป็นส่วนใหญ่

ในคดีของ “แจ็คกี้” ในข้อหาครอบครองวัตถุระเบิด และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ กรณีถูกจับกุมหน้าแฟลตดินแดง ขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนเข้าสลายการชุมนุม #ม็อบ6ตุลา64 และตำรวจอ้างว่าพบระเบิดแสวงเครื่อง (ระเบิดปิงปอง) จากการค้นตัว  

ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษากลับเป็นยกฟ้อง โดยเห็นว่าพยานโจทก์ที่อยู่ในเหตุการณ์ เบิกความไม่ตรงกันเรื่องจุดที่ตรวจพบของกลาง อีกทั้งจากการส่งของกลางไปตรวจพิสูจน์ก็ไม่พบลายพิมพ์นิ้วมือ และ DNA ของจำเลย จึงเป็นที่สงสัยตามสมควรว่าจำเลยมีวัตถุระเบิดในครอบครองหรือไม่

.

ส่วนในคดีของเอกชัย หงส์กังวาน ในข้อหาตาม พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ กรณีชุมนุมคนอยากเลือกตั้ง หรือ “คดี ARMY57” เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2561 โดยเอกชัยอุทธรณ์ว่าไม่ใช่เจ้าของเครื่องขยายเสียง จึงไม่มีหน้าที่ต้องขออนุญาตต่อเจ้าพนักงาน ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้จากโทษปรับอาญาเป็นปรับพินัย 200 บาท แต่ยังเห็นว่ามีความผิด

.

ในคดีของ พึ่งบุญ ใจเย็น กรณีขีดเขียนข้อความว่า “ประเทศทวย” บนแผ่นป้ายจราจรและเสาไฟฟ้า 14 จุดในเมืองเชียงใหม่ เมื่อช่วงปี 2563 ก่อนหน้านี้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 เห็นว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง โดยลงโทษจำคุก 1 ปี 4 เดือน และปรับ 6,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี แต่จำเลยได้ยื่นฎีกาต่อมา โดยเห็นว่าการกระทำไม่เข้าข่ายมาตรา 360 และมีบทบัญญัติตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ กำหนดเป็นการเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับความผิดต่อป้ายจราจร แต่จำเลยกลับถูกกล่าวหาและฟ้องในข้อหาที่มีโทษหนักกว่า แต่ศาลฎีกายังคงมีคำพิพากษายืนตามศาลออุทธรณ์ภาค 5

.

ส่วนคดีของ ‘โตโต้’ ปิยรัฐ จงเทพ, ‘เพนกวิน’ พริษฐ์ ชิวารักษ์ และ ‘รุ้ง’ ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ กรณีชุมนุม #StandWithMyanmar เพื่อต่อต้านการรัฐประหารในเมียนมา เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2564 ก่อนหน้านี้ศาลแขวงพระนครใต้มีคำพิพากษายกฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้มีความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ 

.

ในคดีของ “สมณะดาวดิน” นักบวชสันติอโศก กรณีถูกกล่าวหาแต่งกายเลียนแบบพระ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 208 ขณะเข้าไปรับทราบข้อกล่าวหาคดี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ​ ที่ สน.นางเลิ้ง เมื่อปี 2564 โดยศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ให้ลงโทษปรับ 10,000 บาท เนื่องจากเห็นว่าพฤติการณ์การแต่งกายของจำเลยทำให้วิญญูชนทั่วไปที่พบเห็นเข้าใจว่าเป็นพระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนา คดีลักษณะนี้ของสมณะดาวดินอีก 2 คดี ที่ศาลแขวงพระนครเหนือ พบว่าศาลกลับมีคำพิพากษายกฟ้อง 

.

สุดท้ายในคดีของนักกิจกรรม 9 คน ในข้อหาต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน, ทำให้เสียทรัพย์, บุกรุกสถานที่ในเวลากลางคืน และขัดคำสั่งเจ้าพนักงานฯ กรณีเข้าร่วมชุมนุมที่หน้า สน.สำราญราษฎร์ ในกิจกรรม #Saveหยก” เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 2566  ศาลอาญาพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้องให้จำคุกคนละ 2 ปี 10 วัน ไม่รอลงอาญา ต่อมาศาลอาญาอนุญาตให้ประกันตัวในชั้นอุทธรณ์

.

พบ 4 คดีที่ศาลอาญาเริ่มสั่งห้ามนำเหตุการณ์ในห้องพิจารณาคดีเผยแพร่สู่สาธารณะ 

ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคม 2568 พบว่าในการพิจารณาคดีของศาลอาญา ได้เริ่มมีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาในรายคดี ระบุห้ามมิให้บุคคลใดนำเหตุการณ์ในห้องพิจารณาคดีและในศาลอาญาถ่ายทอดเผยแพร่สู่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยเฉพาะในคดีมาตรา 112 และคดีจากการแสดงออกทางการเมืองที่ประชาชนให้ความสนใจแล้ว 4 คดี โดยเฉพาะคดีของอานนท์ นำภา

ทั้งหมดศาลมีคำสั่งลักษณะเดียวกันทั้งหมด แม้จะไม่ใช่องค์คณะเดียวกัน ความว่า “ห้ามมิให้บุคคลใดนำเหตุการณ์ในห้องพิจารณาคดีและในศาลอาญาถ่ายทอดเผยแพร่สู่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต มิฉะนั้น ศาลจะดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาลต่อไป“  

แนวโน้มการออกคำสั่งห้ามเผยแพร่ในหลายคดี โดยมีเนื้อหาเหมือนกันทุกตัวอักษร อาจสะท้อนว่าไม่ได้เกิดจากดุลยพินิจเฉพาะกรณีของผู้พิพากษาแต่ละราย แต่เป็นผลจากนโยบายจากผู้บริหารศาล อาจขัดต่อหลักการอิสระของตุลาการ (Judicial Independence) เพราะอำนาจในการออกคำสั่งจำกัดสิทธิควรอยู่ภายใต้การพิจารณาในคดีอย่างเฉพาะเจาะจง มิใช่แนวนโยบายแบบเหมารวม อีกทั้งกระทบต่อการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม ซึ่งศาลควรพิจารณาให้เป็นไปโดยเปิดเผยโปร่งใส และเปิดโอกาสให้สาธารณชนทั่วไปตรวจสอบการทำงานของศาลได้

.

ศาลไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสาร-พยานบุคคลในคดี 112 ของ “เบนจา” ระบุว่าต้องทราบข้อมูลก่อนถูกกล่าวหา

ในเดือนเมษายน 2568 ยังพบสถานการณ์ที่ศาลไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารสำคัญและพยานบุคคลให้ฝ่ายจำเลยในการสืบพยานในคดีมาตรา 112 ของเบนจา อะปัญ กรณีปราศรัยในการชุมนุม #กระชากหน้ากากสยามไบโอไซน์ เมื่อวันที่ 25 ม.ค. 2564

ในระหว่างการสืบพยานของคดีเบนจา ศาลยังคงไม่ออกหมายเรียกพยานบุคคลพยานเอกสารให้ 3 รายการ ถึงแม้ว่าทนายจำเลยยื่นคำร้องที่ระบุถึงความจำเป็นในการออกหมายเรียกไปแล้วถึง 4 ครั้ง ในเอกสารเกี่ยวกับการผลิตวัคซีนโควิด

.

นอกจากนั้นแล้วในเดือนที่ผ่านมา อัยการสูงสุดยังมีคำสั่งไม่ฟ้องนักกิจกรรมและประชาชนรวม 9 คน ในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ​, มาตรา 215 วรรคหนึ่งและวรรคสอง, มาตรา 216  กรณีชุมนุม #ทวงคืนประเทศไทยขับไล่ปรสิต เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2564 หลังคดีค้างอยู่ในชั้นสอบสวนกว่าสามปีเศษ  คำสั่งไม่ฟ้องระบุโดยสรุปว่า เป็นการชุมนุมที่เริ่มต้นด้วยความสงบ ปราศจากอาวุธ อันเป็นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนโดยชอบที่รัฐธรรมนูญ

ในภาพรวม มีคดีข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จากการชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ปี 2563 ที่พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีไปแล้วอย่างน้อย 71 คดี แต่ก็มีคดีจำนวนมากที่อัยการสั่งฟ้องต่อศาล โดยแนวโน้มคดีที่ต่อสู้ในชั้นศาลนั้นมีแนวโน้มที่จะยกฟ้องมากกว่าลงโทษ

X