วันที่ 24 เม.ย. 2568 เวลา 9.00 น. ศาลอาญากรุงเทพใต้นัดสืบพยานโจทก์ในคดีมาตรา 112 และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ของ “เบนจา อะปัญ” นักกิจกรรมจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จากกรณีปราศรัยในการชุมนุม #กระชากหน้ากากสยามไบโอไซน์ หน้าอาคารศรีจุลทรัพย์ ที่ทำการของบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ เมื่อวันที่ 25 ม.ค. 2564
คดีนี้มีการสืบพยานโจทก์ไปแล้วบางส่วนระหว่างวันที่ 25 – 26 มี.ค. และ 23 – 24 เม.ย. 2568 และจะมีสืบพยานโจทก์ต่อในวันที่ 16 พ.ค. 2568 โดยในระหว่างการสืบพยาน ศาลยังไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารสำคัญให้ ตามบัญชีระบุพยานจำเลย ลำดับที่ 18 ถึง 20 จำนวน 3 รายการ ได้แก่
- สัญญาจ้างผลิตวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโควิด 2019 ระหว่างบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด กับบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด
- สัญญารับงบประมาณระหว่างสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กับบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด อยู่ที่ สถาบันวัคซีนแห่งชาติ และบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด
- บันทึกการประชุมของคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติและเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดกับการวางเงื่อนไขคุณสมบัติและรายละเอียดของเอกชนที่จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐในการผลิตวัคซีน
ทนายจำเลยจึงยื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายเรียกพยานเอกสารข้างต้นไปถึง 3 ครั้งแล้ว แต่ศาลอาญากรุงเทพใต้ก็ยังคงมีคำสั่งไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารให้
ครั้งแรก ศาลมีคำสั่งตามคำร้องแถลงความเกี่ยวพันและความจำเป็นในการออกหมายเรียกพยานเอกสารให้แก่จำเลย ลงวันที่ 26 มี.ค. 2568 ระบุว่า “พิเคราะห์คำร้องประกอบคำขอหมายเรียกของจำเลยแล้ว เห็นว่า พยานหลักฐานที่จำเลยขอหมายเรียกไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นในคดี ทั้งเป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ชัดแจ้งก่อนอยู่แล้ว จึงจะนำข้อมูลมากล่าวหาจนเป็นการกระทำความผิดตามฟ้อง จึงไม่มีเหตุที่จะออกหมายเรียกให้ ยกคำร้อง”
ครั้งที่สอง ศาลมีคำสั่งตามคำแถลงเกี่ยวกับพยานลำดับที่ 18 – 20 ลงวันที่ 8 เม.ย. 2568 ในทำนองเดียวกันว่า “พิเคราะห์ตามคำร้องแล้ว พยานหลักฐานตามหมายเรียกเป็นเรื่องที่จำเลยย่อมทราบมาก่อนที่จะนำมากล่าวเป็นถ้อยคำตามที่โจทก์อ้างในคำฟ้อง จึงไม่มีเหตุที่จะออกหมายเรียกให้”
จำเลยเห็นว่าคำสั่งทั้งสองข้างต้นมิใช่เหตุผลตามกฎหมายอันเป็นเหตุให้ไม่สามารถออกหมายเรียกพยานเอกสารได้ และเป็นการวินิจฉัยเสมือนว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดแล้ว และไม่ให้โอกาสจำเลยในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่
ครั้งที่สาม ศาลมีคำสั่งตามคำร้องขอออกหมายเรียกพยานเอกสาร ลงวันที่ 23 เม.ย. 2568 ระบุว่า “พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าพยานเอกสารที่ทนายจำเลยขอออกหมายเรียกตามคำร้อง เป็นพยานที่ทนายจำเลยเคยขอให้ศาลออกหมายเรียกและศาลเคยมีคำสั่งยกคำร้องแล้ว ตามคำร้องไม่มีเหตุเพิ่มเติมจากคำร้องในครั้งก่อน จึงให้ยกคำร้อง”
และในวันที่ 23 เม.ย. 2568 ทนายความยังได้ยื่นคำร้องขอให้ไต่สวนคำร้องขอออกหมายเรียกพยานเอกสาร เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง รวมทั้งเหตุผลและความจำเป็น แต่ศาลมีคำสั่งยกคำร้อง ระบุว่า “ศาลได้มีคำสั่งในคำร้องขอออกหมายเรียกพยานแล้วว่าให้ทนายจำเลยแถลงว่าพยานที่เหลือที่ศาลไม่ออกหมายเรียกให้มีความเกี่ยวข้องกับประเด็นแห่งคดีอย่างไร จึงเป็นเรื่องที่ทนายจำเลยจะต้องยื่นคำแถลงมา ไม่มีเหตุที่จะต้องไต่สวน ยกคำร้อง”
นอกจากนี้ ในวันที่ 8 เม.ย. 2568 ศาลยังไม่ออกหมายเรียกพยานบุคคลให้ ตามบัญชีระบุพยานจำเลย ลำดับที่ 7 ถึง 17 จำนวน 11 คน
.
ศาลไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารให้เป็นครั้งที่ 4 ระบุจำเลยต้องทราบข้อมูลมาก่อนถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด – ไม่ออกหมายเรียกพยานบุคคลให้ เนื่องจากเป็นข้าราชการระดับผู้บริหาร และบัญชีพยานระบุตำแหน่ง แต่ไม่ระบุชื่อ
วันนี้ (24 เม.ย. 2568) ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 505 ทนายจำเลยจึงยื่นคำร้องขอออกหมายเรียกพยานเอกสารอีกเป็นครั้งที่ 4 และสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2568 ศาลได้มีคำสั่งให้ทนายจำเลยที่ 2 ยื่นคำแถลงว่าพยานบุคคลลำดับที่ 7 ถึง 17 มีความเกี่ยวข้องกับประเด็นแห่งคดีอย่างไร ทนายความจึงยื่นคำแถลงความเกี่ยวพันและความจำเป็นในการออกหมายเรียกพยานบุคคลลำดับที่ 7 ถึง 17 ด้วย
คำร้องขอออกหมายเรียกพยานเอกสาร ลงวันที่ 24 เม.ย. 2568 มีเนื้อหาโดยสรุปว่า จำเลยมีความประสงค์ที่จะขอออกหมายเรียกพยานเอกสารอันดับที่ 18 ถึง 20 เนื่องจากโจทก์ฟ้องว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และอ้างอิงการกระทำของจำเลยเกี่ยวกับกรณีของบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ และเกี่ยวกับการจัดการวัคซีนของรัฐบาลไทยในช่วงโควิด รวมไปถึงการจัดสรรและผลิตวัคซีน
อีกทั้งในการสืบพยาน โจทก์ได้นำบุคคลที่ต้องทราบถึงข้อเท็จจริงอันปรากฏในพยานเอกสารทั้งสามลำดับเข้าระบุเป็นพยานของโจทก์ เพื่อนำสืบพิสูจน์ความผิดของจำเลย พยานเอกสารทั้งสามอันดับจึงมีความสำคัญในการที่ทนายจำเลยจะใช้ถามค้าน ซักถาม หรือทำลายน้ำหนักพยานซึ่งเป็นสิทธิของจำเลยในการต่อสู้คดีตามกฎหมาย
ด้วยเหตุดังกล่าว จำเลยจึงมีความประสงค์ที่จะขอออกหมายเรียกพยานเอกสารทั้งสามลำดับ แต่เนื่องจากในวันนี้การสืบพยานของโจทก์ดำเนินมาจนเกือบสิ้นสุดลงแล้ว และศาลยังไม่มีการอนุญาตให้ออกหมาย หากศาลมีความเห็นว่าทนายจำเลยต้องทำคำแถลงเพิ่มเติม ทนายจำเลยขอให้ศาลทำการไต่สวนคำร้องนี้ในวันนี้โดยทันที เพื่อนำเสนอพยานหลักฐานรวมถึงเอกสารประกอบดุลยพินิจของศาลให้ติดสำนวนไว้ และเพื่อให้จำเลยใช้สิทธิทางกฎหมายในการอุทธรณ์ ฎีกา อันหนึ่งอันใดได้ต่อไป
.
ส่วนคำแถลงความเกี่ยวพันและความจำเป็นในการออกหมายเรียกพยานบุคคลลำดับที่ 7 ถึง 17 ลงวันที่ 24 มิ.ย. 2568 ระบุโดยสรุป 3 ประเด็น ดังนี้
ประเด็นที่หนึ่ง พยานบุคคลที่ขอหมายเรียกเป็นผู้เกี่ยวข้องกับการจัดการวัคซีน – ทราบดีเกี่ยวกับทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ – เป็นพยานที่มีตำแหน่งในบริษัทแอสตร้าฯ สยามไบโอไซน์ และ SCG เช่นเดียวกับพยานโจทก์
เนื่องจากโจทก์ฟ้องมาอย่างชัดเจนว่าการวิพากษ์วิจารณ์การจัดการวัคซีนของภาครัฐ การพูดถึงการผูกขาดวัคซีน การวิพากษ์วิจารณ์บริษัทสยามไบโอไซเอนท์ จำกัด การพูดถึงหุ้น และพูดถึง SCG หรือบริษัทปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) รวมถึงการกระทำหน้าที่ของรัฐมนตรีต่าง ๆ เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีระกูล ตามฟ้อง เป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
พยานบุคคลและพยานเอกสารตามบัญชีพยานของจำเลยฉบับลงวันที่ 27 พ.ค. 2567 จึงมีความเกี่ยวพันโดยตรงกับประเด็นแห่งคดี
พยานอันดับที่ 7 คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้ควบคุมรัฐบาลในขณะนั้น และเป็นผู้มีอำนาจสั่งการการจัดการวัคซีนรวมถึงรู้เห็นเรื่องการจัดการวัคซีน
พยานอันดับที่ 8 และ 9 คือ พลเอกสถิตย์พงษ์ สุขวิมล เป็นราชเลขานุการในพระองค์ และเป็นเลขาธิการสำนักพระราชวัง และผู้อำนวยการสำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เหล่านี้เป็นพยานที่ทราบดีถึงทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ รวมไปถึงการถือหุ้น หรือการดำเนินกิจการทางการเงิน
พยานอันดับที่ 10 คือ นายอนุทิน ชาญวีรกุล มีชื่อปรากฏอยู่ตามถ้อยคำตามฟ้องของโจทก์ เป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์เกี่ยวกับถ้อยคำที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้
พยานอันดับที่ 11 ถึง 13 คือ ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโควิด 2019, ประธานคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ และประธานคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เป็นผู้มีส่วนรู้เห็นเรื่องการจัดหาป้องกันวัคซีน การผลิตวัคซีน สถานการณ์โรควัคซีนและการจัดจำหน่ายหรือจัดสรรวัคซีนของรัฐบาล รวมไปถึงการวางแบบแผนนโยบายในการจัดสรรและจัดหาวัคซีนของรัฐบาล อันเป็นเนื้อหาตรงตามที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลย
พยานอันดับที่ 14 ถึง 17 คือ กรรมการผู้มีอำนาจแทน บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า จำกัด (สหราชอาณาจักร), กรรมการผู้มีอำนาจแทน บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด, กรรมการผู้มีอำนาจแทน บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด และกรรมการผู้มีอำนาจแทน บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด เป็นพยานที่อยู่ในตำแหน่งเดียวกันกับพยานที่โจทก์เรียกมาเพื่อนำสืบพิสูจน์ความผิดของจำเลย อยู่ในประเด็นการฟ้องของโจทก์อย่างแน่นอนทุกประการ
ประเด็นที่สอง การขอหมายเรียกพยานบุคคลเป็นช่องทางปรกติปฏิบัติตามกระบวนการของศาล – การไม่ออกหมายเรียกต้องมีเหตุผลตามที่กฎหมายกำหนด แต่กรณีนี้ไม่มี
การขอออกหมายเรียกพยานบุคคลเหล่านี้ เป็นการใช้ช่องทางตามกระบวนการของศาลอันเป็นช่องทางทั่วไปอันประชาชนกระทำกันเป็นปรกติปฏิบัติ โดยพยานทุกลำดับที่กล่าวถึงข้างต้นมีความเกี่ยวพันกับฟ้องอย่างชัดเจน และมีประเด็นที่จะต้องซักถามเพื่อให้สิ้นสงสัย ไม่มีพยานปากใดเลยที่อยู่นอกเหนือขอบเขตแห่งคดีตามที่โจทก์ได้ร่างฟ้องไว้ พยานทุกปากเป็นผู้รู้เห็นข้อเท็จจริงถึงเหตุการณ์อันเป็นสาระสำคัญอันโจทก์นำมาใช้เป็นหลักในการกล่าวหาจำเลยและได้นำสืบมาแล้วจนถึงปัจจุบัน
เพราะฉะนั้นแล้ว การออกหมายเรียกพยานทุกอันดับดังกล่าวข้างต้นจึงมีความสำคัญต่อการพิสูจน์ความผิดหรือความบริสุทธิ์ของจำเลยเป็นอย่างยิ่ง การไม่ออกหมายเรียกให้จะต้องมีเหตุผลตามที่กฎหมายกำหนด แต่เนื่องจากในกรณีนี้ไม่มีกฎหมายกำหนดอนุญาตไว้ จึงขอให้ศาลพิจารณาออกหมายเรียกให้ตามกฎหมายด้วย
ประเด็นที่สาม จำเลยมีสิทธิที่จะได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์และมีสิทธิในการต่อสู้คดีอย่างเป็นธรรม ซึ่งต้องสอดคล้องกับกฎหมายของไทยและสากล
เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่ใช้ระบบกล่าวหาอยู่ในระบบศาลและในระบบกระบวนการยุติธรรม โดยไม่ใช่เป็นระบบไต่สวนซึ่งให้อำนาจศาลในการเข้าทำการสืบค้นข้อเท็จจริง จึงเป็นกรณีที่ต้องมีหลักประกันสิทธิของผู้ต้องหาและจำเลยในคดีอาญา เป็นไปตามหลักการที่ปรากฏอย่างชัดแจ้งในรัฐธรรมนูญและวิธีพิจารณาความอาญา
เพราะฉะนั้นแล้ว จำเลยในคดีอาญาจึงต้องมีสิทธิในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ และมีสิทธิไม่ถูกถามให้ซ้ำเติมความผิดตัวเอง มีสิทธิในการไม่ยืนยันข้อเท็จจริงอันเป็นโทษต่อตนเอง มีสิทธิที่จะได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ และมีสิทธิที่จะได้รับการปกป้องภายใต้หลักการของการต่อสู้คดีอย่างเป็นธรรม (Fair Trial)
ทั้งนี้ สอดคล้องกับหลักกฎหมายทั้งของไทยและสากล รวมถึงภาคีพันธสัญญานานาชาติที่ไทยได้ให้การรับรองและเป็นสมาชิกไว้ ซึ่งศาลเป็นองค์กรของรัฐและเป็นองค์กรภายใต้ภาคีที่รัฐไทยได้ให้สัญญาหรือสัตยาบันไว้อย่างแน่นอน
.
ด้วยเหตุผลข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายทั้งหมดที่ได้เรียนต่อศาลข้างต้น ขอให้ศาลออกหมายเรียกพยานบุคคลทั้งหมดดังกล่าว เพื่อให้จำเลยได้นำหมายเรียกไปส่งด้วยตนเองด้วย เพื่อเป็นหลักประกันว่าศาลได้ใช้กลไกที่มีเพื่อปกป้องและให้สิทธิของจำเลยในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่แล้ว
.
ต่อมา พนักงานอัยการนำพยานโจทก์เข้าสืบอีกจำนวน 2 ปาก เมื่อสืบพยานโจทก์ที่เดินทางมาศาลในวันนี้เสร็จสิ้น ศาลได้แจ้งคำสั่งตามคำร้องทั้ง 2 ฉบับข้างต้น ดังนี้
คำสั่งตามคำร้องขอออกหมายเรียกพยานเอกสาร ลงวันที่ 24 เม.ย. 2568 ระบุว่า “พยานที่ทนายจำเลยขอหมายเรียก ศาลเคยวินิจฉัยแล้วว่าเป็นเรื่องที่จำเลยต้องทราบข้อมูลมาก่อนแล้ว ก่อนที่จะถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดในคดีนี้ จึงไม่ออกหมายเรียกให้ ยกคำร้อง”
คำสั่งตามคำแถลงความเกี่ยวพันและความจำเป็นในการออกหมายเรียกพยานบุคคลลำดับที่ 7 ถึง 17 ลงวันที่ 24 มิ.ย. 2568 ระบุว่า “พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าพยานอันดับที่ 7 ถึง 10 เป็นข้าราชการระดับผู้บริหาร จึงให้ประสานกับพยานก่อนว่าจะมาเป็นพยานให้หรือไม่ ส่วนพยานอันดับที่ 11 ถึง 13 และพยานอันดับที่ 15 ถึง 17 ยังไม่ได้ระบุชื่อว่าเป็นผู้ใด จึงไม่พิจารณาให้”
ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนในคดีนี้ ได้แก่ จิรศักดิ์ ศิริรักษ์