ศาลอาญากรุงเทพใต้ไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารเป็นครั้งที่ 3 คดี ม.112 “เบนจา” กรณีปราศรัยหน้าสยามไบโอไซน์ – ไม่ให้ไต่สวนเหตุผลและความจำเป็น

วันที่ 23 เม.ย. 2568 เวลา 9.00 น. ศาลอาญากรุงเทพใต้นัดสืบพยานโจทก์ในคดีมาตรา 112 และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ของ “เบนจา อะปัญ” นักกิจกรรมจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จากกรณีปราศรัยในการชุมนุม #กระชากหน้ากากสยามไบโอไซน์ หน้าอาคารศรีจุลทรัพย์ ที่ทำการของบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ เมื่อวันที่ 25 ม.ค. 2564

คดีนี้มีการสืบพยานโจทก์ไปแล้วบางส่วนระหว่างวันที่ 25 – 26 มี.ค. และ 23 เม.ย. 2568 และจะมีสืบพยานโจทก์ต่อในวันพรุ่งนี้ (24 เม.ย. 2568) โดยในระหว่างการสืบพยาน ศาลยังไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารสำคัญให้ ตามบัญชีระบุพยานจำเลย ลำดับที่ 18 ถึง 20 จำนวน 3 รายการ ได้แก่ 

  1. สัญญาจ้างผลิตวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโควิด 2019 ระหว่างบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด กับบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด 
  2. สัญญารับงบประมาณระหว่างสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กับบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด อยู่ที่ สถาบันวัคซีนแห่งชาติ และบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด
  3. บันทึกการประชุมของคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติและเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดกับการวางเงื่อนไขคุณสมบัติและรายละเอียดของเอกชนที่จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐในการผลิตวัคซีน

ทนายจำเลยจึงยื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายเรียกพยานเอกสารข้างต้นไปถึง 2 ครั้ง โดยทั้งสองครั้งศาลมีคำสั่งให้ทนายจำเลยแถลงว่ามีเหตุผลใดที่จะต้องใช้เอกสารตามที่หมายเรียก อย่างไรก็ตาม แม้ทนายจำเลยจะยื่นคำแถลงเพื่ออธิบายถึงความสำคัญของพยานเอกสารเพื่อใช้ในการต่อสู้คดี ศาลอาญากรุงเทพใต้ก็ยังคงมีคำสั่งไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารให้

ครั้งแรก ศาลมีคำสั่งตามคำร้องแถลงความเกี่ยวพันและความจำเป็นในการออกหมายเรียกพยานเอกสารให้แก่จำเลย ลงวันที่ 26 มี.ค. 2568 ระบุว่า “พิเคราะห์คำร้องประกอบคำขอหมายเรียกของจำเลยแล้ว เห็นว่า พยานหลักฐานที่จำเลยขอหมายเรียกไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นในคดี ทั้งเป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ชัดแจ้งก่อนอยู่แล้ว จึงจะนำข้อมูลมากล่าวหาจนเป็นการกระทำความผิดตามฟ้อง จึงไม่มีเหตุที่จะออกหมายเรียกให้ ยกคำร้อง”

ในครั้งที่สอง ศาลมีคำสั่งตามคำแถลงเกี่ยวกับพยานลำดับที่ 18 – 20 ลงวันที่ 8 เม.ย. 2568 ในทำนองเดียวกันว่า “พิเคราะห์ตามคำร้องแล้ว พยานหลักฐานตามหมายเรียกเป็นเรื่องที่จำเลยย่อมทราบมาก่อนที่จะนำมากล่าวเป็นถ้อยคำตามที่โจทก์อ้างในคำฟ้อง จึงไม่มีเหตุที่จะออกหมายเรียกให้”

จำเลยเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวมิใช่เหตุผลตามกฎหมายอันเป็นเหตุให้ไม่สามารถออกหมายเรียกพยานเอกสารได้ และเป็นการวินิจฉัยเสมือนว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดแล้ว และไม่ให้โอกาสจำเลยในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ 

นอกจากนี้ ในวันที่ 8 เม.ย. 2568 ศาลยังมีคำสั่งไม่ออกหมายเรียกพยานบุคคลให้ ตามบัญชีระบุพยานจำเลย ลำดับที่ 7 ถึง 17 จำนวน 11 คน ได้แก่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา, พลเอกสถิตย์พงษ์ สุขวิมล, เลขาธิการพระราชวัง, อนุทิน ชาญวีรกุล, ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโควิด 2019, ประธานคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ, ประธานคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ, กรรมการผู้มีอำนาจแทน บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า จำกัด (สหราชอาณาจักร), กรรมการผู้มีอำนาจแทน บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด, กรรมการผู้มีอำนาจแทน บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด และกรรมการผู้มีอำนาจแทน บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด

.

ในวันนี้ (23 เม.ย. 2568) ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 505 ทนายจำเลยจึงยื่นคำร้องขอออกหมายเรียกพยานเอกสารอีกเป็นครั้งที่ 3 พร้อมคำร้องขอให้ไต่สวนคำร้องขอออกหมายเรียกพยานเอกสาร 

คำร้องขอให้ไต่สวนคำร้องขอออกหมายเรียกพยานเอกสาร ลงวันที่ 23 เม.ย. 2568 มีเนื้อหาโดยสรุปว่า จำเลยยืนยันว่าพยานบุคคลและพยานเอกสารดังกล่าวมีความจำเป็นต่อการสู้คดีนี้ และเกี่ยวพันโดยตรงกับการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของจำเลย แม้ภายหลังการสืบพยาน ศาลอาญากรุงเทพใต้จะพิจารณาชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแล้วมีความเห็นเป็นเช่นใด ก็สมควรที่จะต้องให้โอกาสจำเลยในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ อันเป็นสิทธิและเป็นหลักประกันของสิทธิของผู้ต้องหาและจำเลยในคดีอาญาของประเทศไทย

เพราะฉะนั้นแล้ว ในการร้องขอออกหมายเรียกพยานบุคคลลำดับที่ 7 ถึง 17 ตามคำร้องฉบับวันที่ 8 เม.ย. 2568 ซึ่งศาลมีคำสั่งให้จำเลยแถลงว่ามีความจำเป็นเกี่ยวข้องกับคดีอย่างไร และในการขอออกหมายเรียกพยานเอกสารลำดับที่ 18 ถึง 20 ตามคำร้องวันนี้ จำเลยที่ 2 มีความประสงค์ขอให้ศาลทำการไต่สวน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง รวมทั้งเหตุผลและความจำเป็น รวมถึงให้มีการบันทึกถ้อยคำพยานเกี่ยวกับความจำเป็นและความเกี่ยวพันกับคดีดังกล่าว เพื่อประกอบการพิจารณาและเพื่อแสดงเหตุผลอันสมควรที่จะให้ออกหมายเรียกให้แก่จำเลย เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม และเพื่อให้สิทธิจำเลยในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ 

นอกจากนี้ ทนายจำเลยยังแถลงต่อศาลว่า ขอให้ศาลไต่สวนตามคำร้องขอออกหมายเรียกพยานเอกสารเพื่อให้ศาลมีรายละเอียดในการใช้ดุลยพินิจมากขึ้น และเพื่อให้มีเรื่องดังกล่าวอยู่ในสำนวนเมื่อถูกส่งไปให้ศาลสูงพิจารณา 

ทนายจำเลยแถลงยกตัวอย่างคดีมาตรา 112 ของ “ตะวัน” ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ กรณีไลฟ์สดทางเฟซบุ๊กส่วนตัวอยู่บริเวณทางเท้าบนถนนราชดำเนินนอก ก่อนที่จะมีขบวนเสด็จของในหลวงรัชกาลที่ 10 ซึ่งศาลอาญาออกหมายเรียกพยานเอกสารเกี่ยวกับขบวนเสด็จของรัชกาลที่ 10 พระราชินี และพระบรมวงศานุวงศ์ให้แก่จำเลย โดยระบุว่าพยานเอกสารดังกล่าวเป็นข้อมูลที่ละเอียดอ่อนมากกว่าพยานเอกสารที่ขอหมายเรียกในคดีนี้อีกด้วย

เบนจาแถลงต่อศาลเพิ่มเติมว่า ขอให้ศาลเรียกพยานเอกสารมาเพื่อประโยชน์ในการต่อสู้คดีของจำเลย แต่ศาลกล่าวว่า เมื่อเป็นประโยชน์กับจำเลย จำเลยก็ต้องหามาเอง ไม่ใช่ให้ศาลหาให้

เบนจาแถลงเพิ่มเติมว่า ต่อให้จำเลยนำพยานหลักฐานมา ศาลจะเชื่อว่าเป็นของจริงหรือไม่ การได้รับข้อเท็จจริงจากต้นฉบับจะน่าเชื่อถือมากที่สุด

ศาลกล่าวยกตัวอย่างว่า เราไปด่าเขาโง่ เรามีหลักฐานหรือไม่ว่าเขาโง่ก่อนที่จะด่า ก่อนพูดจะต้องมีข้อมูล ทนายจำเลยจึงโต้แย้งว่า หากมีคนกล่าวหาว่าผมฆ่าคน แต่ผมไม่ได้ฆ่า ผมรู้ว่ามีกล้องวงจรปิดแต่ไม่สามารถเอามาได้ ศาลก็ต้องออกหมายเรียกให้ 

อย่างไรก็ตาม ศาลแจ้งว่า ตามคำร้องที่ทนายจำเลยยื่นมาในวันนี้ ศาลต้องนำไปปรึกษาก่อน จึงจะมีคำสั่ง

ต่อมา พนักงานอัยการนำพยานโจทก์เข้าสืบต่อในช่วงเช้าจำนวน 2 ปาก และช่วงบ่ายอีก 1 ปาก เมื่อสืบพยานโจทก์ที่เดินทางมาศาลในวันนี้เสร็จสิ้น ศาลได้แจ้งคำสั่งตามคำร้องทั้ง 2 ฉบับข้างต้น ดังนี้

คำสั่งตามคำร้องขอออกหมายเรียกพยานเอกสาร ลงวันที่ 23 เม.ย. 2568 ระบุว่า “พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าพยานเอกสารที่ทนายจำเลยขอออกหมายเรียกตามคำร้อง เป็นพยานที่ทนายจำเลยเคยขอให้ศาลออกหมายเรียกและศาลเคยมีคำสั่งยกคำร้องแล้ว ตามคำร้องไม่มีเหตุเพิ่มเติมจากคำร้องในครั้งก่อน จึงให้ยกคำร้อง”

คำสั่งตามคำร้องขอให้ไต่สวนคำร้องขอออกหมายเรียกพยานเอกสาร ลงวันที่ 23 เม.ย. 2568 ระบุว่า “ศาลได้มีคำสั่งในคำร้องขอออกหมายเรียกพยานแล้วว่าให้ทนายจำเลยแถลงว่าพยานที่เหลือที่ศาลไม่ออกหมายเรียกให้มีความเกี่ยวข้องกับประเด็นแห่งคดีอย่างไร จึงเป็นเรื่องที่ทนายจำเลยจะต้องยื่นคำแถลงมา ไม่มีเหตุที่จะต้องไต่สวน ยกคำร้อง”


ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนในคดีนี้ ได้แก่ จิรศักดิ์ ศิริรักษ์

X