28 เม.ย. 2568 เวลา 09.00 น. ที่ห้องพิจารณา 811 ศาลอาญา มีนัดฟังคำพิพากษาในคดีของนักกิจกรรม 9 คน ประกอบไปด้วย “ออย” สิทธิชัย (สงวนนามสกุล), “สายน้ำ”, “ตะวัน” ทานตะวัน ตัวตุลานนท์, “แบม” อรวรรณ (สงวนนามสกุล), ธีรภัทร (สงวนนามสกุล), “มอส” รณกร (สงวนนามสกุล), “แก๊ป” จิรภาส (สงวนนามสกุล), “แบงค์” ณัฐพล (สงวนนามสกุล) และ “บังเอิญ” (นามสมมติ) จากกรณีเข้าร่วมชุมนุมที่หน้า สน.สำราญราษฎร์ ในกิจกรรม “ใครใคร่ ด่า ด่า ใครใคร่สาด สาด #Saveหยก” เพื่อทวงถามการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในคดีของ ‘หยก’ นักกิจกรรมเยาวชน วัย 15 ปี ที่ถูกคุมขังจากคดีมาตรา 112 เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 2566
ย้อนไปเมื่อวันที่ 10 พ.ค. 2566 นักกิจกรรมทั้ง 9 คน ได้เข้าร่วมชุมนุมที่หน้า สน.สำราญราษฎร์ เพื่อทวงถามการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมกับ “หยก” ซึ่งถูกคุมขังตามมาตรา 112 อยู่ในขณะนั้น โดยไม่มีการแจ้งให้ผู้ปกครองหรือผู้ไว้วางใจของหยกทราบแต่อย่างใด ตลอดจนมีการปราศรัยเรียกร้องให้ตำรวจและศาลปล่อยตัวหยก เพื่อให้เธอออกมาทันในช่วงเปิดภาคเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
ในวันดังกล่าวมีการปราศรัยเรียกร้องให้ พ.ต.อ.ทศพล อำไพพัฒน์กุล ผกก.สน.สำราญราษฎร์ ออกมาชี้แจง แต่ พ.ต.อ.ทศพล ไม่ได้ออกมาตามข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุม ทำให้นักกิจกรรมทั้ง 9 คน และผู้ชุมนุมได้ขว้างปาสิ่งของ รวมถึงสาดสีใส่บริเวณอาคาร สน.สำราญราษฎร์ ก่อนทั้ง 9 คน ถูกจับกุมตัว และเมื่อทนายความติดตามไปพบว่า หลายคนมีใบหน้าและร่างกายสะบักสะบอม จากการถูกทำร้าย
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา หลังถูกแจ้ง 4 ข้อหา ได้แก่ ร่วมกันทำให้ทรัพย์ของผู้อื่นและทรัพย์ที่มีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์เสียหาย, ร่วมกันบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้าย และร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน ก่อนถูกส่งตัวไปขออำนาจศาลอาญาฝากขังในวันถัดมา (11 พ.ค. 2566) โดยศาลอนุญาตให้ฝากขัง แต่อนุญาตให้ประกันในชั้นสอบสวนตลอดจนถึงชั้นพิจารณาคดี โดยให้วางหลักทรัพย์ประกันคนละ 25,000 บาท
ต่อมา วันที่ 27 มิ.ย. 2566 พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยทั้ง 9 คน ในฐานความผิดร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ของผู้อื่นและทรัพย์ที่มีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์, ร่วมกันบุกรุกในเวลากลางคืนโดยใช้กำลังประทุษร้าย, ร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน และไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงาน บรรยายฟ้องโดยสรุปว่า
วันเกิดเหตุจำเลยทั้ง 9 คน กับพวก ได้บุกรุกเข้าไปใน สน.สำราญราษฎร์ โดยกระทำการขว้างปาสิ่งของ และใช้กำลังประทุษร้าย พ่นสี สาดสีและเลือดหมูไปตามบริเวณบันไดทางขึ้น ราวบันได ผนังอาคาร ฯลฯ แล้วใช้มือและเท้าทุบประตูกระจกบานเลื่อน ทำให้ทรัพย์ดังกล่าวได้รับความเสียหาย คิดเป็นมูลค่า 34,376 บาท อันเป็นการทำให้ทรัพย์สินเสื่อมค่า ซึ่งทรัพย์ที่มีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์สำหรับประชาชนทั่วไป ทั้งเป็นการร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติตามหน้าที่
นอกจากนี้จำเลยทั้ง 9 คน ยังได้พ่นสีและสาดสีใส่ตำรวจที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ ทำให้ชุดเครื่องแบบและอุปกรณ์การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจจำนวน 59 นาย ได้รับความเสียหาย คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 265,250 บาท
หลังเกิดเหตุพนักงานสอบสวนได้แจ้งสิทธิและข้อกล่าวหาตามกฎหมายให้จำเลยทั้ง 9 คน ทราบ และให้พิมพ์ลายนิ้วมือเพื่อส่งตรวจพิสูจน์ แต่จำเลยไม่ยินยอมให้พิมพ์ลายนิ้วมือ ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน โดยไม่มีเหตุอันสมควร
.
การสืบพยานในคดีนี้มีขึ้นในระหว่างวันที่ 13 – 14 ก.พ. และ 18 – 21 ก.พ. 2568 ที่ผ่านมา โดยจำเลยมีข้อต่อสู้ในข้อหาบุกรุกว่า สน.สำราญราษฎร์ เป็นสถานที่ราชการซึ่งเป็นสถานที่สาธารณะ ประชาชนคนทั่วไปสามารถเข้าไปเพื่อใช้บริการหรือแจ้งความร้องทุกข์ได้โดยไม่ต้องขออนุญาต ดังนั้น การกระทำของจำเลยและพวกซึ่งมีเจตนาเข้าไปพูดคุยกับ พ.ต.อ.ทศพล อำไพพิพัฒน์กุล ผู้กำกับการ สน.สำราญราษฎร์ เกี่ยวกับการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมกับหยกเท่านั้น จึงไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก
ในข้อหาทำลายทรัพย์สินสาธารณะ เช่น กระจกภายใน สน.สำราญราษฎร์ ที่แตกนั้น จำเลยให้การว่าเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าประชิดและเบียดตัวจำเลยและพวก ทำให้จำเลยชนเข้ากับกระจกจนแตก
และข้อหาต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน จำเลยต่อสู้ว่า ฝ่ายโจทก์ได้ให้การอย่างเหมารวม ไม่สามารถชี้ตัวได้ว่าจำเลยคนไหนเป็นผู้ลงมือหรือทำร้ายเจ้าพนักงาน ส่วนในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานด้วยการไม่ยอมพิมพ์ลายนิ้วมือในชั้นสอบสวน จำเลยต่อสู้ว่า การกระทำของเจ้าพนักงานในการควบคุมตัวจำเลยและพวกนั้นกระทำโดยมิชอบ และตำรวจยังมีการใช้กำลังทำร้ายจำเลยและพวกอีกด้วย ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงขาดความชอบธรรมที่จะให้จำเลยพิมพ์ลายนิ้วมือ
ศาลอาญาพิพากษาจำคุก 2 ปี 10 วัน ฐานบุกรุกสถานที่โดยไม่ได้รับอนุญาต – ขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่
วันนี้ (28 เม.ย. 2568) เวลา 09.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 811 จำเลยทั้ง 9 คน ได้ทยอยเดินทางมาฟังคำพิพากษา โดยแบงค์ ณัฐพล ถูกเบิกตัวมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ พันธนาการด้วยกุญแจเท้า เนื่องจากถูกคุมขังในคดีอื่น มีประชาชนเข้าร่วมสังเกตการณ์จำนวนหนึ่ง
ต่อมา 11.00 น. ศาลได้ออกนั่งพิจารณาคดี โดยเรียกให้จำเลยทุกคนแสดงตัว และเริ่มอ่านคำพิพากษาโดยมีใจความสำคัญสรุปว่า จำเลยทั้ง 9 คนมีความผิดตามฟ้องใน 3 ประเด็น ดังนี้
- ฐานร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานและทำให้ทรัพย์สินเสียหาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138, 358, 360 ศาลเห็นว่า จากการที่เพจเฟซบุ๊ก 14 ขุนพลคนของราษฎร III โพสต์เชิญชวนประชาชนให้มาชุมนุมในกิจกรรม “ใครใคร่ด่า ด่า ใครใคร่สาด สาด #Saveหยก” แม้จำเลยจะอ้างว่าไม่ได้มีเจตนาจะมาต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน เพียงต้องการสอบถามถึงกรณีของหยกเท่านั้น แต่การกระทำของจำเลยที่เมื่อ ผกก.สน.สำราญราษฎร์ ไม่ได้ลงมาพูดคุย จึงได้ทำการสาดสี เลือดหมู และพ่นสีสเปรย์ใส่ทั่วบริเวณ สน. สำราญราษฎร์ และยังสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เช่น เครื่องแบบตำรวจ และซองปืน มีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับความเสียหายรวม 59 คน คิดเป็นความเสียหายประมาณ 265,250 บาท สอดคล้องกับการโพสต์ชักชวนดังกล่าว ทำให้เห็นได้ว่าจำเลยทั้งเก้ามีเจตนากระทำการดังกล่าวจริง และโจทก์ยังมีพยานตำรวจในท้องที่ รวมไปถึงพยานหลักฐานอื่น ๆ ที่ชี้ว่าจำเลยทั้งเก้าได้กระทำการให้เกิดความเสียหายแก่ สน.สำราญราษฎร์
- ฐานบุกรุกสถานที่ในเวลากลางคืนโดยใช้กำลังประทุษร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 364 ประกอบมาตรา 365 (1)(2)(3) แม้จำเลยจะอ้างว่าการกระทำของจำเลยมีเจตนาเพื่อทวงถามในกรณีการดำเนินคดีเพิ่มเติมกับ ‘หยก’ เท่านั้น และยังเป็นการใช้สิทธิในการแสดงออกตามรัฐธรรมนูญ ศาลเห็นว่า ในการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญต้องไม่ไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น จำเลยอ้างสิทธิตามรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ส่วนตัวเพียงฝ่ายเดียวและเป็นการอ้างตามอำเภอใจ ข้ออ้างดังกล่าวจึงฟังไม่ขึ้น นอกจากนี้ การที่หนึ่งในจำเลยมีการขว้างปากระป๋องสีใส่เจ้าหน้าที่ ทำกระจกบานเลื่อนของ สน.สำราญราษฎร์ เสียหาย ก็เป็นการกระทำที่ใช้กำลังประทุษร้ายเจ้าที่ตำรวจอีกด้วย
- ฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 ที่จำเลยและพวกปฏิเสธที่จะพิมพ์ลายนิ้วมือในชั้นสอบสวน ศาลมีความเห็นว่า หลังจากจำเลยทั้งเก้าเป็นผู้ต้องหา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งสิทธิให้ตัวจำเลยได้ทราบแล้ว การพิมพ์ลายนิ้วมือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสอบสวน การปฏิเสธที่จะไม่พิมพ์ลายนิ้วมือโดยขาดเหตุอันสมควร จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งนี้ ศาลยังเห็นว่า แม้จำเลยจะกล่าวอ้างว่าเจ้าหน้าที่กระทำการอันไม่ชอบด้วยกฎหมายในชั้นสอบสวน แต่จำเลยก็ไม่ได้มีการนำสืบให้ศาลเห็นว่า เจ้าหน้าที่มีการกระทำอันไม่ชอบด้วยกฎหมายจริงตามที่จำเลยกล่าวอ้าง
พิพากษาว่า จำเลยทั้ง 9 คน มีความผิดฐานร่วมกันทำให้ทรัพย์ของผู้อื่นและทรัพย์ที่มีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์เสียหาย, ร่วมกันบุกรุกในเวลากลางคืนโดยใช้กำลังประทุษร้าย, ร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน และฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงาน
เนื่องจากการกระทำความผิดของจำเลยทั้งเก้าเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเรียงกระทงความผิดไป ฐานร่วมกันทำให้ทรัพย์ของผู้อื่นและทรัพย์ที่มีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์เสียหาย, ร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน และร่วมกันบุกรุกในเวลากลางคืนโดยใช้กำลังประทุษร้าย เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันบุกรุกตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ในเวลากลางคืน ตามมาตรา 364 จำคุกคนละ 2 ปี และฐานฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงาน ตามมาตรา 368 จำคุกคนละ 10 วัน รวมจำคุกคนละ 2 ปี 10 วัน ไม่รอลงอาญา
ภายหลังฟังคำพิพากษา นักกิจกรรมทั้ง 9 คนได้ยินยอมให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมตัว โดยไม่มีท่าทีขัดขืนใด ๆ ส่วนญาติและเพื่อน ๆ ได้เดินทางไปใต้ถุนศาลเพื่อซื้ออาหารให้กับจำเลยรับประทานในระหว่างรอฟังคำสั่งประกันตัว
ต่อมา 16.17 น. หลังทนายยื่นประกันจำเลยทั้งหมดยกเว้น แบงค์ ณัฐพล ซึ่งอยู่ระหว่างถูกคุมขังในคดีอื่น และคดีมาตรา 112 ที่เขาถอนประกันตัวเอง ศาลอาญาอนุญาตให้ประกันตัวจำเลยทั้งแปด วางหลักทรัพย์คนละ 150,000 บาท โดยได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนราษฎรประสงค์ ทำให้ทั้งหมดได้รับการปล่อยตัวที่ศาลอาญา