เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2568 ศาลจังหวัดเชียงใหม่นัดอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีของ พึ่งบุญ ใจเย็น ศิลปินช่างสัก ที่ถูกฟ้องในข้อหาทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 360 จากกรณีขีดเขียนข้อความคำว่า “ประเทศทวย” ลงบนแผ่นป้ายจราจรและเสาไฟฟ้า 14 จุด ในเมืองเชียงใหม่ เมื่อช่วงปี 2563
ก่อนหน้านี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 เห็นว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง โดยลงโทษจำคุก 1 ปี 4 เดือน และปรับ 6,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี แต่จำเลยได้ยื่นฎีกาต่อมา โดยเห็นว่าการกระทำไม่เข้าข่ายมาตรา 360 และมีบทบัญญัติตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ กำหนดเป็นการเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับความผิดต่อป้ายจราจร แต่จำเลยกลับถูกกล่าวหาและฟ้องในข้อหาที่มีโทษหนักกว่า แต่ศาลฎีกายังคงมีคำพิพากษายืน
.
ชั้นต้น-อุทธรณ์ พิพากษาว่าผิดตาม ม.360 ให้รอการลงโทษจำคุก ก่อนศาลอุทธรณ์ลดค่าปรับลง
สำหรับคดีนี้เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2563 พึ่งบุญถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจโทรศัพท์เรียกให้เข้าไปหาที่ สภ.เมืองเชียงใหม่ แต่เมื่อไปถึง เขาได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวเอาไว้ พร้อมกับแสดงหมายจับที่ออกโดยศาลจังหวัดเชียงใหม่ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหาตามมาตรา 360 ก่อนให้ประกันตัวไป
ต่อมาวันที่ 8 ก.ค. 2564 พนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้องพึ่งบุญต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ เขาให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา คดีมีการสืบพยานไประหว่างวันที่ 7-9 มิ.ย. 2565 สำหรับข้อต่อสู้ของจำเลยโดยสรุปคือ รับว่าเป็นผู้เขียนข้อความตามฟ้องบนป้ายจราจรและเสาไฟฟ้าจริง แต่การกระทำไม่ใช่การทำลาย ทำให้เสียหาย หรือทำให้เสื่อมค่า จึงไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 360 สามารถทำให้กลับสู่สภาพเดิมได้ด้วยการลบ และยังมีกฎหมาย พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ และ พ.ร.บ.ความสะอาดฯ กำหนดความผิดเรื่องการขีดเขียนป้ายจราจรไว้โดยเฉพาะแล้ว อีกทั้งการเขียนป้ายจราจรของจำเลยเป็นลักษณะ “กราฟฟิตี้” ที่เป็นการแสดงออกทางศิลปะรูปแบบหนึ่ง
ก่อนที่วันที่ 2 ส.ค. 2565 ศาลจังหวัดเชียงใหม่มีคำพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง โดยศาลเห็นว่าการเขียนคำว่า “ประเทศทวย” แม้ไม่ถึงเป็นการทำลายป้ายสัญญาณจราจร แต่ทำให้ป้ายสื่อความหมายผิดเพี้ยนไป ทำให้สภาพของป้ายจราจรเปลี่ยนแปลงไปและทำให้ป้ายจราจรเสื่อมค่าลง แม้จำเลยนำสืบว่าสามารถลบข้อความออกได้ ก็หาทำให้การกระทำความผิดตามกฎหมายนี้ไม่เป็นความผิดไม่ เพราะการทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าเพียงชั่วคราว ก็เป็นความผิดแล้ว
ศาลเห็นว่า เมื่อจำเลยกระทำต่อทรัพย์ซึ่งเป็นป้ายสัญญาณจราจร ย่อมประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผลได้ว่าเป็นการกระทำต่อทรัพย์ที่มีไว้หรือใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ จำเลยจึงมีความผิดตามฟ้องโจทก์ ลงโทษจำคุก 2 ปี ปรับ 60,000 บาท เห็นว่าจำเลยให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษ 1 ใน 3 เหลือโทษจำคุก 1 ปี 4 เดือน ปรับ 40,000 บาท โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี และให้คุมประพฤติ 1 ปี ให้ทำกิจกรรมบริการสังคม ด้านทำความสะอาดหรือซ่อมแซมป้ายสัญญาณจราจร หรือทำความสะอาดทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ 48 ชั่วโมง
ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาต่อมา และวันที่ 13 มิ.ย. 2566 ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ได้มีคำพิพากษาเห็นว่ากระทำของจำเลย เมื่อต้องมีการทำความสะอาดป้ายโดยการใช้น้ำยาลบ ก็จะทำให้ป้ายไม่สามารถสะท้อนแสงได้ เนื่องจากสารเคลือบแผ่นป้ายได้หลุดออก ทำให้ป้ายจราจรที่ถูกเขียนเสื่อมค่าลง ได้รับความเสียหาย
ส่วนข้อต่อสู้ว่าการกระทำของจำเลยมีกฎหมายเฉพาะบทอื่น เช่น พ.ร.บ.ความสะอาดฯ และ พ.ร.บ.จราจรฯ เป็นต้น บังคับใช้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องดำเนินคดีด้วยมาตรา 360 ศาลเห็นว่ากฎหมายทั้ง 2 ฉบับ มีเจตนาเพื่อลงโทษผู้กระทำความผิดเช่นเดียวกัน การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำเดียว ผิดกฎหมายหลายบท ย่อมต้องลงโทษบทหนักที่สุด การที่โจทก์ฟ้องมาเฉพาะประมวลกฎหมายอาญามาตรา 360 ก็สามารถกระทำได้
แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 เห็นว่าโทษปรับของจำเลยไม่ได้สัดส่วน เห็นควรให้ลดค่าปรับ เหลือ 9,000 บาท จำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดค่าปรับเหลือ 6,000 บาท และแก้ไขไม่ให้ริบปากกาของกลาง นำคืนให้กับจำเลย เนื่องจากเห็นว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานระบุได้ว่าปากกาของกลางเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดอย่างชัดเจน
.
.
ศาลฎีกาพิพากษายืน เห็นว่าเพียงได้เขียนข้อความที่มีความหมายอื่นบนป้ายจราจร ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายแล้ว
จากนั้นฝ่ายจำเลยยังได้ต่อสู้คดีในชั้นฎีกาต่อ โดยยื่นฎีกาต่อสู้ทั้งประเด็นเรื่องการรับฟังพยานโจทก์ที่ให้การขัดแย้งกัน และประเด็นเรื่องการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามองค์ประกอบมาตรา 360 โดยเห็นว่ากรณีข้อวินิจฉัยที่เห็นว่าป้ายจราจรถูกเขียนทำให้เสื่อมค่าลง เพราะต้องมีการทำความสะอาดป้ายโดยการใช้น้ำยาลบ ทำให้ป้ายไม่สามารถสะท้อนแสงได้ เนื่องจากสารเคลือบแผ่นป้ายได้หลุดออก จำเลยยืนยันว่า ความเสียหายดังกล่าวไม่ได้เกิดจากการกระทำของจำเลย และเห็นว่าความเสียหายดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้น หากเจ้าหน้าที่ใช้น้ำยาลบปากกาที่มีคุณลักษณะถูกต้องเหมาะสมกับงานนี้
นอกจากนั้นยังมีในประเด็นข้อกฎหมาย โดยที่ศาลเห็นว่าการกระทำของจำเลย ผิดกฎหมายหลายบท ย่อมต้องลงโทษบทหนักที่สุด ตามมาตรา 360 ได้ (โทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ) จำเลยเห็นว่าตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 29 ได้มีบทบัญญัติเป็นการเฉพาะเจาะจงในเรื่องป้ายจราจร ซึ่งกำหนดว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดทำให้สียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เปลี่ยนแปลง เคลื่อนย้ายขีดเขียน หรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจรที่พนักงานเจ้าหน้าที่ติดตั้งไว้” (โทษปรับไม่เกิน 1 พันบาท) โดยเป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้นไว้เป็นการเฉพาะเจาะจงภายหลังประมวลกฎหมายอาญา จำเลยจึงควรได้รับโทษตาม พ.ร.บ.จราจรฯ เพียงฐานเดียวเท่านั้น
ศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา โดยสรุปในประเด็นแรก เห็นว่า เมื่อจำเลยได้เขียนข้อความที่มีความหมายอื่นนอกจากความหมายที่ป้ายสัญญาณจราจรเดิม ย่อมทำให้ป้ายสัญญาณจราจรสื่อความหมายผิดเพี้ยนไปจากเดิม ถือว่าได้ทำให้ป้ายจราจรได้รับความเสียหาย ทำให้เสื่อมค่าซึ่งทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ ครบองค์ประกอบมาตรา 360 แล้ว ส่วนการที่เจ้าหน้าที่ของโจทก์ร่วมจะได้ดำเนินการแก้ไขไม่ถูกต้องอย่างไร ก็มิใช่เหตุผลที่จะรับฟังหักล้างการกระทำหรือเพื่อปัดความรับผิดชอบของจำเลยไปได้
ในประเด็นที่สอง ศาลฎีกาเห็นว่าตาม มาตรา 360 และ พ.ร.บ.จราจรฯ มาตรา 29 มีองค์ประกอบความผิดทำนองเดียวกันที่มุ่งประสงค์ลงโทษผู้กระทำความผิดที่ทำให้ทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ ได้รับความเสียหาย การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดตามบทบัญญัติทั้งสองฐาน มิใช่ความผิดเพียงฐานเดียวตามที่จำเลยฎีกา เมื่อโจทก์เลือกฟ้องตามมาตรา 360 ที่ศาลล่างลงโทษจำเลยที่โจทก์และโจทก์ร่วมฟ้องจึงชอบแล้ว
ประเด็นที่สาม เรื่องการรับฟังพยานโจทก์ ศาลฎีกาเห็นว่าแม้พยานโจทก์ร่วม จากเทศบาลนครเชียงใหม่ จะไม่ใช่ประจักษ์พยานผู้รู้เห็นการกระทำของจำเลยโดยตรง แต่เป็นพยานที่เบิกความเพื่อให้ทราบรายละเอียดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีนี้ ซึ่งสามารถรับฟังประกอบกับพยานหลักฐานอื่น ๆ ในคดีได้
ประเด็นที่สี่ ในประเด็นเรื่องจำเลยถูกแจ้งข้อหาหนักกว่าความเป็นจริง ศาลฎีกาจะยก พ.ร.บ.การปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565 มาวินิจฉัยเป็นคุณให้แก่จำเลยได้หรือไม่ เห็นว่าเมื่อการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำให้ทรัพย์สินที่มีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ได้รับความเสียหาย ซึ่งต้องตามบทบัญญัติกฎหมายทั้งสองดังกล่าวข้างต้น การที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาและโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยตามมาตรา 360 เพียงบทเดียวนั้น ย่อมทำได้ตามกฎหมาย ส่วนความผิดตาม พ.ร.บ.การปรับเป็นพินัย ใช้บังคับเฉพาะในความผิดอาญาที่มีโทษปรับสถานเดียว และต้องเป็นโทษที่บัญญัติไว้ท้าย พ.ร.บ. ดังกล่าว และไม่รวมถึงความผิดที่มีโทษจำคุก ดังนั้นจึงไม่สามารถนำ พ.ร.บ. ดังกล่าวมาบังคับใช้คดีนี้ได้ ฏีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
คำพิพากษาฎีกาโดย ปรีชา บุญโรจน์พงศ์, ขจรศักดิ์ บุญเกษม และ สอนชัย สิราริยกุล
ทั้งนี้ หลังฟังคำพิพากษาศาลฎีกา พึ่งบุญได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจศาลควบคุมตัวไปใต้ถุนศาล รอการตรวจสอบเรื่องการชำระค่าปรับตามคำพิพากษาและจัดการเรื่องเอกสาร แม้เขาได้ชำระค่าปรับตั้งแต่หลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว โดยเจ้าหน้าที่มีการยึดโทรศัพท์เอาไว้ด้วย ก่อนจะได้รับการปล่อยตัวในเวลาราว 16.00 น.
สำหรับพึ่งบุญ ใจเย็น หรือ “หมุน” ปัจจุบันอายุ 40 ปี ประกอบอาชีพเป็นช่างสัก เคยเป็นอดีตทีมชาติกีฬาลองบอร์ด (Longboard) และกิจกรรมยามว่างมักทำงานศิลปะล้อเลียนการเมือง เป็นอาสาสมัครช่วยเหลือสังคมในประเด็นต่าง ๆ เช่น ร่วมทำอาหารแจกคนไร้บ้าน เป็นอาสาสมัครทำแนวกันไฟป่า เป็นต้น โดยเขาถูกดำเนินคดีจากการชุมนุมและทำกิจกรรมทางการเมืองทั้งหมด 7 คดี ถึงปัจจุบันสิ้นไปแล้ว 4 คดี
.