เดือนมีนาคม 2566 ท่ามกลางการเตรียมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย คดีจากการแสดงออกทางการเมืองที่สืบเนื่องมาจากปี 2563-65 ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยมีผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 เพิ่มขึ้นอีก 4 ราย และศาลทยอยมีคำพิพากษาออกมาอีก 9 คดีในเดือนเดียว ซึ่งมีทั้งคำพิพากษายกฟ้องและลงโทษ ขณะที่มีผู้ต้องขังรายใหม่ในคดีมาตรา 112 ระหว่างพิจารณาอีก 2 ราย
ในส่วนคดีตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ศาลก็มีคำพิพากษาอีกกว่า 10 คดี มีทั้งที่ยกฟ้องและเห็นว่ามีความผิดในสัดส่วนพอๆ กัน รวมทั้งมีคดีที่ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่เคยให้ยกฟ้องคดีใน 2 คดีด้วย
จากการติดตามของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ตั้งแต่เริ่มการชุมนุมของ “เยาวชนปลดแอก” เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2563 จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2566 มีประชาชนที่ถูกดำเนินคดีจากสถานการณ์ชุมนุมและการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ไปแล้วอย่างน้อย 1,898 คน ในจำนวน 1,187 คดี
ในจำนวนนี้ เป็นเด็กและเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 284 ราย ใน 211 คดี โดยแยกเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จำนวน 41 คน และเยาวชนอายุระหว่าง 15-18 ปี จำนวน 243 คน
เมื่อเปรียบเทียบสถิติคดีกับในช่วงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2566 มีผู้ถูกดำเนินคดีรายใหม่เพิ่มขึ้นจำนวน 3 คน คดีเพิ่มขึ้น 7 คดี (นับเฉพาะผู้ถูกกล่าวหาที่ไม่เคยถูกดำเนินคดีมาก่อน)
หากนับจำนวนบุคคลที่ถูกดำเนินคดีซ้ำในหลายคดี โดยไม่หักออก แต่นำจำนวนมาเรียงต่อกันแล้ว จะพบว่ามีจำนวนการถูกดำเนินคดีไปอย่างน้อย 3,794 ครั้ง
สำหรับสถิติการดำเนินคดี แยกตามข้อกล่าวหาสำคัญ ได้แก่
1. ข้อหา “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มีผู้ถูกกล่าวหาอย่างน้อย 237 คน ในจำนวน 256 คดี
2. ข้อหา “ยุยงปลุกปั่น” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 มีผู้ถูกกล่าวหาอย่างน้อย 130 คน ในจำนวน 40 คดี
3. ข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มีผู้ถูกกล่าวหาอย่างน้อย 1,469 คน ในจำนวน 663 คดี (นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2563 ที่เริ่มมีการดำเนินคดีข้อหานี้ต่อผู้ชุมนุมและทำกิจกรรมทางการเมือง)
4. ข้อหาตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ อย่างน้อย 136 คน ในจำนวน 77 คดี
5. ข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ อย่างน้อย 163 คน ในจำนวน 183 คดี
6. ข้อหาละเมิดอำนาจศาล อย่างน้อย 36 คน ใน 20 คดี และคดีดูหมิ่นศาล อย่างน้อย 28 คน ใน 9 คดี
จากจำนวนคดี 1,187 คดีดังกล่าว มีจำนวน 326 คดี ที่สิ้นสุดไปแล้ว เท่ากับยังมีคดีอีกกว่า 861 คดี ที่ยังดำเนินอยู่ในกระบวนการยุติธรรมชั้นต่างๆ
.
.
แนวโน้มเกี่ยวกับการดำเนินคดีในช่วงเดือนมีนาคม 2566 ที่ผ่านมา มีสถานการณ์สำคัญ ดังต่อไปนี้
ผู้ถูกดำเนินคดี ม.112 เพิ่มขึ้น 4 ราย ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาอีก 9 คดี และมีผู้ถูกคุมขังเพิ่ม 2 ราย
สถิติผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 เท่าที่ทราบข้อมูล เพิ่มขึ้นในเดือนที่ผ่านมาจำนวนอย่างน้อย 4 ราย ใน 3 คดี ในจำนวนนี้ 2 คดี เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการร้องหรือเปิดเพลง “โชคดีที่มีคนไทย” ของวงไฟเย็น ได้แก่ คดีของ “อาเล็ก” โชคดี ร่มพฤกษ์ ที่ถูกกล่าวหาคดีมาตรา 112 เป็นคดีที่ 2 ที่ สน.พญาไท เหตุจากการถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้เล่นกีตาร์และควบคุมเครื่องเสียงที่เล่นเพลงดังกล่าว ระหว่างกิจกรรมชุมนุมขับไล่ประยุทธ์ ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2565
ส่วนอีกคดีหนึ่งได้แก่ คดีของ “ขุนแผน” เชน ชีวอบัญชา และ “มานี” เงินตา คำแสน จากกรณีร่วมกิจกรรมหน้าศาลอาญากรุงเทพใต้ เรียกร้องสิทธิประกันตัวบุ้ง-ใบปอ และร้องเพลง “โชคดีที่มีคนไทย” เมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2565 ทั้งสองคดีนี้มีประชาชนจากกลุ่มปกป้องสถาบันฯ เป็นผู้กล่าวหา โดยในคดีหลังยังถูกแจ้งข้อหาดูหมิ่นศาล ซึ่งมีสำนักงานศาลยุติธรรมมอบอำนาจมากล่าวหาไว้อีกด้วย
.
.
เดือนที่ผ่านมา ศาลชั้นต้นยังมีคำพิพากษาในคดีมาตรา 112 ออกมาอย่างต่อเนื่องถึง 9 คดี โดยแยกเป็นคดีที่ศาลยกฟ้องข้อหานี้จำนวน 4 คดี ได้แก่ คดีของฉัตรมงคล ที่ศาลจังหวัดเชียงรายพิพากษายกฟ้องทุกข้อหา เนื่องจากพยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อสงสัยว่าจำเลยเป็นผู้คอมเมนต์ข้อความตามฟ้องจริงหรือไม่, คดีของสายน้ำในศาลเยาวชนฯ ที่ศาลยกฟ้องข้อหา 112, วางเพลิงเผาทรัพย์ และทำให้เสียทรัพย์ เนื่องจากพยานหลักฐานยังไม่สามารถระบุว่าเป็นจำเลยได้ แต่เห็นว่ามีความผิดเฉพาะข้อหาตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ให้ลงโทษปรับ
ที่น่าสนใจคือ คดีของ “สมพล” ซึ่งถูกฟ้องที่ศาลจังหวัดปทุมธานีสองคดี กรณีปาสีน้ำสีแดงใส่พระบรมฉายาลักษณ์ ศาลทั้งสองคดีเห็นว่าไม่เข้าข่ายความผิดมาตรา 112 เนื่องจากเห็นว่าพฤติการณ์ของจำเลยมีเจตนามุ่งทำลายทรัพย์สินของผู้อื่นเท่านั้น ทำให้มีความผิดเฉพาะในข้อหาตามมาตรา 360 โดยทั้งสองคดี ศาลลงโทษจำคุกรวมกัน 24 เดือน โดยไม่รอลงอาญา แต่เขายังได้รับการประกันตัวระหว่างอุทธรณ์
.
.
ขณะที่ยังมีคดีมาตรา 112 ที่ต่อสู้คดี และศาลพิพากษาว่ามีความผิด จำนวน 3 คดี แต่ยังได้รับการประกันตัวระหว่างอุทธรณ์คดี ได้แก่ คดีของ “ต้นไม้” กรณีจำหน่ายปฏิทินรูปเป็ดเหลืองปี 2564 ที่ศาลลงโทษจำคุก 3 ปี ให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษเหลือจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา เนื่องจากเห็นว่าปฏิทินดังกล่าวสื่อความหมายถึงรัชกาลที่ 10 มีเนื้อหาด้อยค่า หมิ่นประมาท สร้างความเสื่อมเสียศรัทธาต่อพระมหากษัตริย์
และยังมีคดีของ “ใจ” นักศึกษาในกรุงเทพฯ ที่ถูกฟ้องจากการทวีตข้อความเกี่ยวกับรัชกาลที่ 9 แต่ศาลอาญาพิพากษาว่าเข้าข่ายมาตรา 112 เนื่องจากเห็นว่าข้อความกระทบต่อรัชกาลที่ 10 ซึ่งเป็นพระราชโอรสด้วย ลงโทษจำคุก 3 ปี ให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษเหลือจำคุก 2 ปี
แนวทางการตีความดังกล่าวในทั้งสองคดี ได้สร้างปัญหาให้การใช้มาตรา 112 ที่ถูกทำให้ครอบคลุมไปถึงอดีตกษัตริย์และลักษณะการแสดงออกที่เป็นการล้อเลียนเสียดสี ซึ่งไม่น่าจะเข้าข่ายหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นแต่อย่างใด
ส่วนคดีของ “พรชัย” หนุ่มปกาเกอะญอ ที่ถูกฟ้องคดีที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ ก็ถูกพิพากษาลงโทษจำคุกรวม 12 ปี จากการโพสต์ข้อความ 4 โพสต์ โดยเขาถูกคุมขังไป 6 วัน ก่อนศาลอุทธรณ์ภาค 5 จะอนุญาตให้ประกันตัวระหว่างอุทธรณ์คดี
.
.
นอกจากนั้นยังมีอีก 2 คดี ที่จำเลยให้การรับสารภาพ และศาลพิพากษาให้รอการลงโทษจำคุก โดยจำเลยในทั้งสองคดีนี้ยังมีสถานะเป็นนักศึกษาอยู่ ได้แก่ คดีสองนักศึกษาในจังหวัดเชียงใหม่ ชูป้ายในคาร์ม็อบเมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2564 และคดีสองนักศึกษามหาวิทยาลัยบูรพา ที่ถูกฟ้องจากกรณีติดป้ายข้อความที่หอระเบียงหอพัก เมื่อวันที่ 13 ก.ค. 2564
อีกทั้ง ยังมีคดีจากการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ ที่ถูกกล่าวหาในช่วงที่รัฐมีนโยบายไม่ใช้มาตรา 112 ทำให้ถูกกล่าวหาเฉพาะ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ได้แก่ คดีของ “นิรนาม” หนุ่มนักศึกษาวัย 22 ปี ผู้ถูกฟ้องจากการทวีตข้อความเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ 8 ข้อความ ในช่วงปี 2562-ต้นปี 2563 หลังจำเลยกลับคำให้การเป็นรับสารภาพ ศาลจังหวัดพัทยาได้พิพากษาลงโทษจำคุกรวม 48 เดือน ปรับ 80,000 บาท โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 3 ปี
ขณะที่เดือนที่ผ่านมา ยังกลับมามีผู้ถูกคุมขังระหว่างพิจารณาในคดีตามมาตรา 112 อีกครั้ง ได้แก่ กรณีของ “วุฒิ” อดีตช่างเชื่อม ที่เพิ่งถูกอัยการสั่งฟ้องในคดีที่ถูกกล่าวหาจากการโพสต์เฟซบุ๊ก 12 ข้อความนั้น ศาลอาญามีนบุรีได้มีคำสั่งไม่ให้ประกันตัว โดยเห็นว่าการกระทำที่ถูกฟ้องเป็นการกระทำหลายครั้ง โดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย คดีมีอัตราโทษสูง เกรงว่าจำเลยจะหลบหนี
ขณะเดียวกันยังมีกรณีของ “หยก” เด็กวัย 15 ปี ผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 ที่อายุน้อยที่สุดเท่าที่ทราบข้อมูล ได้ถูกตำรวจจับกุมตามหมายจับของศาลเยาวชนฯ แม้จะเคยยื่นหนังสือขอเลื่อนการเข้ารับทราบข้อหาหลังได้รับหมายเรียกออกไปแล้ว หลังถูกจับกุม เธอได้ปฏิเสธกระบวนการที่เกิดขึ้น โดยไม่ยินยอมลงนามในเอกสารใด ไม่แต่งตั้งทนายความ และไม่ยื่นประกันตัว ทำให้ศาลเยาวชนฯ อนุมัติหมายขัง และขณะนี้เธอถูกนำตัวไปคุมขังบ้านปรานี จังหวัดนครปฐม
สถานการณ์ของการคุมขังและการมีคำพิพากษาออกมาอย่างต่อเนื่องในคดีมาตรา 112 จึงยังเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาและติดตามในแต่ละเดือน
.
.
คดี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษา 2 คดี ขณะศาลชั้นต้นยกฟ้อง 5 คดี ลงโทษอีก 5 คดี
เดือนที่ผ่านมา ผู้ร่วมชุมนุม #ราษฎรหยุดAPEC2022 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 จำนวน 4 คน ได้เข้ารับทราบข้อกล่าวหากับตำรวจ สน.สำราญราษฎร์ หลังถูกออกหมายเรียกเพิ่มเติม ในจำนวนนี้ รวมทั้งพายุ บุญโสภณ นักกิจกรรมจากจังหวัดขอนแก่น ผู้ถูกกระสุนยางยิงจนตาข้างขวาบอด ก็ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีนี้ด้วย เมื่อถูกแจ้ง 3 ข้อหา โดยมีข้อหาตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ด้วย
ขณะที่คดีจากการชุมนุมจำนวนมากในช่วงปี 2563-65 ที่ถูกฟ้องในข้อหาตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในเดือนที่ผ่านมา พบว่ามีคดีที่ไปถึงชั้นอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่เคยให้ยกฟ้องคดี 2 คดี ได้แก่ คดีคาร์ม็อบนครราชสีมา และคดีคาร์ม็อบลพบุรี ที่ศาลวินิจฉัยไปในแนวทางว่าการชุมนุมได้ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการแพร่โรคโควิด-19 แล้ว
ขณะเดียวกันยังมีคดีคาร์ม็อบกำแพงเพชร ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยให้ศาลชั้นต้นทำคำพิพากษาใหม่ ศาลจังหวัดกำแพงเพชรก็ได้วินิจฉัยกลับแนวคำพิพากษาเดิม โดยเห็นไปว่ากิจกรรมดังกล่าวเสี่ยงต่อการแพร่โรคเช่นกัน โดยศาลให้รอลงอาญาในส่วนของโทษจำคุก แนวโน้มของคำพิพากษาคดีจากการชุมนุมในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉินที่ขึ้นสู่ศาลสูงขึ้นไปดังกล่าว จึงเป็นประเด็นน่าจับตาต่อไป
.
.
ในส่วนของศาลชั้นต้น ช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีคดีที่ศาลพิพากษายกฟ้องข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพิ่มเติมอีก 5 คดี ทั้งคดีการชุมนุมเยาวชนปลดแอกเมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2563 ของผู้ชุมนุม 15 คน, คดีของ 5 นักวิชาการและนักกิจกรรม ร่วม “LightUp JUSTICE – เปิดไฟให้ดาว ส่องสว่างความยุติธรรม”, คดีของ “ลูกเกด” ชลธิชา แจ้งเร็ว ทั้งกรณีชุมนุม #ม็อบ18ตุลาไปอนุสาวรีย์ชัย และ กิจกรรม “กวี ดนตรี ปลดแอก แหวกหาคนหาย” นอกจากนั้นยังมีการยกฟ้องคดี 20 ผู้ชุมนุม ถูกจับกุมหลังการชุมนุม #ม็อบ10สิงหา2564 อีกด้วย
แต่ก็มีคดีที่ศาลพิพากษาว่ามีความผิดอีก 5 คดีเช่นกัน ซึ่งแนวคำวินิจฉัยแตกต่างจากคดีที่มีคำพิพากษายกฟ้อง คือเห็นไปว่าการชุมนุมมีความเสี่ยงต่อการแพร่โรค แม้โดยส่วนใหญ่พิพากษาให้ลงโทษปรับ ที่สำคัญได้แก่ คดีของ “ป้าเป้า” กรณีเปลือยกายประท้วงเจ้าหน้าที่ระหว่างการชุมนุม #ม็อบ28กันยา64 ที่ศาลเห็นว่าเป็นการมั่วสุมกันในสถานที่แออัด ไม่มีการเว้นระยะห่างระหว่างกัน และคดีชุมนุม #ม็อบ2พฤษภา2564 หน้าศาลอาญา ที่มีผู้ถูกดำเนินคดีรวม 15 คน ซึ่งศาลอาญายกฟ้องจำเลย 2 ราย แต่ลงโทษจำเลยอีก 13 ราย ในหลายข้อหา รวมทั้งตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
จากการติดตามของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2566 ยังมีคดีจากการชุมนุมทางการเมืองในช่วงปี 2563-65 ที่ถูกกล่าวหาในข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ อีกไม่น้อยกว่า 526 คดี ที่ยังไม่สิ้นสุด หลายคดีอัยการยังทยอยฟ้องเข้ามาใหม่ หรือยังอุทธรณ์คำพิพากษา แม้ศาลชั้นต้นจะยกฟ้องก็ตาม สถานการณ์การดำเนินคดีเหล่านี้ยังดำเนินต่อไป แม้ภายหลังการเลือกตั้งแล้ว
.
.
ย้อนจับกุมคดี ม.116 สองนักศึกษา ชุมนุมธรรมศาสตร์จะไม่ทนปี 63
ในเดือนมีนาคม ตำรวจยังมีการจับกุมคดีจากการชุมนุมในเหตุช่วงปี 2563 ได้แก่ คดีจากการชุมนุม #ธรรมศาสตร์จะไม่ทน เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2563 ที่ลานพญานาค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ซึ่งมีจับกุมนักศึกษาอีกสองรายจากหมายจับที่ออกไว้ตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายน 2563 แต่ไม่เคยมีการจับกุมมาก่อนหน้านี้ ทั้งที่นักศึกษาทั้งสองก็ใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ได้หลบหนีแต่อย่างใด
รายแรก “สาธร” (นามสมมติ) นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถูกจับกุมหลังเดินทางไปติดต่อราชการที่ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ แต่ตำรวจได้นำหมายจับมาแสดง และ “ลูกมาร์ค” นักศึกษาที่ได้เดินทางเข้าแสดงตัวหลังทราบว่ามีหมายจับตนเองด้วย
ทั้งสองถูกแจ้งข้อหาตามมาตรา 116, ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ, ใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต จากบทบาทการมีส่วนร่วมในการจัดการชุมนุมและการเป็นพิธีกรบนเวที ขณะที่ลูกมาร์คยังถูกแจ้งข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ด้วย
สถานการณ์การดำเนินคดีต่อการเคลื่อนไหวของนักศึกษา-ประชาชน ช่วงปี 2563-65 จึงยังคงมีความเคลื่อนไหวอยู่อย่างต่อเนื่อง พบว่ามีคดีที่ถูกจับกุมหรือกล่าวหาย้อนหลังอยู่เป็นระยะ
.