ศิลปะใต้เงา 112 (ตอน 1) : ราคาของการเสียดสีและขีดจำกัดของเสรีภาพ 

278 คน ใน 310 คดี คือผลลัพธ์ นับตั้งแต่มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองในปี 2563 ที่ต่อเนื่องอยู่ราว 2 ปี เป็นการเคลื่อนไหวแสดงออกด้วยข้อเรียกร้องที่ไม่เคยมีมาก่อนในสังคมไทย อย่าง ‘ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์’ 

เมื่อประเด็นแหลมคมเช่นนี้ รูปแบบการแสดงออกย่อมต้องมี ‘งานศิลปะ’ เป็นหนึ่งในนั้น  ทั้ง ‘ศิลปะการแสดง’ (Performance Art), ‘ศิลปะในพื้นที่สาธารณะ’, ภาพวาด, ภาพถ่าย, การแสดง หรือแม้กระทั่งแฟชั่นโชว์ ซึ่งล้วนเป็นมูลเหตุแห่งคดีมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา 

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนระบุว่า มีคดีที่เกิดจากการแสดงออกในรูปแบบผลงานศิลปะรวมอย่างน้อย 15 คดี โดยมีผู้ถูกดำเนินคดีจำนวน 22 คน 

งานชิ้นนี้จะคลี่ขยายรายละเอียดว่า คดีเหล่านั้นถูกตัดสินอย่างไร นักวิชาการด้านศิลปะมองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร รวมทั้งขยายมุมมองว่าศิลปะการล้อเลียนสถาบันกษัตริย์มีที่ทางอย่างไรในต่างประเทศ

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ได้บัญญัติไว้ว่า ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี

การกระทำที่เป็นความผิดตามมาตรา 112
หมิ่นประมาท หมายถึง การใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ซึ่งการใส่ความนั้นจะต้องเป็นการแสดงข้อเท็จจริงเรื่องร้ายให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย และจะต้องระบุถึงตัวบุคคลผู้ถูกใส่ความเป็นการยืนยันรู้ได้แน่นอนว่าเป็นใคร หรือหากไม่ระบุถึงผู้ที่ถูกใส่ความโดยตรง การใส่ความนั้นก็ต้องได้ความว่าหมายถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ 

ดูหมิ่น หมายถึง การด่า ดูถูก เหยียดหยาม หรือสบประมาทให้อับอาย การดูหมิ่นก็ย่อมจะต้องระบุถึงตัวบุคคลที่ถูกดูหมิ่นเป็นการยืนยันรู้ได้แน่นอนว่าเป็นใคร หรือหากไม่ระบุถึงผู้ที่ถูกดูหมิ่นโดยตรง การดูหมิ่นนั้นก็ต้องได้ความว่าหมายถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ (คำพิพากษาศาลจังหวัดนครพนม คดี “อิศเรศ” โพสต์ไม่แต่งตั้งกษัตริย์องค์ใหม่)

อาฆาตมาดร้าย หมายถึง การขู่เข็ญโดยแสดงออกด้วยวาจาหรือกิริยาท่าทางที่แสดงถึงความมุ่งร้ายว่าจะทำให้เสียหาย ว่าจะทำอันตรายแก่ชีวิต เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินในขณะนั้นหรือในอนาคต ไม่ว่าจะมีเจตนากระทำตามที่ขู่หรือไม่ เช่น ขู่ว่าจะปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์ (หยุด แสงอุทัย, กฎหมายอาญา ภาค 2-3, สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2546, หน้า 22)

ใน 15 คดีอันเกิดจากงานศิลปะ เราพบว่า สองในสามหรือ 10 คดี มีประชาชนด้วยกันเองเป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ ได้แก่ ศรีสุวรรณ จรรยา (กล่าวหา 3 คดี) นพดล พรหมภาษิต (กล่าวหา 2 คดี), วริษนันท์ ศรีบวรธนกิตติ์ (กล่าวหา 2 คดี), ว่าที่ ร.ต.นรินทร์ ศักดิ์เจริญชัยกุล (กล่าวหา 2 คดี) และระพีพงษ์ ชัยยารัตน์ (กล่าวหา 1 คดี) สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของการถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งบุคคลอื่นที่มีความเห็นทางการเมืองแตกต่างกัน

หากดูคำกล่าวหาที่ปรากฏในคำฟ้องหรือบันทึกแจ้งข้อกล่าวหา มักพบถ้อยคำที่ไม่มีอยู่ในบทบัญญัติกฎหมาย เช่น จาบจ้วง ล่วงเกิน รวมถึงบรรยายล่วงเลยไปถึงเจตนาของผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้สร้างงานศิลปะ 

จำเลยได้แสดงกิริยาท่าทางเคลื่อนไหวร่างกายต่าง ๆ ด้วยการนั่งห้อยขา นั่งยอง ๆ แสดงท่าครุฑ ยืนเอาถังสีสวมครอบศีรษะ และนอนหงายโดยใช้เท้าขวา ซึ่งเป็นอวัยวะเบื้องต่ำชี้ขึ้นไปที่พระบรมฉายาลักษณ์ อันเป็นการแสดงพฤติกรรมที่มีลักษณะเป็นการแสดงออกทางกิริยาท่าทางจาบจ้วง ล่วงเกิน ดูหมิ่น หมิ่นประมาท และแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ โดยการไม่ถวายพระเกียรติพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นศูนย์รวมของศรัทธาและเคารพบูชาของประชาชนชาวไทย โดยประการที่น่าจะทำให้พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวเสื่อมเสียพระเกียรติ ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง (คำฟ้องคดีแสดง Performance Art หน้าป้าย มช.)

จําเลยได้ใช้บัญชีอินสตาแกรมโพสต์ภาพวาดรัชกาลที่ 10 และมีข้อความประกอบภาพ อันเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ โดยประการที่น่าจะทําให้รัชกาลที่ 10 เสื่อมเสียพระเกียรติ ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง โดยจําเลยมีเจตนาทําลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของประชาชนชาวไทย ทําให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพต่อพระมหากษัตริย์ซึ่งอยู่ในฐานะที่ผู้ใดจะละเมิดไม่ได้” (คำฟ้องคดีโพสต์รูปวาดภาพ ร.10 ในอินสตาแกรม)

“จำเลยได้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กโพสต์ภาพวาดและข้อความว่า “ออกแบบคาแรคเตอร์มือปืนที่เก่งที่สุดในโลก….จอห์นวิคยังต้องกราบ” เมื่อตีความและอ่านออกเสียงประกอบภาพย่อมต้องนึกถึงรัชกาลที่ 9 อันเป็นการจาบจ้วง ล่วงเกิน ใส่ร้าย ใส่ความ ดูหมิ่นรัชกาลที่ 9 ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ อีกทั้งจำเลยได้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กโพสต์ภาพวาดคล้ายชายกำลังกัดกินแผนที่ประเทศไทย และข้อความ “ทางออก ประเทศไทย?” โดยจำเลยมีเจตนาให้ประชาชนที่ได้เห็นภาพและอ่านข้อความมีความรู้สึกว่า รัชกาลที่ 10 กัดกินประเทศไทย อันเป็นการจาบจ้วง ล่วงเกิน ใส่ร้าย ใส่ความ ดูหมิ่นรัชกาลที่ 10 ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ(คำฟ้องคดีโพสต์รูปกราฟิกบนเฟซบุ๊ก 2 โพสต์)

“การแสดงออกของทั้งสองเป็นการแสดงเนื้อหาความหมายให้ปรากฏแก่ผู้ชุมนุมและประชาชนทั่วไปให้เข้าใจว่าจําเลยนี้เป็นพระราชินีและพวกของจําเลยเป็นรัชกาลที่ 10 และจําเลยกับพวกสามารถล้อเลียนกษัตริย์และราชินีได้โดยมิหวั่นเกรงใด ๆ เป็นการจาบจ้วง ล่วงเกิน ดูหมิ่น ใส่ความ หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ โดยประการที่น่าจะทำให้รัชกาลที่ 10 และพระราชินี ได้รับความเสื่อมเสีย ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง ทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพ” (คำฟ้องคดีแต่งชุดไทยเดินแฟชั่นโชว์ #ภาษีกู)

ในชั้นศาล จำเลยบางส่วนต่อสู้คดี บางคนตัดสินใจให้การรับสารภาพ ซึ่งผลทางคดีมีความแตกต่างกันออกไป จนถึงปัจจุบันศาลมีคำพิพากษาในคดีมาตรา 112 ที่เกี่ยวข้องกับงานศิลปะออกมาแล้วเป็นส่วนใหญ่ มากกว่าครึ่งพิพากษาว่าผิดมาตรา 112 โดยคำพิพากษาตีความงานศิลปะและเจตนาของจำเลยว่าเป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ถึงแม้ว่าจำเลยที่ต่อสู้คดีจะยืนยันว่า ไม่ได้มีเจตนาดังกล่าว บางคดีศาลยังตีความครอบคลุมไปถึงอดีตกษัตริย์ด้วย

อย่างไรก็ตาม มีบางคดีที่ศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง ได้แก่ คดี Performance Art และคดีทำคลิปโฆษณา Lazada ซึ่งคำพิพากษาในคดีเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ยังมีบ้างที่ศาลวินิจฉัยโดยยึดตัวบทกฎหมายอย่างเคร่งครัด



คดีจากการแสดง Performance Art หน้าป้ายมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ของวิธญา คลังนิล หรือศิวัญชลี วิธญเสรีวัฒน์ นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสมาชิกกลุ่มศิลปิน artn’t ซึ่งผู้กล่าวหาอ้างว่า ระหว่างการแสดงซึ่งวิธญาได้แสดงท่านอนหงายใช้เท้าขวาชี้ไปบนฟ้านั้น เป็นการชี้ไปที่รูปรัชกาลที่ 10 ซึ่งอยู่ด้านบนป้ายมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อันเป็นการแสดงกริยาสบประมาท ดูถูกเหยียดหยามกษัตริย์

วิธญาให้การปฏิเสธว่าเขาไม่ได้มีเจตนาตามที่ถูกกล่าวหา โดยเบิกความยืนยันว่า ในวันเกิดเหตุเขาไปแสดงศิลปะการแสดงสด Performance Art ซึ่งเป็นกลุ่มการแสดงประเภท Body Movement หากจะเข้าใจความหมายของการแสดงประเภทนี้จะต้องดูการแสดงทั้งหมด เพราะการแสดงมีการเคลื่อนไหวต่อเนื่อง โดยเจตนาของเขาคือต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมต่อมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพราะที่ผ่านมาตนมีปัญหาขัดแย้งกับคณะผู้บริหารคณะวิจิตรศิลป์มาก่อนจากเหตุการณ์ปิดกั้นการแสดงออกของนักศึกษา

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โดยเห็นว่า ไม่มีพยานโจทก์ชี้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการอาฆาตมาดร้ายทั้งการแสดงกิริยาท่าทางต่างๆ ของจำเลยก็ไม่ปรากฏว่าจะมีลักษณะดังเช่นนั้น การแสดงท่าทางของจำเลยไม่ได้ระบุถึงตัวบุคคลที่ถูกดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทให้รู้ได้แน่นอนว่าเป็นใคร ประกอบกับประตูทางเข้าออกมหาวิทยาลัยเป็นสถานที่จัดกิจกรรมแสดงออกเชิงสัญลักษณ์อยู่เป็นประจำ และกิจกรรมในวันเกิดเหตุก็จัดเพื่อเรียกร้องสิทธิการประกันตัว ไม่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ การรับรู้และเข้าใจการกระทำของจำเลยจึงขึ้นอยู่กับการตีความของแต่ละบุคคล มิใช่การยืนยันข้อเท็จจริง ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืนยกฟ้องโดยเห็นว่า การกระทำของจำเลยยังมีความหมายที่ไม่ชัดเจนว่าเข้าลักษณะการดูหมิ่นแต่เป็นเพียงการแสดงความไม่เหมาะสม ซึ่งไม่ใช่การเหยียดหยามหรือใส่ความ แม้อาจมีประชาชนจำนวนหนึ่งไม่สบายใจ แต่การกระทำดังกล่าวก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดต่อกฎหมาย จึงย่อมเป็นเสรีภาพในการแสดงออกที่ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ 

กรณีแสดงงานศิลปะที่มีลักษณะคล้ายธงชาติที่ไม่มีสีน้ำเงิน ระหว่างการชุมนุม “ยุทธการไล่ประยุทธ์” เมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2564 บริเวณสนามรักบี้ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งมี วิธญาและยศสุนทร 2 นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสมาชิกกลุ่ม artn’t เป็นผู้ถูกกล่าวหาตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ.ธงฯ ทั้งสองคนยืนยันให้การปฏิเสธในชั้นศาล

จำเลยเบิกความว่า งานดังกล่าวเป็น “งานศิลปะในพื้นที่สาธารณะ” ซึ่งจำเป็นต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมเพื่อให้ชิ้นงานเสร็จสมบูรณ์ จึงได้จัดทำรูปวาดโดยใช้วัสดุที่มีทั้งผ้า พลาสติกและสี นำไปจัดแสดงในที่ชุมนุม พร้อมทั้งเตรียมปากกาเมจิกมากกว่า 1 สีโดยไม่ได้เชิญชวนให้คนต้องเข้ามาเขียน แต่ประชาชนบริเวณนั้นทราบเป็นวิธีปฏิบัติอยู่แล้วว่าหากมีชิ้นงานที่เปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็นก็สามารถเข้ามาเขียนได้ ข้อความที่เขียนส่วนใหญ่ก็เป็นการตำหนิรัฐบาล จำเลยทั้งสองไม่ใช่ผู้เขียนข้อความตามฟ้อง ไม่ได้มีเจตนาทำให้คล้ายธงชาติแต่อย่างใด อีกทั้งการตีความงาน “แถบสีนามธรรม” ยังขึ้นอยู่กับความคิดและการให้ความหมายของผู้ชมงานศิลปะที่แตกต่างกันไป

ศาลจังหวัดเชียงใหม่พิพากษาให้จำเลยทั้งสองมีความผิดตามฟ้อง โดยเห็นว่า การทำธงที่คล้ายคลึงกับธงชาติ แตกต่างเพียงธงดังกล่าวใช้แผ่นพลาสติกใสแทนแถบสีน้ำเงินของธงชาติ จำเลยทั้งสองชูธงดังกล่าวในเวลาเดียวกับที่พิธีกรในงานแจ้งให้ผู้ชุมนุมเคารพธงชาติ ส่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองต้องการแสดงต่อผู้ชุมนุมว่าธงชาติไทยไม่จำเป็นต้องมีสีน้ำเงิน ไม่ประสงค์ให้มีพระมหากษัตริย์ในประเทศไทย อันเป็นการดูหมิ่นและลดคุณค่าของพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน จึงให้จำคุก 4 ปี และข้อหาตาม พ.ร.บ.ธงฯ มาตรา 51 จำคุก 8 เดือน ปรับคนละ 2,000 บาท จำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสี่คงจำคุก 3 ปี 6 เดือน ปรับคนละ 1,500 บาท จำเลยทั้งสองยังเป็นนักศึกษา ใกล้สำเร็จการศึกษาแล้ว โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้ 3 ปี 

การแสดงออกด้วยการโพสต์ภาพในโซเชียลมีเดีย อาทิ ภาพการ์ตูน,​ ภาพกราฟิก, ภาพถ่าย,​ ภาพตัดต่อ พบว่าถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 มากที่สุด รวม 7 คดี ได้แก่  คดีของ “วารุณี” กรณีโพสต์ภาพ ร.10 เปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกตเป็นชุดราตรีแบรนด์ Sirivannavari, คดีของ “ทอปัด” กรณีถูกกล่าวหาเผยแพร่ภาพวาดให้ร้าย ร.10 ใน Instagram, คดีของ “ชลสิทธิ์” กรณีโพสต์ภาพพระบรมสาทิสลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 ในเฟซบุ๊ก, คดีของ “อัฐสิษฎ” กรณีเผยแพร่ภาพกราฟฟิก 2 ภาพ ในเพจเฟซบุ๊ก ในคดีของ “ตั้ม” นักวาดการ์ตูน กรณีถูกกล่าวหาว่าเป็นแอดมินเพจเฟซบุ๊ก “คนกลมคนเหลี่ยม” วาดภาพเสียดสีใส่ร้ายรัชกาลที่ 10 รวม 2 โพสต์ และใส่ร้ายรัชกาลที่ 9 อีก 2 โพสต์, คดีของ “บังเอิญ” โพสต์รูปภาพครอบครัวของรัชกาลที่ 10 พร้อมข้อความบนเฟซบุ๊ก และคดีของพริษฐ์ โพสต์ภาพพร้อมข้อความ ‘ด้วยรักและฟัคยู #28กรกฎาร่วมใจใส่ชุดดำ’ 

ในจำนวนนี้มี 2 คดีที่ไม่รับสารภาพ บังเอิญและพริษฐ์ปฏิเสธข้อกล่าวหาขอต่อสู้คดี โดยยืนยันว่า ภาพที่โพสต์เป็นงานศิลปะที่ตีความได้หลายหลาย อย่างไรก็ตาม ศาลมีคำพิพากษาว่าทั้งสองมีความผิดตามฟ้อง และลงโทษจำคุกโดยไม่รอลงอาญา ส่วนตั้มให้การปฏิเสธเช่นเดียวกัน แต่คดียังไม่เริ่มการสืบพยาน

ในคดีของ “บังเอิญ” ศิลปินอิสระชาวขอนแก่น ซึ่งโพสต์รูปภาพครอบครัวของรัชกาลที่ 10 พร้อมข้อความบนเฟซบุ๊ก เขายืนยันว่าเป็นงาน Dark Art โดยนำภาพถ่ายเก่ามาสร้างเป็นผลงานใหม่ในรูปแบบ Digital Art โดยไม่ได้มีเจตนาใส่ร้ายหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันกษัตริย์ เนื่องจากผลงานศิลปะที่สร้างสรรค์มีอิสระในตนเอง มุมมองของงานศิลปะจะขึ้นอยู่กับประสบการณ์ชีวิตของผู้ชม ซึ่งแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน และอธิบายถึงความหมายของภาพว่าเป็นงานศิลปะที่เป็นอิสระมาก ข้อความที่ใส่ลงไปในภาพก็เป็นหนึ่งเดียวกับภาพ ซึ่งต้องวิเคราะห์ข้อความและภาพร่วมกัน

ศาลชั้นต้นได้พิพากษาว่า บังเอิญมีความผิดตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ซึ่งมีการพิเคราะห์ในส่วนรูปภาพไว้ว่า จำเลยยอมรับว่านำภาพมาตัดต่อ เห็นได้ว่ามีการทำให้เป็นภาพขาวดำ และใช้สีดำในการตกแต่งพระพักตร์ของรัชกาลที่ 10 และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ให้ดูน่ากลัว แตกต่างจากภาพต้นฉบับที่มีสีสันงดงาม อีกทั้งใส่ชื่อภาพ “วิปลาส อำนาจ มนต์ดำ” พร้อมกับข้อความ “เผด็จการจงพินาศ ประชาราษฎร์จงเจริญ” และ “ยกเลิก 112” เป็นต้น แสดงว่าจำเลยต้องการสื่อให้ประชาชนทั่วไปที่เห็นเข้าใจได้ว่ารัชกาลที่ 10 ใช้อำนาจประมุขคลาดเคลื่อน ใช้อำนาจมนต์ดำ และเป็นเผด็จการ ทั้งที่กษัตริย์เป็นที่เคารพสักการะของชาวไทย

ในส่วนของการแสดงออกด้วยศิลปะแขนงอื่นๆ เช่น การแต่งกายหรือแฟชั่นโชว์ การแสดง มีอยู่ 6 คดี ได้แก่ คดีของจตุพร แต่งชุดไทยร่วมเดินแฟชั่นโชว์ในกิจกรรม #ภาษีกู, คดีของสายน้ำ แต่งชุดเสื้อยืดเอวลอย และเขียนร่างกายด้วยหมึก ร่วมกิจกรรม #ภาษีกู, คดีแต่งกายชุดครอปท็อป เดินสยามพารากอน เพื่อรณรงค์ “ยกเลิก112”(ถูกแยกเป็น 2 คดี), และคดีทำคลิปวิดีโอโปรโมทแคมเปญลดราคาสินค้าของ Lazada (ถูกแยกเป็น 2 คดี)

ทุกคดีจำเลยให้การปฏิเสธข้อกล่าวหาและสู้คดีทั้งหมด มีเพียงคดีแต่งชุดครอปท็อปของนักกิจกรรม 5 ราย ที่ยังอยู่ระหว่างการสืบพยานในชั้นศาล ส่วนคดีอื่นศาลมีคำพิพากษาออกมาแล้ว พบว่ามีทั้งคดีที่ศาลพิพากษาว่ามีความผิด (3 คดี) และคดีที่ศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง (2 คดี)

ในคดีของ “นิว” จตุพร กรณีแต่งชุดไทยร่วมเดินแฟชั่นโชว์ในกิจกรรม #ภาษีกู จตุพรยืนยันเรื่องการแต่งกายด้วยชุดไทยเดินแฟชั่นโชว์ในกิจกรรม “แฟชั่นราษฎร” ว่า เป็นสิ่งที่บุคคลทั่วไปสามารถกระทำได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ที่เลือกใส่ชุดไทยเพราะมองว่าเป็นชุดประจำชาติ ไม่ได้มีเจตนาที่จะล้อเลียนใคร 

ศาลชั้นต้นได้พิพากษาว่าจตุพรมีความผิดตามฟ้อง โดยเห็นว่า จำเลยแต่งกายชุดไทย ถือกระเป๋าสีทองขนาดเล็ก มีชายชุดไทยแต่งชุดไทยราชปะแตนเดินตามหลังคอยกางร่มให้ มีหญิงใส่ชุดลายดอกถือพานและถือโทรโข่งเปิดเพลงมาร์ชราชวัลลภเดินตาม โดยในขณะที่จำเลยเดินแบบ มีผู้ชุมนุมตะโกนคำว่า “พระราชินี” และ “ทรงพระเจริญ” มีผู้ชุมนุมยื่นมือไปจับข้อเท้า ซึ่งจำเลยได้หยุดยืนให้ผู้ชุมนุมจับข้อเท้า และจำเลยได้ยื่นมือออกไปให้ผู้ชุมนุมจับมือ การกระทำของจำเลยและสายน้ำเกิดขึ้นต่อเนื่องกัน เชื่อว่ามีการซักซ้อมเตรียมการกันมาก่อนเพื่อสื่อให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่า จำเลยแสดงตนเป็นราชินี และสายน้ำแสดงตนเป็นรัชกาลที่ 10 จำลองการเสด็จเยี่ยมราษฎรของทั้งสองพระองค์ในลักษณะล้อเลียน เสียดสี เชิงตลกขบขัน ไม่ให้ความเคารพต่อสถาบันกษัตริย์ อันเป็นกระทำที่ไม่บังควร จึงเป็นการร่วมกันดูหมิ่นพระมหากษัตริย์และพระราชินี ตามนัยมาตรา 112 

แม้จตุพรจะยื่นอุทธรณ์ยืนยันว่า การเดินแฟชั่นโชว์ของจำเลยไม่มีลักษณะล้อเลียน เสียดสี จำเลยเพียงแค่ใส่ชุดไทยเดินแฟชั่นในการชุมนุม ซึ่งการโบกมือทักทายผู้เข้าร่วมชมเป็นเรื่องปกติของการแสดง อีกทั้งการแสดงงานศิลปะหรือการเดินแฟชั่นนั้นเป็นศาสตร์ของการตีความตามความรู้สึกนึกคิดของผู้รับสารแต่ละบุคคล แต่ศาลอุทธรณ์ก็พิพากษายืนว่ามีความผิดตามมาตรา 112 โดยวินิจฉัยว่า ขณะจำเลยเดินอยู่บนพรมแดง ผู้ชมได้ตะโกนเรียกจำเลยว่า ‘พระราชินี’ และจำเลยได้หยุดให้ผู้ชุมนุมจับเท้าและจับมือด้วย แสดงให้เห็นว่า จำเลยยอมรับว่าแสดงตนเป็นพระราชินี โดยไม่ชี้แจงหรือปฏิเสธ และมีเจตนาแสดงการเสียดสีเปรียบเปรย เพื่อให้ประชาชนลดทอนความเคารพสักการะต่อรัชกาลที่ 10 และพระราชินี

ส่วนคดีของ “หนูรัตน์” กรณีทำคลิปวิดีโอโปรโมทแคมเปญลดราคาสินค้าของ Lazada จำเลยเบิกความว่ารับงานโฆษณาโดยได้รับบทเป็นคุณหนูเล็ก บ้านทรายทอง และมีบทให้ทำคอเอียง นั่งรถเข็นคนพิการ และรับรู้ว่าตัวเองถูกดำเนินคดี แต่ไม่รู้ว่าบุคคลในข้อกล่าวหา (เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ) คือใคร 

ศาลพิพากษายกฟ้อง โดยเห็นว่า ไม่ปรากฏว่าพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งหรือประกาศให้เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ เป็นรัชทายาทในรัชกาลที่ 10 เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ จึงไม่ใช่บุคคลซึ่งเป็นรัชทายาทในความหมายตามมาตรา 112 ส่วนโจทก์อ้างมาในคำฟ้องว่า คำว่าพระมหากษัตริย์มีความหมายรวมถึงสถาบันกษัตริย์ด้วยนั้น เห็นว่า มาตรา 112 ไม่ได้ระบุคำว่า “สถาบันกษัตริย์” ไว้โดยตรง การบังคับใช้กฎหมายอาญาไม่ควรตีความถ้อยคำไปในทางขยายความ 


นอกจากนี้คลิปวีดิโอที่สองเป็นลักษณะแนะนำสินค้า จำเลยที่ 2 (หนูรัตน์) นั่งอยู่บนรถเข็นคนพิการ ไม่ได้พูดเพียงแต่พยักหน้า พฤติการณ์แห่งคดีเพียงเท่านี้ยังไม่ปรากฏว่าได้มีการกระทำหรือใช้คำพูดในลักษณะใส่ความหรือดูถูก อันเป็นการดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาท จึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 112

ลำดับที่วันเกิดเหตุสาเหตุผู้ถูกกล่าวหา / จำเลยคำให้การสถานะคดี/คำพิพากษา
114 มี.ค. 2564แสดงงานศิลปะคล้ายธงชาติไร้สีน้ำเงินที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่1. “รามิล” วิธญา คลังนิล (1) และ 2. “เท็น” ยศสุนทร รัตตประดิษฐ์ (2)ต่อสู้คดีว่าจำเลยไม่ใช่ผู้เขียนข้อความตามฟ้อง ไม่ได้มีเจตนาทำให้คล้ายธงชาติ อีกทั้งการตีความงาน “แถบสีนามธรรม” ขึ้นอยู่กับความคิดและการให้ความหมายของผู้ชมงานศิลปะที่แตกต่างกันไป28 ส.ค. 2566ศาลจังหวัดเชียงใหม่พิพากษาจำคุกคนละ 3 ปี 6 เดือน ปรับคนละ 1,500 บาท ให้รอการลงโทษจำคุกไว้ 3 ปี
โดยเห็นว่าจำเลยชูธงในเวลาเดียวกับช่วงเคารพธงชาติ  ส่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยต้องการแสดงต่อผู้ชุมนุมว่าธงชาติไทยไม่จำเป็นต้องมีสีน้ำเงิน กล่าวคือ ไม่ประสงค์ให้มีพระมหากษัตริย์ในประเทศไทย
21 พ.ค. 2564แสดง Performance Art หน้าป้าย มช. ถูกกล่าวหาว่าใช้เท้าชี้รูป – เหยียดหยามกษัตริย์“รามิล” วิธญา คลังนิล ต่อสู้คดีว่า จำเลยแสดงศิลปะการแสดงสด Performance Art หากจะเข้าใจความหมายของการแสดงประเภทนี้จะต้องดูการแสดงทั้งหมด เพราะการแสดงมีการเคลื่อนไหวต่อเนื่อง 8 พ.ค. 2566 ศาลจังหวัดเชียงใหม่พิพากษายกฟ้อง โดยเห็นว่าการรับรู้และเข้าใจการกระทำของจำเลยขึ้นอยู่กับการตีความของแต่ละบุคคล มิใช่การยืนยันข้อเท็จจริง

ต่อมา 4 ก.ย. 2567 ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืนยกฟ้อง โดยเห็นว่า แม้อาจมีประชาชนจำนวนหนึ่งจะไม่สบายใจ แต่การกระทำในลักษณะดังกล่าวก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดต่อกฎหมาย จึงย่อมเป็นเสรีภาพในการแสดงออกที่ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ 
323 พ.ย. 2564โพสต์ภาพรัชกาลที่ 10 เปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกตเป็นชุดราตรีแบรนด์ Sirivannavariวารุณี (สงวนนามสกุล)(3)รับสารภาพ28 มิ.ย. 2566 ศาลอาญาพิพากษาจำคุก 1 ปี 6 เดือน ไม่รอการลงโทษ
49 มิ.ย.- 12 ก.ย. 2564เผยแพร่ภาพกราฟฟิก 2 ภาพ ในเพจเฟซบุ๊ก อัฐสิษฎ (สงวนนามสกุล)(4)รับสารภาพ28 ก.พ. 2567 ศาลอาญาพิพากษาจำคุก 2 ปี 12 เดือน ไม่รอการลงโทษ
516 ก.ย. 2564เผยแพร่ภาพวาดรัชกาลที่ 10 ใน Instagramทอปัด (สงวนนามสกุล)(5)รับสารภาพ3 ต.ค. 2567 ศาลอาญาพิพากษาจำคุก 1 ปี 6 เดือน ให้รอการลงโทษไว้ 3 ปี 
619 ก.ย. 2564โพสต์ภาพตัดแต่งพระบรมสาทิสลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 ในสตอรี่เฟซบุ๊กชลสิทธิ์ (สงวนนามสกุล)(6)รับสารภาพ1 ส.ค. 2565 ศาลจังหวัดกันทรลักษ์พิพากษาว่ามีความผิดตามฟ้อง แต่ให้รอกำหนดโทษไว้ 2 ปี
721 มี.ค.- 31 พ.ค. 2565ถูกกล่าวหาว่าเป็นแอดมินเพจเฟซบุ๊ก “คนกลมคนเหลี่ยม” วาดภาพเสียดสีใส่ร้ายรัชกาลที่ 10 รวม 2 โพสต์ และใส่ร้ายรัชกาลที่ 9 อีก 2 โพสต์“ตั้ม” จิรวัฒน์ (สงวนนามสกุล)(7)อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น
828 ก.ค. 2564โพสต์ภาพพร้อมข้อความ ‘ด้วยรักและฟัคยู #28กรกฎาร่วมใจใส่ชุดดำพริษฐ์ ชิวารักษ์(8)ต่อสู้คดีว่า เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ สามารถทำได้ตามกฎหมาย
และภาพดังกล่าว ต้องการสื่อถึงในเชิงศิลปะว่าให้พลิกมุมมองเพื่อให้คนมาสนใจปัญหา
31 ก.ค. 2567 ศาลอาญาพิพากษาจำคุก 2 ปี ไม่รอการลงโทษ
โดยเห็นว่าพยานโจทก์ทุกปากเบิกความตรงกันว่าภาพดังกล่าวเข้าลักษณะดูหมิ่นและแสดงความอาฆาดมาดร้ายในหลวงรัชกาลที่ 10 ถือเป็นการลดทอนคุณค่าสถาบันกษัตริย์ 
929 ต.ค. 2563แต่งชุดไทยร่วมเดินแฟชั่นโชว์ในกิจกรรม #ภาษีกูจตุพร แซ่อึง(9)ต่อสู้คดี โดยในชั้นอุทธรณ์ยืนยันว่า การเดินแฟชั่นโชว์ไม่มีลักษณะล้อเลียน เสียดสี เป็นเพียงแค่ใส่ชุดไทยเดินแฟชั่น ซึ่งการโบกมือทักทายผู้เข้าร่วมชมเป็นเรื่องปกติของการแสดง อีกทั้งการแสดงงานศิลปะหรือการเดินแฟชั่นนั้นเป็นศาสตร์ของการตีความตามความรู้สึกนึกคิดของแต่ละบุคคล12 ก.ย. 2565 ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษาจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา 

19 ส.ค. 2567 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โดยเห็นว่ามีเจตนาแสดงการเสียดสีเปรียบเปรย เพื่อให้ประชาชนลดทอนความเคารพสักการะต่อรัชกาลที่ 10 และพระราชินี
1029 ต.ค. 2563แต่งชุดเสื้อยืดเอวลอย และเขียนร่างกายด้วยหมึก ร่วมกิจกรรม #ภาษีกู (คดีเยาวชน)“สายน้ำ”(10)ต่อสู้คดีว่า การใส่เสื้อครอปท็อปก็เป็นเสื้อผ้าตามสมัยนิยม ไม่ว่าใครก็สามารถสวมใส่ได้ ไม่ผิดกฎหมาย ซึ่งจำเลยต้องการเลียนแบบ “จัสติน บีเบอร์”และการล้อเลียน ไม่เป็นการดูหมิ่นกษัตริย์ฯ เพราะไม่ครบองค์ประกอบ ม.11220 ก.ค. 2566ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางพิพากษาจำคุก 12 เดือน ให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี 

โดยเห็นว่าการกระของจำเลยมีเจตนาให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่าแสดงจำลองเป็นรัชกาลที่ 10 ทรงเยี่ยมราษฎร ถือเป็นการล้อเลียน เสียดสี และด้อยค่ากษัตริย์ ไม่ใช่การแสดงออกตามมุ่งหมายรัฐธรรมนูญ

16 ก.ย. 2567 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
1120 ธ.ค. 2563แต่งกายชุดครอปท็อป เดินสยามพารากอน เพื่อรณรงค์ “ยกเลิก112”1. พริษฐ์ ชิวารักษ์2. ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล (11)3. ภวัต หิรัณย์ภณ (12)4. เบนจา อะปัญ (13)5. ภาณุพงศ์ จาดนอก (14)อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น
1220 ธ.ค. 2563แต่งกายชุดครอปท็อป เดินสยามพารากอน เพื่อรณรงค์ “ยกเลิก112”(คดีเยาวชน)1. ณัฐ (นามสมมติ) (15) และ2. ธนกร (สงวนนามสกุล) (16)ต่อสู้คดีว่า ไม่มีเจตนาตามฟ้อง การสวมใส่เสื้อครอปท็อปสามารถทำได้ เป็นสิทธิและเสรีภาพที่ถูกรองรับไว้ภายใต้รัฐธรรมนูญ5 มิ.ย. 2567ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง พิพากษาจำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นเข้ารับการฝึกอบรมระยะเวลาขั้นต่ำ 1 ปี และขั้นสูง 2 ปี 

โดยเห็นว่า แม้จำเลยจะอ่านดูข้อความบนเนื้อตัวร่างกายรวมถึงการแสดงบทบาทของพริษฐ์, ปนัสยา และเบนจาแล้ว หากจำเลยทั้งสองไม่มีเจตนาดูหมิ่นฯ ก็ควรจะปลีกตัวแยกออกไป แต่จำเลยยังคงอยู่ทำกิจกรรมอยู่ด้วยจนเกือบตลอด จึงถือว่าเห็นด้วยกับการกระทำ และมีความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ 
1515 มี.ค. 2565โพสต์รูปภาพครอบครัวของรัชกาลที่ 10 พร้อมข้อความบนเฟซบุ๊ก “บังเอิญ” (22)ต่อสู้คดีว่า ผลงานศิลปะที่สร้างสรรค์มีอิสระในตนเอง มุมมองของงานศิลปะจะขึ้นอยู่กับประสบการณ์ชีวิตของผู้ชม ซึ่งแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน29 ม.ค. 2568 ศาลอาญาพิพากษาจำคุก 3 ปี 6 เดือน 10 วัน ไม่รอการลงโทษ

โดยเห็นว่ามีการทำให้เป็นภาพขาวดำ และใช้สีดำในการตกแต่งพระพักตร์ของรัชกาลที่ 10 และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ให้ดูน่ากลัว แตกต่างจากภาพต้นฉบับที่มีสีสันงดงาม
134 พ.ค. 2565ทำคลิปวิดีโอโปรโมทแคมเปญลดราคาสินค้าของ Lazada“นารา” อนิวัต ประทุมถิ่น (17)ต่อสู้คดี21 ธ.ค. 2566ศาลอาญาพิพากษายกฟ้องทุกข้อหา 

โดยเห็นว่า จำเลยได้ทำคลิปโฆษณาแสดงบทบาทสมมติต่าง ๆ ซึ่งยังไม่เป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 112
144 พ.ค. 2565ทำคลิปวิดีโอโปรโมทแคมเปญลดราคาสินค้าของ Lazada1. “มัมดิว” กิตติคุณ ธรรมกิติราษฎร์ (18)2. “หนูรัตน์” ธิดาพร ชาวคูเวียง (19)3. บริษัทขายตรง (20)4. บริษัทโฆษณา (21)จำเลยที่ 2-4 ต่อสู้คดีว่าไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง โดยจำเลยที่สองต่อสู้ในทำนองว่ารับงานโฆษณา และรับรู้ว่าตัวเองถูกดำเนินคดี แต่ไม่รู้ว่าบุคคลในข้อกล่าวหาคือใคร 
ส่วนจำเลยที่ 1 ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดี
30 ต.ค. 2567ศาลอาญาพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2-4 
โดยเห็นว่าการบังคับใช้กฎหมายอาญาไม่ควรตีความถ้อยคำไปในทางขยายความ และพฤติการณ์แห่งคดีเพียงเท่านี้ยังไม่ปรากฏว่าได้มีการกระทำหรือใช้คำพูดในลักษณะใส่ความหรือดูถูก อันเป็นการดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาท 

*หมายเหตุ ข้อมูลจนถึงวันที่ 15 มี.ค.​ 2568

X