วันที่ 19 ส.ค. 2567 ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้มีนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีของ “นิว” จตุพร แซ่อึง นักกิจกรรมจากจังหวัดบุรีรัมย์วัย 27 ปี ผู้ถูกกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ, พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ และ พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงฯ จากเหตุแต่งชุดไทยไปร่วมม็อบแฟชั่นโชว์ ใน #ม็อบ29ตุลา รันเวย์ของประชาชน ที่หน้าวัดแขก ถนนสีลม
คดีนี้ เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2565 ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 3 ปี ในข้อหามาตรา 112 และปรับ 1,500 บาท ในข้อหาตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ ส่วนข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง โดยศาลยังลดโทษให้ 1 ใน 3 เนื่องจากให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา คงเหลือโทษจำคุก 2 ปี และปรับ 1,000 บาท ไม่รอลงอาญา ครั้งนั้นจตุพรต้องถูกคุมขังที่ทัณฑสถานหญิงกลางนาน 3 วัน ก่อนศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวด้วยหลักทรัพย์ 200,000 บาท
จากวันนั้นผ่านมาแล้วเกือบ 2 ปีแล้ว ที่ผ่านมาคดีความที่ยังไม่สิ้นสุดส่งผลให้เธอรู้สึกไม่มั่นคงในชีวิตและจิตใจ รู้สึกเป็นกังวลว่าเมื่อไรคดีจะมีคำพิพากษาในศาลชั้นถัดไปและจะได้รับสิทธิประกันตัวหรือไม่ นั่นทำให้เธอไม่กล้าจะก้าวเดินชีวิตของตัวเองไปทางไหน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนทำธุรกิจ หรือศึกษาต่อในวิชาชีพที่ฝันไว้
ปลายเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา จตุพรพยายามก้าวออกนอกพื้นที่ปลอดภัย โดยได้สมัครเรียนทำอาหารเพื่อเป็นเชฟฝึกหัด พร้อมทั้งตัดสินใจซื้อเครื่องแบบและจ่ายค่าเรียนเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่กี่วันต่อมาเธอได้รับหมายศาลแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในคดีนี้
จตุพรบอกอีกว่า ในวันนี้ (19 ส.ค.) ตรงกับ ‘วันคล้ายวันเกิด’ ของแม่เธอด้วย นอกจากนี้ การเดินทางมาฟังคำพิพากษาในครั้งนี้ เป็นการเดินทางมาจากบ้านเกิดที่จังหวัดบุรีรัมย์ เพราะเมื่อวันที่ 10 ส.ค. ที่ผ่านมา พ่อของจตุพรป่วยเป็น ‘ไข้หวัดใหญ่’ ก่อนจะพบว่ามีภาวะ ‘ติดเชื้อในเยื่อหุ้มสมอง’ ต้องเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วนในห้องผู้ป่วยอาการวิกฤต (ICU) เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้ตอนนี้มีเพียงแม่ของจตุพรคอยดูแลอยู่อย่างใกล้ชิดที่โรงพยาบาล
“อย่างน้อยขอแค่ได้กลับไปดูแลพ่อที่อยู่ห้องไอซียูก่อนได้มั้ย
ขอกลับไปฉลองวันเกิดกับแม่ก่อนได้มั้ย
ตอนนี้แม่เฝ้าพ่ออยู่คนเดียว แม่หนูเขาก็เป็นโรคหัวใจอยู่ด้วย”
จตุพรบอกเราขณะนั่งอยู่ในห้องพิจารณาคดีที่ 403 ระหว่างรอศาลเดินเข้ามาอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลอุทธรณ์: จำเลยจงใจเลียนแบบเป็นราชินี ไม่ปฏิเสธคนตะโกน ‘ทรงพระเจริญ’
ในเวลาประมาณ 10.00 น. ผู้พิพากษาอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ซึ่งมีเนื้อหาโดยสรุปว่า ข้อเท็จจริงในคดีนี้รับฟังได้ว่า วันเกิดเหตุสถานที่ถูกปูพื้นด้วยพรมสีแดง บริเวณนั้นมีป้ายสีดำเขียนคำว่า ‘ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์’ และป้ายข้อความต่าง ๆ จำเลยแต่งกายด้วยชุดไทยสีชมพูและถือกระเป๋าสีทองเดินไปบนพรมแดง โดยมีชายผู้หนึ่งสวมชุดไทยราชปะแตนเดินตามหลังเพื่อกางร่มให้ และมีหญิงอีกคนถือพานทองเดินตามหลังด้วย
ระหว่างจำเลยเดินบนพรมแดง ผู้คนบริเวณนั้นตะโกนว่า ‘ทรงพระเจริญ’ และ ‘พระราชินี’ ผู้ชุมนุมบางคนยื่นมือไปจับข้อเท้าของจำเลย ระหว่างนั้นผู้ชุมนุมตะโกนคำว่า พระราชินีและทรงพระเจริญอยู่ตลอด จากนั้น “สายน้ำ” ซึ่งสวมเสื้อยืดกล้ามเอวลอยสีดำ และเขียนข้อความบนร่างกายว่า “พ่อกูชื่อมานะ ไม่ใช่วชิราลงกรณ์” ได้เดินไปบนพรมแดงต่อจากจำเลย และผู้ชุมนุมได้ตะโกนคำว่า ‘ทรงพระเจริญ’ และ ‘ในหลวงสู้ๆ’ ด้วย
สำหรับความผิดตามข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ และ พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงฯ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ส่วนข้อหาตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษปรับ 1,500 บาท เป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น เนื่องจากจำเลยไม่ได้ยื่นอุทธรณ์แก้ต่าง
ส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ฐานร่วมกันดูหมิ่น หมิ่นประมาท และอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินีฯ เห็นว่า ขณะจำเลยเดินอยู่บนพรมแดงออกผู้คนได้ตะโกนว่า ‘ทรงพระเจริญ’ และ ‘พระราชินี’ โดยผู้ชุมนุมยื่นมือออกไปเพื่อขอจับข้อเท้าและจำเลยก็หยุดให้จับด้วย แสดงให้เห็นว่าจำเลยยอมรับว่าตนเองนั้นแสดงเลียนแบบพระราชินี โดยไม่ทำการปฏิเสธ แม้ว่าจะสามารถทำได้ก็ตาม
เมื่อพิจารณาดูสถานที่ในขณะเกิดเหตุและผู้คนซึ่งตะโกนโห่ร้อง เสียดสี และล้อเลียน แสดงให้เห็นว่าจำเลยต้องการแสดงออกว่าตนเองนั้นเป็นพระราชินี และสายน้ำเลียนแบบว่าเป็นพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศ ผู้ใดจะละเมิดในทางใดไม่ได้ ผู้คนให้การเทิดทูนไว้เหนือเกล้าจะกระทำการอันละเมิดไม่ได้
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานร่วมกันดูหมิ่น หมิ่นประมาท และอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินีฯ ยืนตามศาลชั้นต้น อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น จำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 2 ปี ในข้อหาตามมาตรา 112 และปรับ 1,000 บาท ในข้อหาตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ
หลังจบการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ทนายความได้ยื่นประกันจตุพรระหว่างฎีกาด้วยหลักทรัพย์ 200,000 บาท จากกองทุนราษฎรประสงค์ ต่อมา ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งส่งคำร้องให้ศาลฎีกาพิจารณา ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน ทำให้ระหว่างรอฟังคำสั่งจตุพรจะต้องถูกนำตัวไปคุมขังยังทัณฑสถานหญิงกลาง
นี่จึงนับเป็นครั้งที่ 2 แล้วที่จตุพรต้องถูกคุมขังในเรือนจำ และทำให้จำนวนผู้ต้องขังทางการเมืองเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 43 คน ในจำนวนนี้เป็นคดีมาตรา 112 เกินครึ่งถึง 29 คน และเป็นผู้ต้องขังระหว่างการต่อสู้คดีที่ไม่ได้รับสิทธิประกันตัวถึง 21 คน
.
(เพิ่มเติมข้อมูล) ต่อมาวันที่ 21 ส.ค. 2567 ศาลฎีกาได้มีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวจตุพร โดยเห็นว่า “พิเคราะห์ข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่าโทษตามคำพิพากษาไม่สูงมากนัก จำเลยได้รับการปล่อยชั่วคราวตลอดไม่มีพฤติการณ์หลบหนี จึงอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างฎีกา ตีราคาประกัน 200,000 บาท
“โดยกำหนดเงื่อนไขห้ามจำเลยกระทำหรือเข้าร่วมกิจกรรมซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ในลักษณะเดียวกับการกระที่ถูกฟ้องร้อง และห้ามจำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาหลักประกัน แจ้งเงื่อนไข แจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป”
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
คำพิพากษาศาลชั้นต้น – พิพากษาจำคุก 3 ปี คดี 112 “นิว” จตุพร ศาลเห็นว่าการแต่งชุดไทยเป็นการล้อเลียนเสียดสีราชินี ก่อนถูกคุมตัวเข้าเรือนจำ ระหว่างรอประกันชั้นอุทธรณ์
บันทึกสืบพยาน – ประมวลสืบพยานคดีแต่งชุดไทยเดินแฟชั่นโชว์ วัดแขก สีลม: 112 และการแต่งกาย
ความเปลี่ยนแปลงของรอยสักเลข “๙” ผลกระทบจากคดี 112 และการเตรียมใจของ “นิว จตุพร”