“นิว” จตุพร แซ่อึง นักกิจกรรมทางการเมืองจากจังหวัดบุรีรัมย์วัย 24 ปี เป็นผู้เข้าร่วมการชุมนุมในทุกครั้งเท่าที่จะสามารถ และกลายเป็นผู้ถูกกล่าวหาในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จากเหตุแต่งชุดไทยไปร่วมเดินแฟชั่นโชว์ในการชุมนุม #ภาษีกู ที่วัดแขก ถนนสีลม เมื่อวันที่ 29 ต.ค. 2563
คดีของนิว ศาลอาญากรุงเทพใต้ทำการสืบพยานต่อเนื่องจนเสร็จสิ้นไปเมื่อเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา และนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 12 ก.ย. ที่จะถึงนี้ ในช่วงเวลาระหว่างการสืบพยาน ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนมีโอกาสได้พูดคุยกับนิวถึงทิศทางของการต่อสู้คดีและความรู้สึกต่อสถาบันกษัตริย์ที่เปลี่ยนแปลงไปภายหลังถูกดำเนินคดี
.
เตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว
“เตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว” คือคำตอบในทันทีทันใดของนิวเมื่อถูกถามถึงการประเมินผลของคดี
นิวบอกว่าการติดตามอ่านข่าวคดีของคนอื่นๆ ทำให้พอจะมองเห็นว่าคดีของตนเองอาจถูกตัดสินให้มีความผิด โดยเฉพาะคำพิพากษาในคดีโพสต์กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจ ของสมบัติ ทองย้อย ที่ไม่น่าจะเป็นความผิด ก็ถูกศาลเห็นว่ามีความผิด ดังนั้นแล้วนิวจึงเลือกที่จะเตรียมตัวเตรียมใจไว้ว่าอาจต้องสูญเสียเสรีภาพ ตั้งแต่เริ่มต้นการสืบพยาน
แต่ถึงอย่างนั้น นิวก็ยังคงพูดติดตลกตามสไตล์ของตนเองว่า “อีกอย่างที่เตรียมไว้ก็คือ ถ้าได้เข้าไปจริงๆ แล้วจะไม่อดอาหาร แต่จะกินให้เยอะ กินอย่างมีความสุข จะกินให้ราชทัณฑ์งงไปเลย”
.
แค่แต่งชุดไทย เอาอะไรมาผิด?
“เอาจริงมั้ยพี่ รู้สึกภูมิใจนิดนึงเหมือนกันนะที่โดนคดีนี้ เพราะมันทำให้เห็นเลยว่าประเทศนี้มีปัญหาเรื่องความอยุติธรรม คือแค่แต่งชุดไทยอ่ะ มันไม่ควรเป็นความผิด”
นิว — จตุพร แซ่อึง
นิวพูดถึงความรู้สึกของตัวเองในฐานะที่กลายเป็นถูกกล่าวหาในคดี 112 ก่อนที่จะขยายความต่อไปถึงผลกระทบหลายอย่างที่เนื่องมาจากการถูกดำเนินคดี
“พอโดนคดีแล้วชีวิตมันสะดุดนะ อย่างเช่นตอนช่วงที่มีนัดอัยการก็ต้องเดินทางไป-กลับระหว่างกรุงเทพฯ และบ้านอยู่บ่อยๆ เราไม่สามารถวางแผนชีวิตไปทำอย่างอื่นได้เลย เพราะต้องสแตนบายรอการเดินทาง ซึ่งบางครั้งก็ต้องเดินทางกว่า 800 กิโลเมตร มาเพื่อเซ็น 1 ลายเซ็น หรือไม่ก็มาเพื่อฟังคำว่า ‘เลื่อน’”
ในอีกทางหนึ่ง การถูกคดียังมีผลกระทบต่อการหางานด้วย เพราะการต้องมาตามนัดทุกครั้งจนกว่าจะสิ้นสุดกระบวนการทางกฎหมาย ทำให้ไม่สามารถทำงานให้นายจ้างได้อย่างเต็มเวลา นิวเล่าว่า “พอเราโดนคดีแบบนี้ เราก็ทำงานได้ไม่เต็มเวลา แต่นายจ้างเขาต้องการคนทำงานแบบเต็มเวลา ซึ่งเราทำให้ไม่ได้เพราะติดพันอยู่กับคดี อันนี้ก็เข้าใจเขานะ นี่เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ตอนนี้ว่างงาน”
นอกเหนือจากนี้ นิวยังบอกด้วยว่า 112 ได้พรากเอาความฝันของตนไปภายใต้คำว่า “เงื่อนไขของศาล”
“ที่จริงนิวมีความฝันนะ ฝันว่าอยากจะไปเป็นเชฟ อยากไปทำอาหารไทยขายที่อเมริกา ซึ่งมันก็พอมีทางเป็นไปได้ แต่เพราะติดเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศของศาล ความฝันมันก็เลยต้องหยุดไว้ก่อน”
.
ความเปลี่ยนแปลงของรอยสักเลข “๙”
สำหรับนิว จตุพร นอกจากภาพจำที่ชัดเจนนอกจากการแต่งชุดไทยสีชมพูที่แพร่หลายไปทั่วสังคมออนไลน์ และได้กลายมาเป็นเหตุแห่งคดีแล้ว ยังมีรอยสักหมายเลข “เก้า” ไทยเป็นเครื่องหมายประจำตัวอีกอย่างหนึ่ง
นิวได้พูดถึงรอยสักนี้ไว้ว่า “ตอนนั้นสักช่วงที่ท่านเพิ่งเสียใหม่ๆ แล้วตอนนั้นก็พูดออกมาเลยว่า ขอให้ท่านอยู่ในผิวหนังลูกตลอดไป”
นิวเล่าว่า ก่อนหน้านี้ตนเองคือคนหนึ่งที่รักในหลวงมาก โดยเฉพาะ ร.9 เพราะได้รับการปลูกฝังจากทั้งที่บ้านและโรงเรียน “เคยรักมากถึงขึ้นที่มาเที่ยวตลาดสำเพ็ง เจอร้านขายเสื้อเหลืองแล้วก็วิ่งเข้าใส่เลย”
แต่มาครั้งนี้ นิวบอกว่ารอยสักเลขเก้าได้มีเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ซึ่งแรงบันดาลใจที่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงก็เนื่องมาจากการถูกดำเนินคดีในข้อหาตาม ม.112 นั่นเอง
“ก็ไปเติมเส้นสีแดง 3 เส้นนี้มา เพิ่งไปเติมมาหลังจากถูกคดีนี้แหละ”
ทั้งนี้ นิวยังได้พูดถึงเรื่องความรักและไม่รักต่อสถาบันกษัตริย์ด้วยว่า “จะเอาอะไรมาตัดสินว่าใครรักหรือไม่รักสถาบัน สำหรับตัวเองแล้วคิดว่าสิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าสถาบันไม่น่ารัก ไม่น่าเคารพ ก็คือการถูกดำเนินคดีนี้ อยากให้สถาบันลองนึกดูดีๆ ว่าการที่ผู้คนเรียกร้องให้สถาบันปฏิรูป กับผู้คนที่ถือรูปแล้วไล่ตีคนอื่น แบบไหนที่ทำให้สถาบันเสื่อมเสียมากกว่ากัน”
.
ความรู้สึกต่อกระบวนการสืบพยานในคดี
สำหรับคดี 112 ของนิว นับเป็นอีกหนึ่งคดีที่มีพยานบุคคลฝ่ายโจทก์เป็นจำนวนมาก แม้ศาลจะมีคำสั่งให้ตวรจพยานบุคคลใหม่แล้ว ก็ยังมีพยานฝ่ายโจทก์ขึ้นเบิกความเป็นจำนวนกว่า 13 ปาก ทำให้การสืบพยานกินเวลาติดต่อกันหลายวัน
ตลอดเวลาหลายวันนั้น นิวบอกถึงความรู้สึกว่า “รู้สึกว่ากระบวนไม่ค่อยยุติธรรม ไม่เลย เท่าที่ฟังมาตลอดก็เห็นมีการจดบ้าง ไม่จดบ้าง เอาจริงก็อยากให้มีการบันทึกอะไรๆ ที่พอจะเป็นประโยชน์กับคดีของตัวเองบ้างเหมือน”
นอกจากนี้ ตลอดเวลาที่มีการสืบพยาน นิวมีสิ่งที่อยากสื่อสารกับคู่ความของตนเองด้วย นั่นก็คือว่า “ที่แต่งตัวแบบนั้นเพราะมันเป็นงานแฟชั่น และในชีวิตไม่มีโอกาสใส่ชุดไทยที่เป็นชุดประจำชาติ ก็เลยอยากใส่ ไม่ได้อยากจะเป็นใคร แค่อยากเป็นตัวเองในเวอร์ชันชุดไทยก็แค่นั้น”