เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2567 เป็นวันสุดท้ายของการสืบพยานในคดี ม.112 – พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ของ “หนูรัตน์” กรณีร่วมแคมเปญ 5.5 LAZADA กับ “นารา เครปกะเทย” และ “มัมดิว” เมื่อปี 2565 ในวันดังกล่าว มีการขึ้นเบิกความของพยานโจทก์และจำเลย โดยหนูรัตน์อ้างตัวเองเป็นพยานจำเลย ขึ้นเบิกความด้วยตัวเอง
ก่อนนัดสืบพยานครั้งสุดท้าย หนูรัตน์บอกกับทนายความว่าเธอเพิ่งไปปรับเครื่องช่วยฟังใหม่มา เพราะตลอดการสืบพยานที่ผ่านมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม การได้ยินและรับรู้ของเธอค่อนข้างเป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะห้องพิจารณาคดีมีขนาดกว้าง โดยจากตรงเก้าอี้ยาวที่เธอนั่งในฐานะจำเลย เธอแทบไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องสี่เหลี่ยมกว้างนี้เลยสักนิดเดียว
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ชวนอ่านคำเบิกความและการต่อสู้คดีของหนูรัตน์ที่ยืนยันว่าข้อกล่าวหาที่กล่าวหาว่าเธอว่าหมิ่นประมาทตาม ม.112 นั้น ไม่เป็นความจริง
“หนูรัตน์” ขึ้นเบิกความบทบาทที่แสดงคือ “หนูเล็ก” บ้านทรายทอง ไม่ใช่เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์
การสืบพยานจำเลยเริ่มขึ้น หนูรัตน์สวมใส่ชุดสีเหลืองทั้งตัว เธอยืนขึ้นและเดินเข้าไปนั่งที่คอกพยานตรงหน้าศาลด้วยท่าทีสุภาพ และเนื่องจากเธอมีปัญหาการได้ยิน ทนายความจึงถามความโดยขอให้เธอตอบใช่หรือไม่เป็นส่วนใหญ่
“หนูชื่อ สุภัคชญา ชาวคูเวียง ปัจจุบันอายุ 31 ปี” เธอกล่าวแสดงตัว ทนายจำเลยจึงถามต่อถึงระดับการศึกษาสูงสุดของเธอว่าคือระดับ ปวช. ที่จังหวัดสระบุรี ในสาขาวิชาการบัญชี ใช่หรือไม่ หนูรัตน์ตอบว่าใช่
เมื่อทนายความถามถึงความพิการทางร่างกายว่าหนูรัตน์มีความพิการทางการได้ยิน โดยเป็นคนหูตึง พูดไม่ค่อยชัด เนื่องจากลิ้นไก่สั้นแต่กำเนิด หนูรัตน์ตอบว่าใช่ ส่วนการประกอบอาชีพปัจจุบัน เธอตอบว่า “เล่นลิเกค่ะ”
นอกจากเล่นลิเกแล้ว หนูรัตน์ยังเบิกความตอบศาลว่า เธอขายสินค้าออนไลน์ด้วย โดยเป็นการรับสินค้ามาโฆษณา ทำมาตั้งแต่ปี 2558
“หนูเล่นลิเก และรับของจากโรงงานมาขายออนไลน์ในเฟซบุ๊กตัวเอง หนูเจอนาราจากเพจหนู เขาติดต่อมา ตอนนั้นเขาก็ช่วยหนูซื้อของออนไลน์ด้วยในปี 61”
“นาราช่วยหาจ้างงานให้หนู หนูเริ่มทำคลิปตลกตั้งแต่ปี 62 เราติดต่อกันบ่อย หลายครั้ง และเขาก็มาช่วยซ่อมบ้านให้หนูด้วยปี 64”
ทนายความถามต่อไปว่าเกี่ยวกับคดีนี้ มีที่มาที่ไปอย่างไรที่ทำให้หนูรัตน์ถูกแจ้งข้อหามาตรา 112 หนูรัตน์ตอบว่า “นาราโทรมาวันที่ 2 พ.ค. ประมาณเที่ยง ๆ บอกหนูว่ามีงานให้ทำ เจอกันวันที่ 3 พ.ค. เป็นงานถ่ายเซรั่ม นัดให้หนูไปเจอประมาณ 1 ทุ่ม แต่หนูไปถึง 1 ทุ่มครึ่ง สถานที่คือสตูดิโอ”
“นาราให้หนูเข้าไปแต่งหน้า แล้วก็เจอมัมดิว”
ทนายถามต่อในประเด็นเกี่ยวกับเนื้อหาที่ถ่ายโฆษณาว่า บทบาทที่หนูรัตน์ได้เล่นคือบทของใครและมีเนื้อหาอย่างไร
“เขาให้ถ่ายเป็น คุณหนูเล็ก บ้านทรายทอง บอกบทให้หนูทำคอเอียง นั่งรถเข็นคนพิการ” และหนูรัตน์ยืนยันกับทนายเพิ่มเติมว่าบทบาทสมมติดังกล่าว ไม่มีใครเอารูปคนอื่นมาให้ดูเพิ่มเติม เธอเลยเข้าใจว่าเล่นเป็นคุณหนูเล็ก
“หนูถ่ายทั้งหมด 2 คลิป มีคลิปเซรั่มที่ถ่ายกัน 3 คน กับคลิปที่เล่นเป็นคุณหนูเล็ก เป็นโฆษณา” โดยหนูรัตน์เบิกความต่อไปอีกว่า การถ่ายทำดังกล่าวเกิดขึ้นไม่นาน และเสร็จสิ้นในเวลาประมาณ 21.00 น. การจัดการตั้งแต่การแต่งหน้า จัดทรงผม และชุดที่ใส่ล้วนเป็นสิ่งที่เธอไม่ได้จัดเตรียม
หลังจากนั้นไม่นาน ในเดือนมิถุนายน 2565 ตำรวจก็ได้เข้าจับกุมหนูรัตน์ และพาตัวมาสอบสวนแจ้งว่าเธอกระทำผิดในข้อหาตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เธอบอกว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดตามข้อกล่าวหา
“หนูได้รับงานที่ต้องใส่ชุดไทยบ่อย ๆ และหนูก็ถ่ายคลิปตลก ๆ ในเฟซบุ๊กตัวเอง”
อย่างไรก็ตาม ทนายของจำเลยที่ 4 (ลาซาด้า) ได้ถามหนูรัตน์ต่อว่าในการถ่ายทำโฆษณาในคดีนี้ หนูรัตน์ไม่ได้รับการว่าจ้างจากลาซาด้าให้ทำโฆษณาในแคมเปญใด ๆ มาก่อนใช่หรือไม่ หนูรัตน์ตอบว่าใช่ ที่เธอไปถ่ายก็เพราะเป็นการชักชวนจากนาราอีกทีหนึ่ง
อัยการโจทก์ขึ้นถามค้าน โดยถามต่อหนูรัตน์ว่า ในคดีนี้เธอถูกฟ้องด้วยข้อหา ม.112 ซึ่งมีการเลียนแบบและดูหมิ่นเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ ซึ่งเป็นพระขนิษฐภคินีของรัชกาลที่ 10 เธอรู้หรือไม่ หนูรัตน์ตอบว่าเธอไม่รู้ว่าเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์คือใคร และไม่สามารถระบุตัวของพระองค์ได้ว่ามีรูปพรรณเป็นอย่างไร แต่เธอรู้จักในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นบุคคลที่อยู่ตามภาพถ่ายข้างหลังบัลลังก์ของศาล
อัยการจึงถามต่อไปว่า แต่หนูรัตน์รู้ใช่หรือไม่ว่าตัวเองกำลังถูกดำเนินคดีความตามข้อหาดังกล่าว และรู้ใช่หรือไม่ว่าโดนกล่าวหาว่าล้อเลียนเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ หนูรัตน์ยอมรับว่ารู้ว่าตัวเองถูกดำเนินคดี แต่ไม่รู้ว่าบุคคลในข้อกล่าวหาคือใคร แม้โจทก์จะยื่นภาพถ่ายบุคคลให้เธอชี้ตัวบุคคลว่าใครคือเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ
ทั้งนี้ หนูรัตน์ยืนยันว่าตัวเองไม่ได้เลียนแบบเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ และนาราก็ไม่เคยเอารูปของพระองค์ให้เธอดูก่อนถ่ายโฆษณามาก่อน นอกจากนี้ ช่างที่แต่งหน้าให้หนูรัตน์ในวันถ่ายทำ ก็ไม่ได้มีรูปถ่ายของพระองค์มาเป็นแบบแต่งหน้าแต่อย่างใด
อัยการจึงถามต่อไปว่าหนูรัตน์เคยดูละครบ้านทรายทองหรือไม่ ที่มีชายเล็กนั่งรถเข็น หนูรัตน์ตอบว่า “บทหนูเล็กไม่เหมือนกับในทีวี ตามที่นาราออกแบบมา บทนี้ไม่เหมือนกับในละคร”
อย่างไรก็ตาม อัยการถามต่อไปว่าตั้งแต่ที่เป็นเพื่อนกับนารามา รู้หรือไม่ว่านารามีทัศนคติที่เป็นลบกับสถาบันกษัตริย์
“หนูติดตาม TikTok และเป็นเพื่อนกับนารา แต่ไม่เคยเห็นเรื่องแสดงความเห็นอื่น ๆ และเป็นเพื่อนกับมัมดิว และไม่ทราบว่ามัมดิวแต่งตัวเลียนแบบใคร” หนูรัตน์ตอบ
อัยการโจทก์จบการถามค้าน ทนายความของหนูรัตน์จึงเริ่มถามติง 1 ประเด็น คือเรื่องละครบ้านทรายทองที่หนูรัตน์เบิกความข้างต้น เป็นบทละครที่ถูกคิดขึ้นใหม่ให้เธอเล่นโดยเฉพาะหนูรัตน์ใช่หรือไม่ เธอยืนยันว่าใช่
.
ศาลพิพากษายกฟ้อง “หนูรัตน์”
ต่อมาในวันที่ 30 ต.ค. 2567 เวลา 09.30 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 805 หนูรัตน์เดินทางมาพร้อมกับครอบครัว เธอใส่ชุดเหลืองเช่นเดิม ในวันนี้ศาลอ่านคำพิพากษา โดยมีใจความสำคัญระบุว่าเธอไม่มีความผิดตามฟ้อง ระบุ การแสดงบทบาทของจำเลย เป็นบทบาทสมมติ ไม่มีพยานหลักฐานของโจทก์แสดงให้เห็นว่าจำเลยแสดงเลียนแบบเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ อย่างไร และเนื่องจากพระมหากษัตริย์ทรงยังมิได้แต่งตั้งองค์รัชทายาท เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ ก็ย่อมไม่ใช่เจ้านายเชื้อพระบรมราชวงศ์ที่ได้รับการแต่งตั้งตามกฎมณเฑียรบาลฯ ดังกล่าว
ดังนั้น คำว่า รัชทายาท ตามฟ้อง ที่โจทก์กล่าวหา จำเลยที่ 2 (หนูรัตน์) ว่า ดูหมิ่นเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ จึงไม่เข้าองค์ประกอบความผิดของมาตรา 112 การบังคับใช้มาตรา 112 ไม่ควรตีความในทางขยายความให้เกินกว่าข้อบัญญัติของกฎหมาย พิพากษายกฟ้อง
หลังจบการอ่านคำพิพากษา ทนายความได้เข้าไปอธิบายโดยสรุปเกี่ยวกับคำพิพากษาให้เธอฟ้อง หลังรู้ว่าพ้นข้อกล่าวหาแล้ว หนูรัตน์แสดงท่าทีโล่งใจและยิ้มออกมาได้ เธอเดินออกมาจากห้องพิจารณาคดีพร้อมบิดา และผู้จัดการส่วนตัว
“ก็ 3 ปีแล้ว เดินทางเยอะ 3 ปีเลย รู้สึกจะได้ไม่ต้องมาอีกแล้ว” หนูรัตน์กล่าว
“หนูจะได้ทำงานรู้สึกสบายทั่วไปขึ้น” หนูรัตน์เปิดเผยความรู้สึกของตัวเอง เธอกล่าวเพิ่มเติมว่าการเดินทางมีความยากลำบาก เพราะเวลามาตามนัดหมายของศาล เธอต้องเดินทางจากสระบุรีเข้ากรุงเทพฯ ทุกครั้ง
วันนี้ศาลยกฟ้อง การที่หนูรัตน์ถูกกล่าวหาเพราะทำงาน “คือหนูไม่รู้เรื่องหรอกว่าให้หนูไปทำอะไร เขาไม่ได้บอกล่วงหน้า พอถึงหน้างานเราก็แต่งหน้าที่ไม่แต่งเหมือนใคร”
“หนูทำงานแบบนี้มาถูกต้องแล้ว เป็นความเต็มใจ เป็นงานสุจริต พออยู่งานเราก็ได้บทคุณหนูเล็กไง” หนูรัตน์ทิ้งทวนเป็นการยืนยันความบริสุทธิ์ของเธอ ก่อนเดินทางกลับบ้านที่สระบุรี