ศาลอุทธรณ์ฯ พิพากษายืนคดี 112  “สายน้ำ” แต่งครอปท็อปเดินแฟชั่นโชว์สีลม จำคุก 12 เดือน รอลงอาญา

วันที่ 16 ก.ย. 2567 เวลา 09.00 น. ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางนัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว ในคดีของ “สายน้ำ” นักกิจกรรมเยาวชน ณ ขณะเกิดเหตุอยู่ในวัย 16 ปี  ผู้ถูกฟ้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เหตุแต่งเสื้อครอปท็อป (เสื้อกล้ามเอวลอย) เข้าร่วมเดินแฟชั่นโชว์ และเขียนข้อความบนร่างกายในการชุมนุม #ภาษีกู เมื่อวันที่ 29 ต.ค. 2563 ที่บริเวณด้านหน้าของวัดแขก บนถนนสีลม

คดีนี้มี วริษนันท์ ศรีบวรธนกิตติ์ แอดมินเพจ “เชียร์ลุง” เป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษไว้ที่ สน.ยานนาวา และพนักงานอัยการคดีเยาวชนมีคำสั่งฟ้อง “สายน้ำ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ มาตรา 34 (6), และ พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงฯ มาตรา 4

พฤติการณ์ข้อกล่าวหาโดยสรุประบุว่า สายน้ำได้ร่วมเดินบนพรมแดงฝั่งถนนสีลมขาออกโดยแต่งกายด้วยชุดครอปท็อปสีดำ สวมกางเกงยีนส์ขายาวใส่รองเท้าแตะ และเขียนข้อความที่ร่างกายบริเวณแผ่นหลังลงมาถึงเอวว่า “พ่อกูชื่อมานะ ไม่ใช่วชิราลงกรณ์” โดยก่อนที่สายน้ำจะเดินออกมา บุคคลซึ่งไม่ทราบว่าเป็นใครที่ทําหน้าที่พิธีกรได้ประกาศว่า “เตรียมตัวหมอบกราบ” แล้วเมื่อสายน้ำเดินผ่านกลุ่มผู้ชุมนุม มีผู้ชุมนุมได้ตะโกนคําว่า “ทรงพระเจริญ” และ “ในหลวงสู้ๆ” 

ย้อนไปเมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2566 ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางมีคำพิพากษาในคดีนี้ เห็นว่ามีความผิดใน 3 ข้อกล่าวหา ได้แก่ ข้อหามาตรา 112 ลงโทษจำคุก 3 ปี เนื่องจากขณะเกิดเหตุ จำเลยยังเป็นเยาวชนอายุ 16 ปี จึงลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 1 ปี 6 เดือน และลงโทษปรับในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 6,000 บาท

เนื่องจากจำเลยให้การเป็นประโยชน์อยู่บ้าง จึงลดโทษอีก 1 ใน 3 คงเหลือโทษจำคุก 12 เดือน ปรับ 4,000 บาท คำนึงถึงจากการโดนดำเนินคดีเป็นครั้งแรก ประกอบกับพิเคราะห์จากนิสัย ความสามารถ และสติปัญญาของจำเลย จึงให้รอการลงโทษจำคุกไว้ มีกำหนด 2 ปี และให้รายงานตัวต่อคุมประพฤติทุก 3 เดือน

ฝ่ายจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาต่อมา

.

วันนี้ (16 ก.ย. 2567) ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 7 เวลา 9.00 น. สายน้ำพร้อมมารดาซึ่งเป็นผู้ปกครองเดินทางมาที่ศาลเพื่อฟังคำพิพากษา โดยมีผู้สังเกตการณ์จากองค์กรที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนและประชาชนเข้าร่วมสังเกตการณ์คดีและให้กำลังใจ

บุคคลที่เดินทางมาสังเกตการณ์คดีเข้าไปนั่งจนเต็มห้องพิจารณาคดี เมื่อผู้พิพากษาออกนั่งพิจารณาคดี ได้สอบถามสายน้ำว่ารู้จักบุคคลทั้งหมดในห้องพิจารณาคดีหรือไม่ สายน้ำตอบว่ารู้จักทุกคน ผู้พิพากษาจึงอนุญาตให้ทุกคนอยู่ในห้องพิจารณาคดีเพื่อสังเกตการณ์คดีได้

ต่อมาผู้พิพากษาอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยสรุป และอนุญาตให้ที่ปรึกษากฎหมายคัดถ่ายคำพิพากษาได้ สามารถสรุปคำพิพากษาได้ดังนี้

ในข้อหาฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ สามารถสรุปคำพิพากษาอุทธรณ์ได้เป็น 4 ประเด็น วินิจฉัยไปตามข้ออุทธรณ์ของจำเลย 

เห็นว่า ในช่วงเวลาเกิดเหตุ สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ยังทวีความรุนแรง ดังนั้นแม้จำเลยจะเป็นเพียงผู้เข้าร่วมการชุมนุม มิได้เป็นผู้จัดกิจกรรมการชุมนุมก็ตาม แต่หากการชุมนุมดังกล่าวเป็นการร่วมกันรวมกลุ่มชุมนุมกันทำกิจกรรมในสถานที่แออัดที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 การเข้าร่วมชุมนุมถือว่าฝ่าฝืนข้อกำหนดและประกาศซึ่งออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่มีผลใช้บังคับในเวลาดังกล่าวได้ ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพียงกำหนดให้เจ้าของกิจการหรือผู้จัดกิจกรรมการชุมนุมต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดและประกาศดังกล่าวแต่ประการใด

พิจารณาว่า ในวันเกิดเหตุมีผู้เข้าร่วมการชุมนุมจำนวนมาก สภาพพื้นที่บริเวณที่ชุมนุมมีสภาพแออัดโดยเฉพาะบริเวณที่มีกลุ่มผู้ชุมนุมแน่นขนัด ผู้ชุมนุมไม่ได้เว้นระยะห่างอย่างน้อย 1 เมตร จำเลยยอมรับในอุทธรณ์ว่าไม่ได้สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่เข้าร่วมการชุมนุม 

การกระทำของจำเลยจึงฝ่าฝืนข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ทั้งเป็นการดำเนินการใด  ๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดสภาวะไม่ถูกสุขลักษณะอาจเป็นเหตุให้โรคโควิด-19 แพร่ออกไป ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชอบแล้ว 

เห็นว่า การกระทำของจำเลยกับพวกถือได้ว่าเป็นกรณีมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนหรือมีกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่งที่เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อจะต้องเข้าดำเนินการเพื่อไม่ให้เกิดการฝ่าฝืนมาตรา 34 แห่ง พ.ร.บ. โรคติดต่อ ซึ่งเป็นการกระทำที่ก่อหรืออาจจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อความปลอดภัยสาธารณะหรือประโยชน์สาธารณะ

เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อจึงมีอำนาจดำเนินการโดยไม่ต้องออกคำสั่งหรือคำเตือนก่อนตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการดำเนินการหรือออกคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ. 2560 ข้อ 11 คำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนนี้ชอบแล้ว

เห็นว่า คดีนี้เกิดในช่วงระยะเวลาที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ จึงไม่อาจอ้างการชุมนุมทางการเมืองโดยสงบ ปราศจากอาวุธและความรุนแรง และการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญที่สามารถกระทำได้ในช่วงเวลาสถานการณ์ปกติมาเป็นเหตุยกเว้น เพื่อฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

เห็นว่า การประกาศยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน มีผลเพียงประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่นับแต่วันที่มีผลบังคับใช้เท่านั้น ไม่ปรากฏว่ามีข้อความใดในประกาศให้มีผลเป็นการยกเลิกหรือถือว่าการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ไม่เป็นความผิดต่อไป จึงไม่อาจลบล้างผลการกระทำของจำเลยที่เป็นการฝ่าฝืนและมีโทษตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ได้

อุทธรณ์อื่นของจำเลยนอกจากนี้ ไม่มีผลให้คำวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ในข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น

ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 สามารถสรุปคำพิพากษาได้เป็น 4 ประเด็น 

เห็นว่า รัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี 2475 เป็นต้นมา ล้วนรับรองความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่อยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะล่วงละเมิดมิได้ บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของประเทศไทยที่มีมาแต่โบราณกาลว่า สังคมไทยให้ความสำคัญแก่สถาบันพระมหากษัตริย์มาอย่างยาวนาน ถือเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย

หลาย ๆ ครั้งที่สถาบันพระมหากษัตริย์ร่วมแก้ไขวิกฤติของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติ หรือวิกฤติการเมืองพฤษภาทมิฬจนคลี่คลายลงได้ด้วยดี ไม่ต้องมีการเสียเลือดเนื้อ บ้านเมืองและสังคมร่มเย็น ประชาชนจึงให้ความสำคัญและยอมรับว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ถือเป็นศูนย์รวมทางจิตใจของคนในชาติไทยที่เทิดทูนไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อมเสมอมา ประชาชนคนใดจึงใช้สิทธิและเสรีภาพให้เป็นปฏิปักษ์ในทางหนึ่งทางใดต่อองค์พระมหากษัตริย์ให้ขัดต่อขนบธรรมเนียมและประเพณีหาได้ไม่

การที่ศาลชั้นต้นนำบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญมาประกอบเพื่อชี้ให้เห็นถึงขนบธรรมเนียม ประเพณีไทยที่มีมาแต่โบราณ จึงไม่เป็นการขัดต่อกฎหมาย คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว

เห็นว่า วันเกิดเหตุจำเลยสวมเสื้อกล้ามเอวลอยและมีข้อความบริเวณแผ่นหลังว่า “พ่อกูชื่อมานะ ไม่ใช่วชิราลงกรณ์” มีความหมายเชิงเปรียบเทียบระหว่างมานะกับวชิราลงกรณ์ แม้ไม่ปรากฏคำอธิบาย แต่โดยธรรมชาติย่อมไม่มีมนุษย์คนใดจะด่า ว่า หรือให้ร้ายบิดาของตนว่าไม่ดีหรือไม่เก่งจริง จำเลยทราบว่า “วชิราลงกรณ์” เป็นพระนามของรัชกาลที่ 10 จำเลยเดินบนเวทีที่มีแผ่นป้ายว่า “งบกระทรวงพาณิชย์ (หนุนกิจการ) SIRIVANNAVARI 13 ล้าน” และมีป้ายว่า “ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์” ในการถามค้านจำเลยยอมรับว่าต้องการให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ด้วย

แม้จำเลยไม่ได้เขียนถ้อยคำดังกล่าวด้วยตนเอง แต่การที่จำเลยเดินแบบแฟชั่นโดยที่ทราบดีว่า มีข้อความดังกล่าวบนแผ่นหลัง ทราบว่ามีประชาชนรายล้อมแน่นขนัด หากจำเลยต้องการให้ยกเลิกมาตรา 112 ย่อมกระทำได้ภายใต้บังคับบทกฎหมาย ไม่มีเหตุจำเป็นต้องยกเอาสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพสักการะมาเปรียบเทียบในทางเสื่อมเสีย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ตามมาตรา 112 ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชอบแล้ว

เห็นว่า เหตุที่จำเลยอ้างเป็นเพียงความคิดเห็นแตกต่างตรงข้ามกัน เมื่อไม่ปรากฏว่าพยานโจทก์มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยเป็นการส่วนตัวอย่างไร จึงย่อมไม่มีเหตุผลใดที่พยานโจทก์ดังกล่าวจะกลั่นแกล้งเบิกความแสดงความเห็นปรักปรำจำเลยเพื่อให้ต้องได้รับโทษทางอาญา เชื่อได้ว่าพยานโจทก์เบิกความตามจริงโดยสุจริตและเป็นธรรม จึงย่อมรับฟังได้

เห็นว่า แม้จำเลยไม่ได้มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรม ทั้งมิได้ร่วมตระเตรียมหรือวางแผนการกันมาก่อน แต่ลำพังพฤติการณ์ที่จำเลยแสดงออกบนเวทีล้วนเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ข้ออ้างของจำเลยไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง อุทธรณ์อื่นล้วนแต่เป็นข้อปลีกย่อยซึ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลแห่งคดีได้ จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย

จำเลยกระทำความผิดขณะยังเป็นเยาวชน มีบิดามารดาคอยดูแลเอาใจใส่ มีโอกาสได้รับการศึกษา ถือได้ว่าเป็นผู้มีศักยภาพในการที่จะพัฒนาตนเองให้เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ และมีทัศนคติในการดำรงชีวิตที่ถูกที่ควรเป็นไปตามครรลองคลองธรรมพอที่จะประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นประโยชน์แก่สังคมได้ต่อไป อันจะนำไปสู่เป้าหมายเดียวกันคือความสงบสุขร่มเย็นของประเทศไทย 

ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดและวางโทษจำคุก แต่ให้โอกาสจำเลยโดยรอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 2 ปี กับคุมความประพฤติจำเลยนั้นเพียงพอที่จะทำให้จำเลยหลาบจำ จึงเป็นการเหมาะสมแก่รูปคดี และต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

ผู้พิพากษาที่ลงนามในคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ได้แก่ เกียรติยศ ไชยศิริธัญญา, ภีม ธงสันติ และ แก้วตา เทพมาลี

.

ย้อนอ่านอุทธรณ์ของจำเลย : พรุ่งนี้! จับตาศาลอุทธรณ์พิพากษาคดี 112 “สายน้ำ” แต่งเสื้อครอปท็อปเดินแฟชั่นโชว์สีลม หลังศาลเยาวชนฯ ให้จำคุก 12 เดือน รอลงอาญา

X