ในวันที่ 16 ก.ย. 2567 เวลา 09.00 น. ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางนัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว ในคดีของ “สายน้ำ” นักกิจกรรมเยาวชน ณ ขณะเกิดเหตุอยู่ในวัย 16 ปี ผู้ถูกฟ้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เหตุแต่งเสื้อครอปท็อป (เสื้อกล้ามเอวลอย) เข้าร่วมเดินแฟชั่นโชว์ และเขียนข้อความบนร่างกายในการชุมนุม #ภาษีกู เมื่อวันที่ 29 ต.ค. 2563 ที่บริเวณด้านหน้าของวัดแขก บนถนนสีลม
คดีนี้มี วริษนันท์ ศรีบวรธนกิตติ์ แอดมินเพจ “เชียร์ลุง” เป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษไว้ที่ สน.ยานนาวา และพนักงานอัยการคดีเยาวชนมีคำสั่งฟ้อง “สายน้ำ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ มาตรา 34 (6), และ พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงฯ มาตรา 4
พฤติการณ์ข้อกล่าวหาโดยสรุประบุว่า สายน้ำได้ร่วมเดินบนพรมแดงฝั่งถนนสีลมขาออกโดยแต่งกายด้วยชุดครอปท็อปสีดํา (เสื้อกล้ามเอวลอย) สวมกางเกงยีนส์ขายาวใส่รองเท้าแตะ และเขียนข้อความที่ร่างกายบริเวณแผ่นหลังลงมาถึงเอวว่า “พ่อกูชื่อมานะ ไม่ใช่วชิราลงกรณ์” โดยก่อนที่สายน้ำจะเดินออกมา บุคคลซึ่งไม่ทราบว่าเป็นใครที่ทําหน้าที่พิธีกรได้ประกาศว่า “เตรียมตัวหมอบกราบ” แล้วเมื่อสายน้ำเดินผ่านกลุ่มผู้ชุมนุม มีผู้ชุมนุมได้ตะโกนคําว่า “ทรงพระเจริญ” และ “ในหลวงสู้ๆ”
การสืบพยานโดยรวม ทางพยานโจทก์ได้พยายามกล่าวหาว่าพฤติการณ์ของ “สายน้ำ” มีเจตนาดูหมิ่น หมิ่นประมาทในหลวงรัชกาลที่ 10 เพราะสวมใส่ครอปท็อปเลียนแบบภาพที่มีการเผยแพร่บนโลกอินเทอร์เน็ต แม้พยานหลายปากจะรับว่าเป็นที่รู้กันว่าเป็นภาพตัดต่อก็ตาม ขณะที่กิจกรรมที่เกิดขึ้นก็เป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โดยไม่ได้มีการขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่
ในชั้นสอบสวนและชั้นศาล สายน้ำยืนยันให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยมีข้อต่อสู้ว่า ตนไม่ได้เป็นผู้จัดกิจกรรม ทั้งการชุมนุมไม่ได้ถึงขนาดเสี่ยงต่อการแพร่โรค และเป็นไปโดยสงบ ส่วนการใส่เสื้อครอปท็อปก็เป็นเสื้อผ้าตามสมัยนิยม ไม่ว่าใครก็สามารถสวมใส่ได้ ไม่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด ซึ่งการแต่งกายดังกล่าวจำเลยต้องการเลียนแบบ “จัสติน บีเบอร์” นักร้องชื่อดังเท่านั้น ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ไม่ได้มีการเตรียมการหรือเป็นการกระทำร่วมกัน
.
ศาลเยาวชนฯ พิพากษาจำคุก 3 ปี ลดเหลือ 12 เดือน รอลงอาญา ชี้ตามรัฐธรรมนูญ ผู้ใดจะแสดงกิริยาล้อเลียนเสียดสีหรือเลียนแบบกษัตริย์ไม่ได้ จำเลยเจตนาล้อเลียนเสียดสี ร.10
ย้อนไปเมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2566 ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางมีคำพิพากษาในคดีนี้ สามารถสรุปได้ว่า ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และในหลวงรัชกาลที่ 10 อยู่ในสถานะเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะล่วงละเมิดมิได้ ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 6 อีกทั้งมาตรา 50 แห่งรัฐธรรมนูญ ก็กำหนดให้ชนชาวไทย มีหน้าที่พิทักษ์ดำรงรักษาไว้ทั้งเรื่องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รวมถึงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้นผู้ใดจะแสดงกิริยาล้อเลียนเสียดสีหรือแสดงพฤติกรรมเลียนแบบว่าเป็นพระมหากษัตริย์ไม่ได้
ในข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ศาลพิเคราะห์จากบริบท พฤติการณ์ของจำเลย และอารมณ์ความรู้สึกของผู้ร่วมชุมนุมกับผู้ชมในขณะนั้น แสดงให้เห็นว่าแฟชั่นโชว์ดังกล่าวมีเจตนาสื่อถึงสถาบันกษัตริย์ การที่จำเลยแต่งกายสวมครอปท็อป แสดงกิริยาโบกไม้โบกมือ คล้ายจำลองเหตุการณ์ในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงเยี่ยมราษฎร ถือเป็นการล้อเลียนเสียดสี ไม่ใช่การแสดงออกตามมุ่งหมายรัฐธรรมนูญหรือการแสดงออกโดยสุจริตแต่อย่างใด และเป็นการกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของรัฐ
สำหรับข้อหาฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เนื่องจากในวันเกิดเหตุ จำเลยไม่ได้สวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา และแม้จะไม่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นหลังจากการชุมนุมดังกล่าวอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่รัฐบาลได้มีการออกข้อกำหนดและข้อบังคับใช้เพื่อป้องกันและลดการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 แล้ว ดังนั้นการชุมนุมดังกล่าวจึงไม่ได้เป็นไปตามข้อกำหนด จึงถือเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
ในส่วนข้อหาตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ และ พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงฯ เนื่องจากฝั่งพยานโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้จัดการชุมนุมหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการชุมนุมดังกล่าว และจำเลยไม่ได้ขึ้นปราศรัย โดยใช้เครื่องขยายเสียง จำเลยจึงไม่มีความผิดในสองข้อหานี้
ศาลพิพากษาลงโทษในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จำคุก 3 ปี เนื่องจากจำเลย ขณะเกิดเหตุยังเป็นเยาวชนอายุ 16 ปี จึงลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 1 ปี 6 เดือน และลงโทษปรับในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 6,000 บาท
เนื่องจากจำเลยให้การเป็นประโยชน์อยู่บ้าง จึงลดโทษอีก 1 ใน 3 คงเหลือโทษจำคุก 12 เดือน ปรับ 4,000 บาท คำนึงถึงจากการโดนดำเนินคดีเป็นครั้งแรก ประกอบกับพิเคราะห์จากนิสัย ความสามารถ และสติปัญญาของจำเลย เห็นว่าจำเลยสามารถกลับตัวเป็นคนดีได้ จึงให้รอการลงโทษจำคุกไว้ มีกำหนด 2 ปี และให้รายงานตัวต่อคุมประพฤติทุก 3 เดือน
.
จำเลยอุทธรณ์ระบุไม่ใช่ผู้จัดกิจกรรม การกระทำจำเลยไม่เข้าองค์ประกอบ ม.112 ไม่ได้แสดงตนเป็น ร.10
วันที่ 19 ธ.ค. 2566 จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลอุทธรณ์ทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ดังนี้
ในข้อหาฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ สามารถสรุปอุทธรณ์ของจำเลยได้เป็น 4 ประเด็น ดังนี้
ประเด็นแรก จำเลยไม่ใช่ผู้จัดการชุมนุมจึงไม่มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค และการกระทำจำเลยไม่มีกฎหมายบัญญัติให้เป็นความผิดและกำหนดโทษ
คดีฟังได้เพียงว่า จำเลยเป็นเพียงผู้เข้าร่วมชุมนุม มิใช่ผู้จัดการชุมนุมซึ่งมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค แม้มีการกระทำที่ฝ่าฝืนมาตรการที่กำหนดไว้ในประเด็นไม่ใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา จำเลยก็ไม่มีความผิดตามประกาศกรุงเทพมหานคร (ฉบับที่ 13)
นอกจากนี้ ตามประกาศกรุงเทพมหานครดังกล่าว มิได้ออกมาตรการหรือคำสั่งเพื่อบังคับแก่บุคคลธรรมดาทั่วไป แต่โจทก์มีคำขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ มาตรา 34 (6) และมาตรา 51 ซึ่งมีโทษใช้บังคับแก่บุคคลธรรมดาทั่วไป เป็นกรณีที่จำเลยกระทำสิ่งที่กฎหมายมิได้บัญญัติให้เป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ ศาลชั้นต้นจึงไม่อาจลงโทษจำเลยได้
ประเด็นที่สอง ไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานควบคุมโรคฯ ออกคำสั่งเป็นหนังสือห้ามจำเลยหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกระทำการใด ๆ จำเลยจึงไม่มีความผิดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง
ตามทางนำสืบพยานโจทก์ ไม่ปรากฏว่านักวิชาการสุขาภิบาลชำนาญการและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้มีการลงพื้นที่ในวันเกิดเหตุ ไม่ได้มีการดำเนินการสอบสวนโรคเพื่อหาสาเหตุแหล่งที่เกิดและแหล่งแพร่ของโรค และไม่ได้ออกคำสั่งเป็นหนังสือแจ้งคำสั่งห้ามจำเลยหรือผู้ที่เกี่ยวข้องได้ทราบคำสั่งห้ามกระทำการหรือดำเนินการใด ๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดสภาวะที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ซึ่งอาจเป็นเหตุให้โรคติดต่ออันตรายหรือโรคระบาดแพร่ออกไปแต่อย่างใด
ดังนั้นจำเลยจึงไม่ได้กระทำความผิดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ มาตรา 34 (6)
ประเด็นที่สาม ข้อกำหนด ประกาศ และคำสั่งใด ๆ อันเนื่องมาจากประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ที่ถูกยกเลิกไปแล้ว ศาลมิอาจนำเอามาวินิจฉัยลงโทษจำเลยได้
ข้อกำหนด ประกาศ และคำสั่งใด ๆ อันเนื่องมากจากประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ฉบับวันที่ 25 มี.ค. 2563 ได้ถูกยกเลิกไปโดยประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ฉบับวันที่ 29 ก.ย. 2565 แล้ว ซึ่งหมายความว่าองค์ประกอบความผิดทางอาญาตามประกาศและข้อกำหนดตามฟ้องย่อมสิ้นสุดลง เป็นการออกกฎหมายใหม่ยกเลิกกฎหมายเก่า ศาลมิอาจนำเอามาวินิจฉัยลงโทษจำเลยได้
ประเด็นที่สี่ กิจกรรมในวันเกิดเหตุเป็นไปโดยสงบปราศจากอาวุธ ระหว่างนั้นไม่มีผู้ติดเชื้อโควิดภายในประเทศ และทำกิจกรรมในสถานที่โล่งแจ้ง อากาศถ่ายเท
หลักการระหว่างประเทศว่าด้วยเสรีภาพในการชุมนุมนั้น เป็นสิทธิที่ได้รับการรับรองไว้ในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ซึ่งประเทศไทยเข้าเป็นภาคี และได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญไทย รัฐมีพันธกรณีในการเคารพสิทธิในการชุมนุมโดยการไม่จำกัดหรือลิดรอนสิทธิ รวมถึงอำนวยให้การใช้สิทธิในการชุมนุมของประชาชนเป็นไปได้จริง
เมื่อข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติแล้วว่าการทำกิจกรรมในวันเกิดเหตุเป็นไปโดยสงบและปราศจากอาวุธ ระหว่างจัดการชุมนุมไม่มีผู้ติดเชื้อโควิดภายในประเทศและทำกิจกรรมในสถานที่โล่งแจ้ง อากาศถ่ายเท การทำกิจกรรมชุมนุมในคดีนี้จึงได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย
ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 สามารถสรุปอุทธรณ์ของจำเลยได้เป็น 4 ประเด็น ดังนี้
ประเด็นแรก ผู้กล่าวหาและพยานความเห็นโจทก์ไม่ใช่พยานคนกลาง และมีความเห็น ความเชื่อ และอคติทางการเมืองตรงกันข้ามกับจำเลย ศาลพึงต้องรับฟังอย่างระมัดระวัง
แม้ผู้กล่าวหาและพยานความเห็นโจทก์จะเบิกความว่าไม่เคยรู้จักกับจำเลยเป็นการส่วนตัวหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน ไม่ได้หมายความว่าผู้กล่าวหาและพยานความเห็นจะไม่กลั่นแกล้งเบิกความหรือแสดงความคิดเห็นปรักปรำให้ร้ายเสมอไป
การพิจารณาความน่าเชื่อถือของพยานความเห็นที่จะรับฟังนั้น จำเป็นต้องพิจารณาว่ามีความเป็นกลางปราศจากอคติทั้งจากความโกรธเกลียดชังและความรักใคร่ชอบพออีกด้วย ซึ่งบริบทเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมต่อการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ฝ่ายที่เรียกร้องและฝ่ายที่คัดค้านมีความขัดแย้งและโกรธเคืองเป็นที่ประจักษ์ในสังคมตามข้อเท็จจริงตามความเป็นจริง
พยานโจทก์โดยเฉพาะพยานความเห็นหลายปากไม่เพียงแต่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ต่างจากกลุ่มที่จัดกิจกรรมแล้ว แต่ในทางส่วนตัว พยานความเห็นของโจทก์หลายปากสังกัดกลุ่มและองค์กรปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบทั้งในการดำเนินการคัดค้านข้อเรียกร้องในการปฏิรูปสถาบันฯ, การแก้ไขมาตรา 112, หรือเป็นตัวแทนดำเนินคดีและให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ต้องการดำเนินคดีกับประชาชนที่มีความเห็นแตกต่างกันกับพยานและพวก
พยานความเห็นดังกล่าวจึงไม่ใช่พยานคนกลาง และมีความเห็น ความเชื่อ และอคติทางการเมืองตรงกันข้ามกับกลุ่มคณะราษฎร 2563 และจำเลย และมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย ย่อมให้การเป็นโทษแก่จำเลย พยานบุคคลต่าง ๆ เหล่านี้ ศาลพึงรับฟังอย่างระมัดระวังอย่างยิ่ง
ประเด็นที่สอง รธน. ม.2 และ ม.6 ไม่ได้เกี่ยวกับ ป.อ. ม.112 ดังนั้นที่ศาลขยายความหมายและเจตนารมณ์ของบทบัญญัติ รธน. มาพิจารณาประกอบเพื่อลงโทษจำเลย ไม่อาจทำได้
รัฐธรรมนูญไทย มาตรา 2 และมาตรา 6 เป็นบทบัญญัติการกำหนดรูปแบบของรัฐและการให้ความคุ้มครองพระมหากษัตริย์จากการถูกฟ้องร้องทางกฎหมายเท่านั้น ไม่ได้มีความเกี่ยวเนื่องหรือสอดคล้องกับบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แต่อย่างใด
รัฐธรรมนูญได้รับรองสิทธิและเสรีภาพแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณาและการสื่อความหมายโดยวิธีอื่นไว้ แม้จะสามารถจำกัดการแสดงความคิดเห็นได้ภายใต้ข้อยกเว้นบางประการตามกฎหมาย แต่ก็ต้องดำเนินไปอย่างชัดเจนและไม่ปล่อยให้มีการตีความขยายออกไปอย่างกว้างขวาง มิฉะนั้นจะถือเป็นการกระทำที่ขัดกับเสรีภาพตามที่รัฐธรรนูญรับรองไว้
ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นขยายความหมายและเจตนารมณ์ของบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 2, มาตรา 6 และมาตรา 50 (1) และนำบทบัญญัติดังกล่าวมาพิจารณาประกอบเพื่อลงโทษจำเลยนั้น ไม่อาจทำได้ อีกทั้งยังส่งผลให้เกิดความสับสนและคลุมเครือขององค์ประกอบกฎหมายในหมู่ประชาชน
ประเด็นที่สาม ม.112 ต้องตีความอย่างเคร่งครัด การกระทำจำเลยในวันเกิดเหตุตีความได้หลายทาง ไม่เข้าองค์ประกอบความผิด ม.112
คำวินิจฉัยหรือคำพิพากษาดังกล่าวข้างต้นคลาดเคลื่อนต่อบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยมาตรา 112 ไม่ใช่กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงโดยแท้ดังที่ใช้ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หากเป็นเพียงกฎหมายใช้คุ้มครองเกียรติยศส่วนบุคคลของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เท่านั้น ซึ่งเกียรติยศส่วนบุคคลมิใช่ความมั่นคงของรัฐ
องค์ประกอบความผิดตามนิติวิธีในกฎหมายอาญาต้องพิจารณาอย่างเคร่งครัด การตีความไม่อาจขยายความหมายให้กว้างขวางหากถ้อยคำไม่มีความชัดเจน โดยชุดเดินแบบและการเดินแบบของจำเลยในวันเกิดเหตุเป็นการแสดงออกซึ่งต้องอาศัยการตีความ ไม่มีการระบุชื่อบุคคลใดเป็นการเฉพาะเจาะจง และมีการตีความได้หลายทาง จึงมิใช่การยืนยันข้อเท็จจริง ไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 112 ซึ่งการดูหมิ่น หมิ่นประมาทนั้น การใส่ความจะต้องระบุตัวบุคคลแน่นอนโดยเฉพาะเจาะจง
ชุดเดินแบบของจำเลยในวันเกิดเหตุเป็นชุดเสื้อครอปท็อปสีดำ กางเกงยีนส์ รองเท้าแตะ และเขียนลวดลายและข้อความตามร่างกาย เป็นการแต่งกายเลียนแบบนักร้องต่างประเทศ ชื่อ จัสติน บีเบอร์ เป็นเสื้อผ้าแฟชั่นที่คนทั่วไปใส่ที่มีขายตามท้องตลาดทั่วไป ดังจะเห็นได้ว่าไม่ใช่จำเลยเพียงคนเดียวที่แต่งกายลักษณะนี้ ยังมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมคนอื่นในวันเกิดเหตุแต่งด้วย
ประการสำคัญ พยานโจทก์หลายปากเบิกความตอบที่ปรึกษากฎหมายจำเลยถามค้านว่า ไม่เคยเห็นรัชกาลที่ 10 ฉลองพระองค์ตามภาพถ่ายและเบิกความว่าเป็นภาพตัดต่อ ประชาชนมีทั้งเชื่อและไม่เชื่อว่ารัชกาล 10 ฉลองพระองค์ตามภาพดังกล่าว
ประเด็นที่สี่ จำเลยไม่ใช่ผู้จัดกิจกรรม ไม่ได้วางแผนหรือตระเตรียมการ ไม่ได้แสดงตนเป็น ร.10
ในวันเกิดเหตุ จำเลยไม่ได้จงใจและตระเตรียมการวางแผนที่จะมาร่วมเดินแบบ แต่เมื่อมาถึงบริเวณที่ทำชุมนุม จำเลยได้พบผู้เข้าร่วมชุมนุมแต่งกายชุดแฟชั่นต่าง ๆ หลากหลายแบบ และมีร้านค้าหนึ่งมีรูป จัสติน บีเบอร์ ใส่เสื้อกล้ามครอปท็อป และมีเสื้อกล้ามครอปท็อปวางขาย จำเลยจึงซื้อและเปลี่ยนใส่แทนเสื้อยืดแขนสั้นสีดำที่หน้าร้าน ซึ่งเสื้อครอปท็อปเป็นเสื้อผ้าแฟชั่นที่คนทั่วไปใส่มีขายตามท้องตลาดทั่วไป ไม่ใช่จำเลยเพียงคนเดียวที่แต่งกายลักษณะนี้ ยังมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมคนอื่นในวันเกิดเหตุแต่งด้วย
ส่วนที่แผ่นหลังของจำเลย จำเลยไม่ได้จงใจตระเตรียมการวางแผนที่จะเขียน แต่ในวันเกิดเหตุจำเลยได้พบเพื่อนที่เคยพบในที่ชุมนุมอื่น แต่ไม่ได้รู้จักคบหาช่วยวาดรูปงูให้ที่แขนขวา และถามชื่อบิดาของจำเลยก่อนที่จะเขียนข้อความว่า “พ่อกูชื่อมานะ ไม่ใช่วชิราลงกรณ์” แม้ตามข้อความจะปรากฏพระนามของรัชกาลที่ 10 แต่ข้อความดังกล่าวไม่ใช่คำด่า และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานว่าจำเลยได้แนะนำตนเองต่อบุคคลอื่นหรือเขียนข้อความระบุว่าจำเลยเป็นรัชกาลที่ 10
อีกทั้ง ทางพิจารณากลับปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่ได้เป็นผู้จัดกิจกรรมหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้จัดกิจกรรม ซึ่งพนักงานสอบสวนเบิกความว่า คดีนี้ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นว่าก่อน ขณะ และหลังเกิดเหตุจำเลยได้ไปร่วมประชุมวางแผนหรือตกลงแบ่งทำงานในวันเกิดเหตุกับบุคคลใด และไม่มีภาพถ่ายหรือคลิปวิดีโอว่าจำเลยไปช่วยจัดกิจกรรมหรือซักซ้อมการแสดงแฟชั่นโชว์ในวันเกิดเหตุ สอดคล้องกับพยานโจทก์ที่ไม่ปรากฏภาพจัดเตรียมการจัดกิจกรรม และปรากฏเพียงภาพที่จำเลยยืนดูการปูพรหมแดงจัดสถานที่เดินแบบกับผู้ชุมนุมคนอื่น โดยไม่ได้ช่วยจัดสถานที่แต่อย่างใด
จำเลยเดินแบบโดยไม่ได้หยุดทักทาย ไม่ได้ยื่นเท้าให้ผู้ที่อยู่บริเวณนั้นกราบ และไม่ได้มีคนเดินถือร่มพานตามหลัง จำเลยใช้เวลาเดินไปกลับไม่ถึงนาที ทั้งขณะอยู่ในที่ชุมนุมจำเลยได้ร่วมเต้นรำกับผู้ชุมนุมคนอื่น ๆ บนพรมแดงอย่างสนุกสนาน ย่อมเห็นได้ว่าจำเลยมิได้แสดงตนเป็นรัชกาลที่ 10 แต่อย่างใด
ส่วนที่พิธีกรพูดว่า “เตรียมตัวหมอบกราบ” และที่พิธีกรและผู้ชุมนุมพูดว่า “ทรงพระเจริญ” “ในหลวงสู้ ๆ” และ “กล้ามาก เก่งมาก” เป็นการกระทำส่วนตนของพิธีกรและผู้ชุมนุม หาใช่เป็นการกระทำของจำเลยไม่ พยานของจำเลยที่นำสืบมามีน้ำหนักให้รับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความตามมาตรา 112
.