ศาลเยาวชนฯ พิพากษาจำคุก 3 ปี “เพชร – บีม” ร่วมกิจกรรม #ใครๆก็ใส่ครอปท็อป ไปพารากอน ก่อนลดครึ่ง – เปลี่ยนเป็นฝึกอบรม 1-2  ปี และให้ประกัน

วันที่ 5 มิ.ย. 2567 เวลา 09.30 น. ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางนัดฟังคำพิพากษาในคดีมาตรา 112 ของ “เพชร” ธนกร ปัจจุบันอายุ 21 ปี และ “บีม” ณัฐกรณ์ ปัจจุบันอายุ 20 ปี สองนักกิจกรรม ซึ่งถูกดำเนินคดีจากการเข้าร่วมกิจกรรม #ใครๆก็ใส่ครอปท็อป ไปเดินสยามพารากอน เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2563 โดยในวันเกิดเหตุทั้งสองมีอายุ 17 ปี คดีนี้จึงอยู่ในการพิจารณาของศาลเยาวชนฯ

คดีนี้สืบเนื่องมาจากกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมได้จัดกิจกรรม #ใครๆก็ใส่ครอปท็อป หรือ #แต่งครอปท็อปเดินห้างสยามพารากอน เพื่อรณรงค์ยกเลิกมาตรา 112 โดยนักกิจกรรมได้ร่วมกันใส่เสื้อครอปท็อปเดินบริเวณห้างสยามพารากอน เพื่อยืนยันว่า การสวมชุดครอปท็อปไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย หลังเกิดกรณีของ “สายน้ำ” เยาวชนอายุ 16 ปี (ขณะนั้น) ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 เพราะใส่ชุดครอปท็อปและเขียนข้อความบนร่างกาย 

ต่อมา ว่าที่ ร.ต.นรินทร์ ศักดิ์เจริญชัยกุล จากกลุ่ม “ไทยภักดี” ได้ไปแจ้งความไว้ที่ สน.ปทุมวัน ให้ดำเนินคดีนักกิจกรรม 7 คน ในข้อหาตามมาตรา 112  โดยแกนนำ 5 ราย ได้แก่ “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์, “รุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล, “ไมค์” ภาณุพงศ์ จาดนอก, เบนจา อะปัญ และ “ป๊อกกี้” ภวัต หิรัณย์ภณ ถูกฟ้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ขณะที่คดีของเยาวชน 2 รายถูกฟ้องที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2564 

ในวันเกิดเหตุ บีมเพียงแต่ใส่ชุดครอปท็อปไปร่วมกิจกรรม และร่วมชู 3 นิ้ว ถ่ายรูป ขณะที่เพชรชูป้ายกระดาษมีข้อความว่า “ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์” และ “ยกเลิก ม.116, ม.112” รวมทั้งร่วมชู 3 นิ้วเท่านั้น แต่ฝ่ายโจทก์กล่าวหาว่าทั้งสองได้แสดงออกในลักษณะเป็นพวกเดียวกันกับนักกิจกรรมคนอื่น ๆ โดยแสดงตนหรือบทบาทล้อเลียนดูหมิ่นรัชกาลที่ 10, พระราชินี และสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อให้ประชาชนเสื่อมความเคารพ ความศรัทธาต่อพระมหากษัตริย์

คดีนี้ศาลได้มีการสืบพยานไปประมาณ 18 นัด ตั้งแต่กลางเดือน มิ.ย. 2566 จนถึงปลายเดือน มี.ค. 2567 โดยมีพยานโจทก์เข้าเบิกความ 8 ปาก ส่วนฝ่ายจำเลย จำเลยทั้งสองคนได้อ้างตัวเองเป็นพยานเข้าเบิกความ โดยศาลให้ตัดพยานนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญออก จากนั้นนัดฟังคำพิพากษาเป็นวันนี้

คำพิพากษาของศาล วินิจฉัยกิจกรรมทีละลำดับเหตุการณ์ อ้างถึง 5 แกนนำผิด ก่อนโยงถึง 2 จำเลยว่าเห็นด้วย ไม่ปลีกตัวออกไป เท่ากับมีความผิดด้วย

เวลาประมาณ 10.20 น. ผู้พิพากษาได้มาถึงห้องพิจารณาที่ 13 โดยวันนี้มีเจ้าหน้าที่จากองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนอย่าง Amnesty Thailand และ iLaw เดินทางมาสังเกตการณ์ด้วย แต่ศาลไม่อนุญาตให้เข้าสังเกตการณ์ 

จากนั้นศาลได้อ่านคำพิพากษา ซึ่งมีเนื้อหายาวมากกว่า 77 หน้า โดยมีใจความโดยสรุปว่า คดีนี้อัยการได้ฟ้องมาเพียง 1 กรรม แต่วันเกิดเหตุมีหลายเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น รวมแล้วประมาณ 6-7 เหตุการณ์ ซึ่งมีทั้งเหตุการณ์ที่มีเพียงจำเลยคนใดคนหนึ่งอยู่ร่วมด้วย หรือมีจำเลยทั้งสองอยู่ร่วมด้วยพร้อมกัน ฉะนั้นศาลจึงขอวินิจฉัยไปทีละประเด็นตามลำดับเหตุการณ์สำคัญ โดยกล่าวว่าไม่ใช่เพื่อลงโทษเอาผิดกับผู้ร่วมก่อเหตุที่ถูกฟ้องเป็นคดีอยู่ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ทั้ง 5 คน แต่เพื่อเป็นแนวทางวินิจฉัยการกระทำผิดของจำเลยทั้งสองคนที่ศาลเยาวชนฯ แห่งนี้

เหตุการณ์ที่ 1 – การเขียนข้อความบนเนื้อตัวของ เพนกวิน – รุ้ง – เบนจา 

ศาลได้วินิจฉัยถึงการเขียนข้อความบนร่างกายของพริษฐ์, ปนัสยา และเบนจา รวมถึงการแสดงของเบนจาว่า เป็นการไม่เคารพนับถือรัชกาลที่ 10 และล้อเลียนราชินี ก่อนวินิจฉัยในประเด็นที่ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกระทำความผิดในวันเกิดเหตุด้วยหรือไม่ 

ศาลเห็นว่า จำเลยทั้งสองเข้าร่วมกิจกรรม เพราะเห็นโพสต์เชิญชวนจากเฟซบุ๊กที่มีภาพรัชกาลที่ 10 อยู่ด้วย และในวันเกิดเหตุจำเลยทั้งสองอยู่ร่วมทำกิจกรรมเกือบจะตลอดทั้งกิจกรรมที่อยู่ในบริเวณพื้นที่ห้างสยามพารากอน แม้ว่าจำเลยทั้งสองจะได้อ่านดูข้อความบนเนื้อตัวร่างกายของพริษฐ์, ปนัสยา และเบนจา รวมถึงได้เห็นการถือพานและแสดงบทบาทเป็นข้าราชบริพารของเบนจาแล้ว หากจำเลยทั้งสองไม่มีเจตนาดูหมิ่นและหมิ่นประมาทก็ควรจะปลีกตัวแยกออกไป แต่จำเลยทั้งสองคนไม่ได้ปลีกตัวแยกออกไปแต่อย่างใด ยังคงอยู่ทำกิจกรรมอยู่ด้วยจนเกือบจะตลอดทั้งกิจกรรม จึงถือเป็นการเห็นด้วยกับการกระทำของพริษฐ์, ปนัสยา และเบนจา จึงมีความผิดในฐานร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น รัชกาลที่ 10 และราชินี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 

เหตุการณ์ที่ 2 บทสนทนาหน้าร้าน SIRIVANNAVARI 

ช่วงหนึ่งของกิจกรรม พริษฐ์, ปนัสยา และเบนจา ได้เดินไปยังบริเวณหน้าร้าน SIRIVANNAVARI และมีบทสนทนาตอบโต้ระหว่างกัน ศาลวินิจฉัยว่า มีเจตนาล้อเลียนรัชกาลที่ 10 และใส่ความเจ้าฟ้าสิริวัณณวรี รัชทายาท เป็นการดูถูก ดูหมิ่น หมิ่นประมาท เข้าองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 112 

ศาลเห็นว่า เหตุการณ์นี้มีณัฐกรณ์ จำเลยที่ 1 อยู่ร่วมด้วย ย่อมได้ยินบทสนทนาทั้งหมด แต่ยังไม่ได้แยกตัวออกไป ยังยืนเข้าแถวเรียงหน้ากระดานกับพริษฐ์, ปนัสยา และเบนจา และยังร่วมทำกิจกรรมต่อไป จำเลยที่ 1 จึงมีความพอใจ ยินดี และเห็นด้วยกับการกระทำของทั้ง 3 คน จึงมีความผิดตามมาตรา 112 

เหตุการณ์ที่ 3 ป๊อกกี้พูด ‘ทรงพระเจริญ’ – มอบดอกไม้

ช่วงหนึ่งของกิจกรรม ภวัตได้คุกเข่าและพูดว่า “ทรงพระเจริญ” จากนั้นได้ยื่นดอกไม้ให้กับพริษฐ์, ปนัสยา และเบนจา คนละ 1 ดอก แล้วพริษฐ์ได้ตอบกลับว่า “กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจ” ศาลเห็นว่า เป็นการล้อเลียนรัชกาลที่ 10 และราชินี เข้าองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 112 

ศาลเห็นว่า เหตุการณ์นี้จำเลยที่ 1 และที่ 2 อยู่ด้วยในเหตุการณ์และไม่ปลีกตัวแยกออกไป จำเลยทั้งสองจึงมีเจตนาที่จะร่วมกันดูหมิ่น หมิ่นประมาท เป็นความผิดตามมาตรา 112 

เหตุการณ์ที่ 4 บทสนทนาเรื่องราคากระเป๋า

ภวัตได้สอบถามราคากระเป๋าของปนัสยา จากนั้นจึงมีบทสนทนาระหว่างภวัต พริษฐ์ และปนัสยา ศาลเห็นว่า เป็นการล้อเลียนและดูหมิ่นรัชกาลที่ 10 และราชินี 

เหตุการณ์นี้จำเลยที่ 1 อยู่ร่วมด้วย และไม่ปลีกแยกตัวออกไป ศาลเห็นว่า มีเจตนาเห็นด้วยกับการกระทำของพริษฐ์, ภวัต และปนัสยา จึงเป็นความผิดตามมาตรา 112 

เหตุการณ์ที่ 5 การตอบโต้ของ ‘เพนกวิน’ กับประชาชนเห็นต่างการเมือง  

ช่วงหนึ่งของกิจกรรมพริษฐ์ได้พูดคุยโต้เถียงกับประชาชนผู้เห็นต่างทางการเมืองรายหนึ่ง เหตุการณ์นี้ศาลเห็นว่าเป็นการตีตนเสมอและประชดประชันรัชกาลที่ 10 เป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท และอาฆาตมาดร้าย เข้าองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 112 

ศาลเห็นว่า เหตุการณ์นี้ จำเลยที่ 1 อยู่ร่วมด้วย ได้รับฟัง และเข้าใจข้อความทั้งหมด แต่ยังคงอยู่ร่วมกิจกรรมต่อไป ไม่ปลีกตัวแยกตัวออกมา จึงตีความได้ว่า จำเลยที่ 1 เห็นด้วยกับคำพูดของพริษฐ์ จึงมีความผิดตามมาตรา 112 

เหตุการณ์ที่ 6 ‘เพนกวิน’ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่ลานน้ำพุ 

ช่วงหนึ่งของกิจกรรม พริษฐ์ได้ให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนบริเวณลานน้ำพุในทำนองว่า การที่รัชกาลที่ 10 สวมใส่ชุดครอปท็อป เป็นการสร้างความอับอายให้แก่ประชาชนชาวไทย ศาลเห็นว่า เป็นการหมิ่นประมาทและดูหมิ่นรัชกาลที่ 10 

เหตุการณ์นี้จำเลยทั้งสองอยู่ร่วมด้วย โดยจำเลยที่ 1 ได้ทำการชู 3 นิ้ว และจำเลยที่ 2 ได้ชูป้ายข้อความร่วมด้วย ศาลเห็นว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาเห็นด้วยกับถ้อยคำให้สัมภาษณ์ของพริษฐ์ โดยยังคงอยู่ร่วมกิจกรรมต่อ และไม่ปลีกตัวแยกออกมา จึงมีความผิดตามมาตรา 112 

เหตุการณ์ที่ 7 ป๊อกกี้หมอบกราบหน้าลิฟต์ และพูด ‘ทรงพระเจริญ’

ช่วงหนึ่งของกิจกรรม บริเวณหน้าลิฟต์ตัวหนึ่งของห้างพารากอน ภวัตได้นั่งหมอบกราบลงและพูดกับพริษฐ์ ปนัสยา และเบนจา ว่า “ทรงพระเจริญ” ศาลเห็นว่า เป็นการหมิ่นประมาทรัชกาลที่ 10 และราชินี 

เหตุการณ์นี้มีจำเลยที่ 2 อยู่ในบริเวณดังกล่าวด้วย แต่จำเลยที่ 2 ได้นั่งพูดคุยอยู่กับบุคคลอื่น ไม่ให้ความสนใจ และไม่มีส่วนร่วม เฉพาะเหตุการณ์นี้ศาลเห็นว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีความผิดตามมาตรา 112

สุดท้าย ศาลเห็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากการร่วมกันดูหมิ่น หมิ่นประมาท และแสดงความอาฆาตมาดร้ายรัชกาลที่ 10 และราชินี ให้ลงโทษจำคุกคนละ 3 ปี แต่ขณะกระทำความผิดทั้งสองมีอายุเพียง 17 ปี จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน 

แต่จากการพิจารณารายงานพฤติกรรมและประวัติการศึกษาแล้ว ศาลเห็นว่า ทั้งสองทำผิดเพราะยังเยาว์วัย จึงให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นเข้ารับการฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนกรุงเทพฯ กำหนดระยะเวลาขั้นต่ำ 1 ปี และขั้นสูง 2 ปี โดยต้องรับการฝึกวิชาชีพจำนวน 3 หลักสูตร และต้องศึกษาสายสามัญให้สำเร็จด้วย

จากนั้นทั้งณัฐกรณ์และธนกรถูกตำรวจศาลควบคุมตัวไปยังห้องควบคุมตัวของศาลในระหว่างรอฟังคำสั่ง หลังผู้ปกครองและนายประกันอาสาได้ยื่นประกันด้วยหลักทรัพย์คนละ 35,000 บาท จากกองทุนราษฎรประสงค์ โดยเป็นหลักทรัพย์เดิม 20,000 บาท และยื่นเพิ่มอีกคนละ 15,000 บาท ซึ่งต่อมาศาลมีคำสั่งให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยทั้งสองระหว่างอุทธรณ์ โดยไม่กำหนดเงื่อนไขใด ๆ

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

จับตา! ศาลเยาวชนฯ นัดพิพากษา คดี ม.112 “เพชร – บีม” ร่วมกิจกรรม #แต่งครอปท็อปเดินห้างสยามพารากอน

ฟ้อง 112 ‘ธนกร-ณัฐ’ ร่วมกิจกรรม #ใครๆก็ใส่ครอปท็อป เดินพารากอน เป็นคดีเยาวชนแสดงออกทางการเมืองคดีที่ 9

สั่งฟ้อง 5 นักกิจกรรม คดี “ม.112” จากกิจกรรม #ใครๆก็ใส่ครอปท็อป เดินพารากอน ก่อนศาลให้ประกัน 2 แสน พร้อมเงื่อนไข “ห้ามทำกิจกรรมเสื่อมเสียต่อสถาบันฯ”

X