มิถุนายน 2568: ศาลยกฟ้อง 3 คดี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เหตุชุมนุมปี 63-64 ขณะที่ศาลยังคงพิจารณาคดีกระทบ ‘หลักการพิจารณาคดีโดยเปิดเผย’

เดือนมิถุนายน 2568 มีคดีที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมและแสดงออกทางการเมืองเพิ่มขึ้นใหม่ 2 คดี โดยคดีหนึ่งเป็นคดีข้อหามาตรา 112 ของประชาชนจากกรุงเทพฯ ที่ถูกจับกุมไปกล่าวหาถึงจังหวัดสุราษฎร์ธานี เหตุจากมีกลุ่มปกป้องสถาบันฯ ไปแจ้งความไว้ ส่วนอีกคดีหนึ่งคือคดีข้อหาตาม พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ของเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย

นอกจากนั้นแล้ว ในคดีมาตรา 112 ศาลชั้นต้นและศาลสูงมีคำพิพากษาในเดือนที่ผ่านมาออกมาอีกอย่างน้อย 6 คดี มีเพียงคดีของ “นรินทร์” ที่ศาลพิพากษายกฟ้อง ในขณะที่อีกสี่คดีพิพากษาว่ามีความผิด และไม่ให้ประกัน ‘จิรวัฒน์’ ในชั้นฎีกา 

ส่วนในคดีข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง 3 คดีที่จำเลยต่อสู้คดี ได้แก่ คดีของนักกิจกรรม 13 ราย และคดีของทีมขับรถเครื่องเสียง 5 ราย กรณีชุมนุม #15ตุลาไปราชประสงค์ เมื่อปี 2563 และคดีคาร์ม็อบพิษณุโลก แต่พิพากษาลงโทษคดีชุมนุม #ม็อบ17ตุลา63 แต่กรณีนี้จำเลยให้การรับสารภาพเพื่อลดภาระทางคดี

สำหรับการสั่งฟ้องคดีในเดือนที่ผ่านมา มีคดีมาตรา 112 จำนวน 2 คดีที่พนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้องต่อศาล ได้แก่ คดีของ “ป้านิด” จิราภรณ์ บุษปะเกศ สั่งฟ้องต่อศาลจังหวัดธัญบุรี และคดีของ “จิรดี” สั่งฟ้องต่อศาลจังหวัดพัทลุง ทั้งสองคดีนี้มีประชาชนเป็นผู้กล่าวหา

เดือนที่ผ่านมา อัยการได้สั่งไม่ฟ้องคดีข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ อีก 2 คดี ได้แก่ คดีจากกิจกรรมคาร์ม็อบ “ด่วนนครพิงค์เชียงใหม่ไล่ประยุทธ์” เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2564 และคดีจากกิจกรรมคาร์ม็อบ “ล้านนาต้านศักดินาทัวร์” เมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2564 ทำให้คดีทั้งสองสิ้นสุดลง หลังค้างอยู่ในชั้นสอบสวนเกือบ 4 ปี

สำหรับสถานการณ์ผู้ต้องขังทางการเมือง หลังจากศาลอ่านคำพิพากษาในเดือนที่ผ่านมาทำให้มีผู้ต้องขังเพิ่ม 3 คน ทำให้ปัจจุบัน (4 ก.ค. 2568) มีผู้ถูกคุมขังในเรือนจำจากการแสดงออกทางการเมือง หรือมีมูลเหตุเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างน้อย 51 คน แล้ว

.

จากการติดตามของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ตั้งแต่เริ่มการชุมนุมของ “เยาวชนปลดแอก” เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2563 จนถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2568 มีประชาชนที่ถูกดำเนินคดีจากสถานการณ์ชุมนุมและการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ไปแล้วอย่างน้อย 1,977 คน ในจำนวน 1,330 คดี เมื่อเปรียบเทียบสถิติคดีกับในช่วงเดือนพฤษภาคม 2568 แล้ว มีจำนวนคดีเพิ่มขึ้น 2 คดี 

หากนับจำนวนบุคคลที่ถูกดำเนินคดีซ้ำในหลายคดี โดยไม่หักออก แต่นำจำนวนมาเรียงต่อกันแล้ว จะพบว่ามีจำนวนการถูกดำเนินคดีไปอย่างน้อย 4,053 ครั้ง

สำหรับสถิติการดำเนินคดี แยกตามข้อกล่าวหาสำคัญ ได้แก่

1. ข้อหา “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มีผู้ถูกกล่าวหาอย่างน้อย 281 คน ในจำนวน 314 คดี (จำนวนนี้อย่างน้อย 167 คดี ถูกดำเนินคดีเนื่องจากประชาชนร้องทุกข์กล่าวโทษ)

2. ข้อหา “ยุยงปลุกปั่น” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 มีผู้ถูกกล่าวหาอย่างน้อย 156 คน ในจำนวน 56 คดี

3. ข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มีผู้ถูกกล่าวหาอย่างน้อย 1,466 คน ในจำนวน 675 คดี

4. ข้อหาตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ มีผู้ถูกกล่าวหาอย่างน้อย 196 คน ในจำนวน 108 คดี

5. ข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มีผู้ถูกกล่าวหาอย่างน้อย 213 คน ในจำนวน 237 คดี

6. ข้อหาละเมิดอำนาจศาล อย่างน้อย 45 คน ใน 27 คดี และคดีดูหมิ่นศาล อย่างน้อย 37 คน ใน 11 คดี

จากจำนวนคดี 1,330 คดีดังกล่าวมีจำนวน 720 คดี ที่สิ้นสุดไปแล้ว (คดีบางส่วนไม่ได้สิ้นสุดลงทั้งคดี เช่น มีการอุทธรณ์คดีเฉพาะจำเลยบางคน แต่จำเลยบางคนคดีสิ้นสุดแล้ว) 

.

แนวโน้มการดำเนินคดีในช่วงเดือนมิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา มีสถานการณ์สำคัญดังต่อไปนี้

คดี ม.112 ที่ภาคใต้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคดี หลังปชช.ถูกจับกุมไปแจ้งข้อหาที่สุราษฎร์

ในเดือนที่ผ่านมามีคดีเพิ่มขึ้นทั้งหมด 2 คดี ได้แก่ คดีมาตรา 112 หนึ่งคดี และคดีข้อหาตาม พ.ร.บ.ชุมนุมฯ อีกหนึ่งคดี 

ในส่วนคดีมาตรา 112 คือคดีของ กิตติพงค์ จวนวันเพ็ญ ประชาชนวัย 45 ปี ที่ถูกจับกุมตัวจากกรุงเทพฯ ไปแจ้งข้อกล่าวหาที่ สภ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี ในข้อหามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ หลังถูกกล่าวหาว่าโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการวิพากษ์วิจารณ์ผู้โหนและคลั่งสถาบันกษัตริย์ และกล่าวถึงกรณีวางตัวไม่เหมาะสมจากการประทับในประเทศเยอรมัน จำนวน 2 โพสต์ เมื่อเดือน มี.ค.- เม.ย. 2568

คดีนี้มี ทรงชัย เนียมหอม แกนนำกลุ่มประชาภักดิ์พิทักษ์สถาบัน เป็นผู้ไปแจ้งความกล่าวหาไว้ นับเป็นคดีมาตรา 112 คดีแรกเท่าที่ทราบในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ทำให้ยอดผู้ถูกดำเนินคดีข้อหานี้ นับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2563 จนถึงปัจจุบัน เพิ่มเป็นอย่างน้อย 281 คน ใน 314 คดี

ส่วนในคดีข้อหาตาม พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ที่เพิ่มขึ้นนั้น พบว่ามีคดีของประชาชนสองคนในกลุ่มเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย ที่ถูกดำเนินคดีหลังออกไปเรียกร้องโดยการนั่งอดอาหารบริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล คัดค้านเรื่องนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด เมื่อเดือน ก.ค. 2567  และเมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2568 ที่ผ่านมาถูกดำเนินคดีข้อกล่าวหาชุมนุมในรัศมีไม่เกิน 50 เมตรรอบทำเนียบรัฐบาล ตาม พ.ร.บ.ชุมนุมฯ 

ต่อมาเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 2568 ศาลแขวงดุสิตพิพากษาลงโทษปรับคนละ 5,000 บาท

.

ตลอดเดือนมิถุนายน 2568 ศาลมีคำพิพากษาในคดีมาตรา 112 ออกมาอีกอย่างน้อย 6 คดี เป็นคำพิพากษาชั้นฎีกา 1 คดี ชั้นอุทธรณ์ 3 คดี และชั้นต้น 2 คดี โดยมีจำนวน 1 คดีที่ศาลพิพากษายกฟ้อง นอกจากนั้นศาลพิพากษาลงโทษว่ามีความผิด มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

คดีของ “อาร์ม” (สงวนชื่อสกุล) นักร้องของร้านอาหารแห่งหนึ่งบนเกาะพะงันวัย 23 ปี ถูกกล่าวหาในกรณีเผยแพร่คลิปวีดิโอ 14 วินาที เหตุคุยหยอกกับแมวใน Tiktok โดยศาลฎีกาพิพากษาแก้โทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน และให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี ทำให้คดีสิ้นสุดลง

คดีของ “ต่อ” (สงวนชื่อสกุล) หรือผู้ที่เคยใช้นามสมมติว่า “โชติช่วง” อดีตไรเดอร์วัย 32 ปี กรณีวางเพลิงเผาพระบรมฉายาลักษณ์  ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้จากศาลชั้นต้นที่ลงโทษจำคุก 3 ปี เป็นจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา และได้รับการประกันตัวระหว่างฎีกา

คดีของ “วรพล อนันต์ศักดิ์” อดีตผู้สมัคร สส. จังหวัดชุมพรวัย 29 ปี ถูกกล่าวหากรณีอัปเดตภาพโปรไฟล์เฟซบุ๊กส่วนตัว เมื่อปี 2564 โดยศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืนจำคุก 2 ปี และให้รอลงอาญาไว้ 5 ปี

คดีของ “บูม” จิรวัฒน์ พ่อค้าออนไลน์วัย 33 ปี จากเหตุแชร์โพสต์เพจ KTUK – คนไทยยูเค และโพสต์ทั่วไป รวม 3 โพสต์ เมื่อปี 2564 โดยเป็นเพียงการแชร์โพสต์ ไม่ได้เขียนข้อความประกอบ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำคุก 6 ปี ไม่รอลงอาญา ก่อนศาลฎีกาไม่อนุญาตประกันตัวในชั้นฎีกา เป็นผลให้จิรวัฒน์ต้องถูกขังในเรือนจำอีกครั้ง หลังเพิ่งถูกปล่อยตัวเมื่อปลายปีที่ผ่านมา

คดีของ “นรินทร์” (สงวนนามสกุล) นักกิจกรรมวัย 35 ปี หลังถูกกล่าวหาว่าเป็นแอดมินเพจ “กูKult” ศาลอาญาพิพากษายกฟ้อง เห็นว่าพยานโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเป็นเจ้าของเพจหรือผู้ดูแลเพจ ประกอบกับจำเลยให้การปฏิเสธมาโดยตลอด จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัย นับว่าเป็นคดีมาตรา 112 เพียงหนึ่งคดีในเดือนที่ผ่านมาที่ศาลยกฟ้อง

และในคดีของ “อานนท์ นำภา” และ “ฮิวโก้” จิรฐิตา กรณีร่วมปราศรัยในการชุมนุม #2ธันวาไปห้าแยกลาดพร้าว เมื่อปี 2563 ศาลอาญาพิพากษาว่าทั้งสองคนมีความผิดตามฟ้อง ให้จำคุกอานนท์ 2 ปี 8 เดือน ไม่รอลงอาญา ส่วนจิรฐิตาให้จำคุก 2 ปี แต่รอลงอาญาไว้ 3 ปี

กรณีของอานนท์ ทำให้ปัจจุบันเขามีโทษจำคุกรวมกันจากคดีมาตรา 112 จำนวน 9 คดี และคดีอื่น ๆ เป็น 24 ปี 33 เดือน 20 วัน หรือประมาณ 26 ปี 9 เดือนเศษ และปัจจุบันเขายังคงถูกขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เป็นเวลากว่า 1 ปี 9 เดือนแล้ว โดยศาลยังคงปฏิเสธการให้ประกันตัวออกมาต่อสู้คดี แม้ทุกคดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์และไม่สิ้นสุด

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 8 ก.ค.​ 2568 ที่จะถึงนี้ ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาอานนท์อีกครั้ง ในคดีมาตรา 112 จากเหตุปราศรัยใน #ม็อบ17พฤศจิกา63 บริเวณหน้ารัฐสภา ซึ่งเป็นคดีที่ 10 ที่จะมีคำพิพากษาออกมาแล้ว

.

ในเดือนที่ผ่านมา ยังมีคำพิพากษาในคดีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ชุมนุมและแสดงออกทางการเมืองอีกอย่างน้อย 7 คดี โดยมีรายละเอียดดังนี้

ในคดีชุมนุมทางการเมืองที่ถูกกล่าวหาตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ  และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่มีความร้ายแรง พบว่ามีคำพิพากษารวมทั้งสิ้น 3 คดี ได้แก่ คดีของนักกิจกรรม 13 ราย และคดีของทีมขับรถเครื่องเสียง 5 ราย กรณีชุมนุม #15ตุลาไปราชประสงค์ เมื่อปี 2563 ซึ่งศาลแขวงปทุมวันยกฟ้องทั้งสองคดี  ในส่วนคดีแรก ศาลเห็นว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ส่วนทีมขับรถเครื่องเสียง ศาลเห็นว่าพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอว่าจำเลยได้เข้าร่วมการชุมนุม

ส่วนอีกคดีหนึ่งเป็นคำพิพากษาชั้นฎีกา ที่ยกฟ้อง ปุณณเมธ อ้นอารี หรือ “เกมส์” กรณีจัดกิจกรรมคาร์ม็อบพิษณุโลก เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2564 เนื่องจากเห็นว่าโจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่ากิจกรรมมีความเสี่ยงต่อโรค และกิจกรรมเกิดในที่เปิดโล่ง ไม่แออัด อีกทั้งผู้เข้าร่วมสวมหน้ากากอนามัย คดีนี้จึงเป็นที่สิ้นสุดหลังจากต่อสู้คดีมากว่า 4 ปี 

ส่วนในคดี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่มีความร้ายแรง สืบเนื่องจากการชุมนุม #ม็อบ17ตุลา63 มีคำพิพากษาออกมา ได้แก่ คดีของ “แอมป์” ณวรรษ เลี้ยงวัฒนา และ อ้อมทิพย์ เกิดผลานันท์  และของ “เฟลอร์” สิรินทร์ มุ่งเจริญ ทั้งสองคดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพ เนื่องจากต้องการจัดการกับภาระทางคดีที่เกิดขึ้น โดยศาลพิพากษาวให้ลงโทษจำคุกณวรรษ 1 เดือน ลงโทษปรับอ้อมทิพย์และสิรินทร์คนละ 2,500 บาท 

.

คดีของอาทิตย์ สากลวารี และน้ำเชี่ยว เนียมจันทร์ ในข้อหาหลักวางเพลิงเผาทรัพย์ฯ กรณีถูกกล่าวหาว่าเผารถควบคุมตัวผู้ต้องหา ระหว่าง #ม็อบ7สิงหา64 บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ โดยศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกอาทิตย์ 2 ปี และจำคุกน้ำเชี่ยว 2 ปี 10 เดือน ไม่รอลงอาญา แต่ศาลยังอนุญาตให้ประกันตัวในชั้นฎีกา

ส่วนอีกคดีหนึ่งที่มีคำพิพากษาในเดือนที่ผ่านมา คือคดีข้อหาละเมิดอำนาจศาลของ 3 นักกิจกรรม ได้แก่ วีรภาพ วงษ์สมาน, พัชรวัฒน์ โกมลประเสริฐกุล และศรัณย์ อนุรักษ์ปราการ โดยศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้ลงโทษกักขังวีรภาพและพัชรวัฒน์คนละ 40 วัน และกักขังศรัณย์ 2 เดือน ทำให้คดีนี้สิ้นสุดลง พัชรวัฒน์และศรัณย์จึงต้องถูกนำตัวไปกักขังตามโทษที่สถานกักขัง จ.ปทุมธานี ส่วนวีรภาพยังคงถูกขังในคดี ม.112 อยู่ที่เรือนจำกลางบางขวาง

.

สำหรับสถานการณ์ด้านผู้ต้องขังทางการเมือง หลังเดือนที่ผ่านมามีผู้ต้องขังเพิ่ม 3 คน ทำให้ปัจจุบัน (4 ก.ค. 2568) มีผู้ถูกคุมขังเพิ่มเป็นอย่างน้อย 51 คน ในจำนวนนี้มีผู้ที่ไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างต่อสู้คดีอย่างน้อย 26 คน โดยแนวโน้มมีผู้ถูกคุมขังหลังคำตัดสินจากศาลชั้นอุทธรณ์หรือฎีกา ซึ่งคดีสิ้นสุดแล้วเพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ยังไม่มีผู้ต้องขังได้รับสิทธิประกันตัวออกมาจากเรือนจำ

.

ในการพิจารณาคดีของศาลอาญาในเดือนที่ผ่านมา พบว่ายังมีคดีมาตรา 112 ที่ศาลมีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณา ระบุห้ามมิให้บุคคลใดนำเหตุการณ์ในห้องพิจารณาคดีและในศาลอาญาถ่ายทอดเผยแพร่สู่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต เพิ่มอีกสามคดี ได้แก่ คดีของ “ตั้ม” จิรวัฒน์, คดีชุมนุม #ม็อบ29พฤศจิกาไปราบ11 เมื่อปี 2563 และคดีของ “โตโต้” ปิยรัฐ จงเทพ ทำให้ขณะนี้มีคดีทางการเมืองที่ศาลอาญามีคำสั่งลักษณะนี้แล้ว 7 คดี

อีกทั้งยังพบว่าศาลยังมีการอ่านคำพิพากษาโดยจำกัดผู้เข้าฟัง อย่างในนัดฟังคำพิพากษาคดีชุมนุม #ม็อบ29พฤศจิกาไปราบ11 ที่ศาลาอาญามีการจำกัดผู้ที่สามารถเข้าฟังการพิจารณาไม่เกิน 6 คน คนอื่น ๆ ที่เหลือห้ามเข้าห้องพิจารณา ส่วนอีกคดีหนึ่งคือกรณีชุมนุม #15ตุลาไปราชประสงค์ พบว่าศาลแขวงปทุมวันไม่ได้เปิดประตูให้ญาติและประชาชนที่อยู่ข้างนอกห้องพิจารณาคดีร่วมฟังการพิจารณา

.

ในเดือนที่ผ่านมา อัยการสั่งฟ้องคดี ม.112 เพิ่มอีกอย่างน้อยสองคดี ได้แก่ คดีของ “ป้านิด” จิราภรณ์ บุษปะเกศ วัย 76 ปี กรณีขึ้นปราศรัยวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ ในการชุมนุม THE RETURN OF THAMMASAT ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อปี 2566 สั่งฟ้องที่ศาลจังหวัดธัญบุรี 

ส่วนอีกคดีหนึ่งคดีของ “จิรดี” (นามสมมติ) ประชาชนจากกรุงเทพฯ วัย 35 ปี หลังจากถูกกล่าวหาในกรณีคอมเมนต์โต้ตอบในทวิตเตอร์เกี่ยวกับคนดีและคนไม่ดี เป็นคดีสั่งฟ้องทางไกลที่ศาลจังหวัดพัทลุง ทั้งสองคดีนี้มีผู้กล่าวหาเป็นประชาชนกลุ่มเคลื่อนไหวปกป้องสถาบันฯ

ในคดีชุมนุมอื่น ๆ พบว่ามี 2 คดีในข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีเพิ่มเติม ได้แก่ คดีจากกิจกรรมคาร์ม็อบ “ด่วนนครพิงค์เชียงใหม่ไล่ประยุทธ์” เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2564 และคดีจากกิจกรรมคาร์ม็อบ “ล้านนาต้านศักดินาทัวร์” เมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2564 ทำให้คดีทั้งสองสิ้นสุดลง หลังค้างอยู่ในชั้นสอบสวนเกือบ 4 ปี

ในคดีแรก มีผู้ถูกดำเนินคดีทั้งสิ้น 6 คน คำสั่งไม่ฟ้องระบุโดยสรุปว่า การชุมนุมดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ สถานที่จัดชุมนุมเป็นสถานที่โล่งแจ้ง ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่ามีผู้ร่วมชุมนุมติดเชื้อโควิด-19 หรือทำให้มีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้น

ส่วนในคดีคาร์ม็อบ “ล้านนาต้านศักดินาทัวร์” มีผู้ถูกดำเนินคดี 4 คน คำสั่งไม่ฟ้องระบุโดยสรุปว่า ไม่มีหลักฐานว่าผู้ต้องหาเป็นผู้จัดชุมนุม และการชุมนุมดังกล่าวมีจุดประสงค์มุ่งเน้นในทางการเมือง มิได้มีเจตนาเพื่อเผยแพร่โรคที่เกิดเหตุเป็นพื้นที่เปิดโล่ง ไม่เป็นสถานที่แออัด ผู้ร่วมชุมนุมสวมหน้ากากอนามัย และมีการเว้นระยะห่าง

เหตุผลของพนักงานอัยการทั้งสองคดีชี้ให้เห็นว่า การชุมนุมทางการเมืองย่อมเป็นสิทธิที่ทำได้ตามรัฐธรรมนูญ ตราบใดที่ไม่มีเจตนาเพื่อให้เกิดการแพร่ระบาดโรค และดำเนินการโดยระมัดระวังต่อการแพร่โรค เป็นการตีความเจตนารมณ์ของกฎหมาย ให้สามารถปกป้องประชาชนจากการใช้อำนาจรัฐ ไม่ใช่เพื่อมอบอำนาจให้รัฐจำกัดสิทธิประชาชนอย่างไรก็ได้ (ดูตารางคดี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง-ศาลยกฟ้อง)

X