9 มิ.ย. 2568 เวลา 09.00 น. ศาลอาญา นัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ในคดีข้อหาหลักฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และวางเพลิงเผาทรัพย์ฯ ของอาทิตย์ สากลวารี (จำเลยที่ 1) วัย 24 ปี และน้ำเชี่ยว เนียมจันทร์ (จำเลยที่ 2) วัย 23 ปี กรณีถูกกล่าวหาว่าเผารถควบคุมตัวผู้ต้องหา ระหว่าง #ม็อบ7สิงหา64 บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น เนื่องจากเห็นว่าตำรวจติดตามจับจำเลยทั้งสองได้จากรูปพรรณสันฐาน เทียบกับการแต่งกายในกล้องวงจรปิด จนตามมาที่ห้องพักและพบเครื่องแต่งกาย ซึ่งเป็นพยานหลักฐานชัดเจนที่ยืนยันว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันก่อเหตุ พิพากษาให้จำคุกอาทิตย์ 2 ปี และให้จำคุกน้ำเชี่ยว 2 ปี 10 เดือน ไม่รอลงอาญา
ต่อมาศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวในชั้นฎีกา โดยจำเลยที่ 1 (อาทิตย์) ให้วางเงินประกัน 100,000 บาท และจำเลยที่ 2 (น้ำเชี่ยว) ให้วางเงินประกัน 150,000 บาท โดยศาลไม่ได้กำหนดเงื่อนไขใด ๆ เพิ่มเติม
.
เกี่ยวกับคดีนี้ ย้อนไปเมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2564 กลุ่มเยาวชนปลดแอกและกลุ่ม REDEM นัดหมายชุมนุมที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ต่อมาได้มีการเปลี่ยนนัดหมายไปที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพื่อเคลื่อนขบวนไปยังกรมทหารราบที่ 1 ซึ่งภายในเป็นบ้านพักของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่ได้ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนสกัดกั้นบริเวณพื้นที่สามเหลี่ยมดินแดง แม้ทางผู้จัดจะประกาศยุติการชุมนุม แต่ยังคงมีการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหนึ่งในระหว่างเหตุการณ์ปะทะพบว่ามีรถควบคุมผู้ต้องหาเกิดเพลิงไหม้

ต่อมาในวันที่ 12 ส.ค. 2564 ตำรวจได้ร่วมกันจับกุมน้ำเชี่ยวและอาทิตย์ รวมถึงเข้าตรวจค้นที่พักและยึดของกลาง ตามหมายจับและหมายค้นของศาลอาญา จากนั้นได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมแก่ทั้งสองคนในวันที่ 6 ก.ย. 2564 หลังสํานักการจราจรและขนส่ง กรุงเทพฯ เข้าแจ้งความว่าจากเหตุดังกล่าวมีไฟลุกลามไปเผาไหม้สัญญาณไฟจราจรจนเสียหาย
ต่อมาพนักงานอัยการได้สั่งฟ้องคดีต่อศาลอาญาเมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2564 ใน 6 ฐานความผิด ได้แก่ มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กําลังประทุษร้ายให้เกิดความวุ่นวายฯ ตามมาตรา 215, กระทำความผิดฐานร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น ตามมาตรา 217, ทำให้เสียหายซึ่งทรัพย์ของผู้อื่น ตามมาตรา 358, ทำให้เสียหายซึ่งทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ ตามมาตรา 360, ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ
ทั้งสองคนให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาทั้งในชั้นสอบสวนและชั้นศาล ต่อมาในวันที่ 2 มี.ค. 2566 ศาลพิพากษาว่าทั้งสองคนมีความผิดตามฟ้องโจทก์ เนื่องจากเห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์เชื่อมโยงได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นบุคคลเดียวกับผู้ก่อเหตุ จำเลยที่ 1 เป็นผู้สวมเสื้อลายสก็อต และจำเลยที่ 2 เป็นผู้สวมเสื้อยืดสีเทา
ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปี และจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี 10 เดือน ไม่รอลงอาญา ก่อนได้ประกันตัวในระหว่างอุทธรณ์
ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาเมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2566 และศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันนี้
.
วันนี้ (9 มิ.ย. 2568) ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 608 จำเลยทั้งสองคนพร้อมกับครอบครัวเดินทางมาฟังคำพิพากษา โดยมีทนายความและผู้รับมอบฉันทะทนายความ พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่จาก Freedom Bridge และสื่ออิสระมาร่วมฟังคำพิพากษาด้วย ต่อมาศาลออกนั่งบัลลังก์ ก่อนคดีนี้ถูกอ่านคำพิพากษาเป็นลำดับที่สองในคิวนัดคดี
สรุปใจความสำคัญคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ดังนี้ มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษามาหรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานที่เห็นจำเลยทั้งสองกระทำความผิดในที่เกิดเหตุ เห็นแต่เพียงภาพในวัตถุพยานเท่านั้น
เห็นว่า ขณะเกิดเหตุมีผู้ชุมนุมจำนวนมาก สวมหมวก หน้ากากอนามัย และผ้าปิดบังใบหน้าเพื่อมิให้ผู้อื่นทราบว่าเป็นผู้ใด จึงเป็นธรรมดาที่แม้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ไม่อาจทราบได้ว่าใคร
แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามจับกุมจำเลยทั้งสองได้จากรูปพรรณสันฐาน เทียบกับการแต่งกายในกล้องวงจรปิดบริเวณที่เกิดเหตุและบริเวณใกล้เคียง ทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุ จนตามมาที่ห้องพักจำเลยทั้งสองพบเครื่องแต่งกายและหมวก ซึ่งเป็นพยานหลักฐานชัดเจนที่ยืนยันว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันก่อเหตุขว้างวัตถุติดไฟไปยังรถควบคุมผู้ต้องหาจนไหม้เสียหายทั้งหมด
อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามาศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีนี้ ได้แก่ สิทธิพงศ์ ตัญญพงศ์ปรัชญ์, สมศักดิ์ อุไรวิชัยกุล และภัทรศักดิ์ ศิริสินธว์
กล่าวโดยสรุป ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ลงโทษอาทิตย์ (จำเลยที่ 1) ให้จำคุก 2 ปี และลงโทษน้ำเชี่ยว (จำเลยที่ 2) ให้จำคุก 2 ปี 10 เดือน ไม่รอลงอาญา หลังฟังคำพิพากษาทั้งสองคนถูกใส่กุญแจมือและควบคุมตัวลงไปใต้ถุนศาลระหว่างรอยื่นประกันตัวในชั้นฎีกา
.
ต่อมาในเวลา 16.16 น. ศาลอาญามีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวทั้งสองคนในชั้นฎีกา โดยอาทิตย์ (จำเลยที่ 1) ให้วางเงินประกัน 100,000 บาท และน้ำเชี่ยว (จำเลยที่ 2) ให้วางเงินประกัน 150,000 บาท ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนราษฎรประสงค์ โดยศาลไม่ได้กำหนดเงื่อนไขใด ๆ เพิ่มเติม ก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินทางกลับบ้านตามปกติ