วันที่ 10 มิถุนายน 2568 เวลา 09.00 น. ศาลจังหวัดนนทบุรีนัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในคดีของ “ต่อ” (นามสมมติ) อดีตไรเดอร์ อายุ 32 ปี ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ”, มาตรา 217 “วางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น” และมาตรา 358 “ทำให้เสียทรัพย์” กรณีถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้วางเพลิงพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 ซึ่งติดตั้งอยู่ที่สวนหย่อมใต้ทางต่างระดับบางคูเวียง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2564
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้พิพากษาเห็นว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 112 แต่ลดโทษจำคุกจาก 3 ปี เหลือจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา และจำเลยได้รับการประกันตัวระหว่างฎีกา
.
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าผิด ม.112 จำคุก 3 ปี เห็นว่ามีเจตนาวางเพลิงให้สถาบันฯ เสื่อมเสีย
คดีนี้ นัดสืบพยานไปเมื่อวันที่ 13-15 ก.ย. 2566 โดยศาลสั่งพิจารณาคดีลับ ตามคำร้องของอัยการ ที่อ้างเหตุว่า เพื่อประโยชน์แห่งความเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 177 ซึ่งทนายความจำเลยแถลงคัดค้าน แต่ศาลก็สั่งให้พิจารณาเป็นการลับตลอดกระบวนการ
สำหรับประเด็นในการต่อสู้คดี ต่อยอมรับว่า เป็นผู้เผาพระบรมฉายาลักษณ์ดังกล่าวจริง แต่ในระหว่างเกิดเหตุตนอยู่ในสภาพมึนเมา ไม่มีสติ และไม่ได้มีเจตนาทางการเมืองแต่อย่างใด และการกระทำไม่เข้าองค์ประกอบความผิดมาตรา 112 โดยได้รับสารภาพในความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ และทำให้เสียทรัพย์ รวมถึงได้จ่ายค่าเสียหายให้กับองค์การบริหารส่วนตำปลายบาง ผู้ติดตั้งพระบรมฉายาลักษณ์ดังกล่าว เป็นจำนวน 99,000 บาท แล้ว แต่ยืนยันว่า จำเลยไม่มีเจตนาอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ เป็นการกระทำต่อทรัพย์สินเพียงเท่านั้น
ต่อมาเมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2566 ศาลจังหวัดนนทบุรีพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดมาตรา 112, มาตรา 217 และมาตรา 358 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 112 จำคุก 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา โดยระบุว่า พระบรมฉายาลักษณ์เป็นสัญลักษณ์ของพระมหากษัตริย์สำหรับให้ประชาชนเคารพสักการะ และมีค่าเท่ากับในหลวงรัชกาลที่ 10 เชื่อว่า จำเลยมีเจตนาวางเพลิงพระบรมฉายาลักษณ์ให้ประชาชนทั่วไปเห็น และในโทรศัพท์มือถือของจำเลยมีภาพถ่ายเกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมือง จึงเชื่อว่า จำเลยมีแนวคิดต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ มีเจตนาวางเพลิงเผาทรัพย์ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เกิดความเสื่อมเสีย
ศาลจังหวัดนนทบุรีอนุญาตให้ประกันตัวจำเลย โดยวางหลักทรัพย์ 450,000 บาท ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนราษฎรประสงค์ และได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาต่อมา
.
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แก้โทษเป็นจำคุก 2 ปี ก่อนได้ประกันตัวระหว่างฎีกา
วันนี้ ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 12 ศาลจังหวัดนนทบุรี จำเลยพร้อมกับครอบครัวเดินทางมาฟังคำพิพากษา โดยมีทนายความและผู้รับมอบฉันทะทนายความ พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่จาก Freedom Bridge และสื่ออิสระมาร่วมฟังคำพิพากษาด้วย ต่อมาศาลออกนั่งบัลลังก์ และอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1
สรุปใจความสำคัญ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยมีเจตนาอาฆาตมาดร้ายต่อองค์พระมหากษัตริย์หรือไม่ พิจารณาจากภาพถ่ายในโทรศัพท์ของจำเลยมีรูปถ่ายการชู 3 นิ้ว และเคยเข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่มการเมืองต่าง ๆ เช่น กลุ่มทะลุแก๊ซ และพนักงานตำรวจชุดสืบสวน ให้การว่าจำเลยพูดจาแสดงความไม่พอใจในตัวพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นเหตุให้จำเลยกระทำการดังกล่าว จึงวินิจฉัยว่าจำเลยมีเจตนาอาฆาตมาดร้ายต่อองค์พระมหากษัตริย์จริง
แต่เห็นว่าในคดีนี้จำเลยได้ให้ความร่วมมือกับเจ้าพนักงานมาโดยตลอด รับสารภาพว่าได้กระทำจริง และยังจ่ายค่าเสียหายให้กับองค์การบริหารส่วนตำปลายบางแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้นเป็นบางส่วน พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้น จากลงโทษจำคุก 3 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา
หลังฟังคำพิพากษา ต่อถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจศาลควบคุมตัวลงไปใต้ถุนศาล ระหว่างรอยื่นประกันตัวในชั้นฎีกา
ต่อมาเวลา 10.50 น. ศาลจังหวัดนนทบุรีมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวในชั้นฎีกา ด้วยหลักทรัพย์ประกันเดิม 450,000 บาท ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนราษฎรประสงค์ และไม่ได้กำหนดเงื่อนไขใด ๆ เพิ่มเติม ทำให้จำเลยได้สิทธิในการยื่นฎีกาคำพิพากษาต่อไป
.
หมายเหตุ ก่อนหน้านี้ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนใช้นามสมมติของ “ต่อ” ในการนำเสนอข่าว ว่า “โชติช่วง” แต่เขาแจ้งความประสงค์ให้แก้ไขเป็นชื่อ “ต่อ” แทน
.
อ่านเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง