วันที่ 6 พ.ค. 2568 เวลา 09.00 น. ศาลจังหวัดนนทบุรีนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในคดีของ “ต่อ” (นามสมมติ) อดีตไรเดอร์ อายุ 29 ปี ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ”, มาตรา 217 “วางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น” และมาตรา 358 “ทำให้เสียทรัพย์” กรณีถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้วางเพลิงพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 ซึ่งติดตั้งอยู่ที่สวนหย่อมใต้ทางต่างระดับบางคูเวียง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2564
คดีนี้ มีนัดสืบพยานไปเมื่อวันที่ 13-15 ก.ย. 2566 โดยเป็นการสั่งพิจารณาคดีลับ ตามคำร้องของอัยการ ที่อ้างเหตุว่า เพื่อประโยชน์แห่งความเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 177 ซึ่งทนายความจำเลยแถลงคัดค้าน แต่ศาลก็สั่งให้พิจารณาเป็นการลับตลอดกระบวนการ
สำหรับประเด็นในการต่อสู้คดี ต่อยอมรับว่า เป็นผู้เผาพระบรมฉายาลักษณ์ดังกล่าวจริง แต่ในระหว่างเกิดเหตุตนอยู่ในสภาพมึนเมา ไม่มีสติ และไม่ได้มีเจตนาทางการเมืองแต่อย่างใด โดยได้รับสารภาพในความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ และทำให้เสียทรัพย์ รวมถึงได้จ่ายค่าเสียหายให้กับองค์การบริหารส่วนตำปลายบาง ผู้ติดตั้งพระบรมฉายาลักษณ์ดังกล่าวเป็นจำนวน 99,000 บาท แล้ว
อย่างไรก็ตาม จำเลยยืนยันว่า ตนไม่มีเจตนาอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ เป็นการกระทำต่อทรัพย์สินเพียงเท่านั้น จึงไม่เข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 112
ต่อมาเมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2566 ศาลจังหวัดนนทบุรีพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดมาตรา 112, มาตรา 217 และมาตรา 358 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 112 จำคุก 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา โดยระบุว่า พระบรมฉายาลักษณ์เป็นสัญลักษณ์ของพระมหากษัตริย์สำหรับให้ประชาชนเคารพสักการะ และมีค่าเท่ากับในหลวงรัชกาลที่ 10 เชื่อว่า จำเลยมีเจตนาวางเพลิงพระบรมฉายาลักษณ์ให้ประชาชนทั่วไปเห็น
.
“ต่อ” อุทธรณ์ระบุการกระทำไม่มีเจตนาดูหมิ่นอาฆาตมาดร้าย – ขอศาลอุทธรณ์ภาค 1 รอการลงโทษหรือยกฟ้อง
เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2567 ต่อได้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 สามารถสรุปได้เป็น 3 ประเด็น ดังนี้
ประเด็นที่ 1 ความหมายและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 2, 6 และ 50 (1) ไม่อาจนำมาขยายความร่วมกับมาตรา 112 ส่งผลให้เกิดความสับสนและคลุมเครือขององค์ประกอบกฎหมายอย่างมาก
จำเลยโต้แย้งการตีความที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า พยานโจทก์ต่างเบิกความสอดคล้องต้องกันว่าพระบรมฉายาลักษณ์ของพระมหากษัตริย์เปรียบเสมือนตัวแทนของพระมหากษัตริย์และประดิษฐานไว้เพื่อให้ประชาชนทั่วไปเคารพสักการะ การวางเพลิงเผาพระบรมฉายาลักษณ์จึงเป็นการกระทำต่อพระมหากษัตริย์นั้น
จำเลยไม่เห็นพ้องด้วย เนื่องจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 2 “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” และมาตรา 6 “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้” เป็นบทบัญญัติการกำหนดรูปแบบของรัฐและการให้ความคุ้มครองพระมหากษัตริย์จากการถูกฟ้องร้องทางกฎหมายเท่านั้น ไม่ได้มีความเกี่ยวเนื่องหรือสอดคล้องกับบทบัญญัติตามมาตรา 112 แต่อย่างใด
ส่วนมาตรา 50 (1) “บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ตามเอกสารความมุ่งหมายและคำอธิบายรายมาตราของรัฐธรรมนูญได้อธิบายไว้ว่า กำหนดหน้าที่หลักของบุคคลในรัฐธรรมนูญ เป็นสิ่งที่มาคู่กับสิทธิและเสรีภาพที่ได้รับรองไว้ในหมวด 3 ทั้งนี้ สิทธิและเสรีภาพดังกล่าวอาจถูกจำกัดเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นปวงชนชาวไทยได้ กล่าวคือ รัฐธรรมนูญได้รับรองสิทธิและเสรีภาพแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณาและการสื่อความหมายโดยวิธีอื่นไว้ แม้จะสามารถจำกัดการแสดงความคิดเห็นได้ภายใต้ข้อยกเว้นบางประการตามกฎหมาย แต่ก็ต้องดำเนินไปอย่างชัดเจนและไม่ปล่อยให้มีการตีความขยายออกไปอย่างกว้างขวาง มิฉะนั้นจะถือเป็นการทำลายสิทธิเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติรับรองไว้
ดังนี้ ที่ศาลชั้นต้นขยายความหมายและเจตนารมณ์ของบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 2, 6 และ 50 (1) ว่าสอดคล้องกับมาตรา 112 และนำบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาพิจารณาประกอบเพื่อลงโทษจำเลยนั้น จึงผิดแผกไปจากระบอบการปกครองปัจจุบันของประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากการขยายความหมายตามรัฐธรรมนูญเพื่อมุ่งเน้นปกป้องพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเช่นนี้ อาจใช้ได้กับการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ในปัจจุบันประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
เช่นนี้ การขยายความของศาลชั้นต้นที่นำบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาขยายความร่วมกับมาตรา 112 จึงไม่อาจทำได้ อีกทั้งยังจะส่งผลให้เกิดความสับสนและคลุมเครือขององค์ประกอบกฎหมายในหมู่ประชาชนเป็นอย่างมาก
ประเด็นที่ 2 การกระทำของจำเลยเป็นไปโดยประสงค์ให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์ คือ พระบรมฉายาลักษณ์เท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่นอาฆาตมาดร้าย
การกระทำของจำเลยในคดีนี้ ไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 112 เป็นลักษณะการกระทำที่ประสงค์ให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์ คือ พระบรมฉายาลักษณ์เท่านั้น จะเห็นว่าจำเลยไม่ได้เจตนาในลักษณะแสดงถึงการดูหมิ่นอาฆาตมาดร้าย โดยไม่มีขีดเขียนหรือทำลักษณะใด ๆ ต่อพระบรมฉายาลักษณ์
ทั้งนี้ มีแนวคำพิพากษาจำนวนหลายคดีที่ศาลได้วางแนวคำพิพากษาไว้ว่า การกระทำต่อพระบรมฉายาลักษณ์ ไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 112 ภายหลังจากจำเลยกระทำการดังกล่าวก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้มีการถ่ายรูปและส่งต่อในระบบคอมพิวเตอร์ให้แก่บุคคลภายนอก จากการตรวจสอบโทรศัพท์ของจำเลยที่ตำรวจนำยึด ก็ไม่ปรากฏว่าภายในโทรศัพท์มีภาพถ่ายจากการกระทำความผิด
อีกทั้ง ลักษณะการเผาของจำเลยที่มีการกระทำต่อพระบรมฉายาลักษณ์ มีความสูงประมาณ 4.8 เมตร จะพบว่ามีลักษณะการไหม้เพียงเล็กน้อย ซึ่งโดยปกติหากจำเลยต้องการให้มีการเผาไหม้วัสดุที่เป็นไวนิล สามารถกระทำโดยการจุดเผาที่บริเวณด้านล่างให้ไฟติดลามขึ้นไปบนที่สูง แต่จำเลยก็เลือกที่จะจุดไฟในส่วนมุมบนทำให้มีการลุกลามเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ส่วนประเด็นที่ศาลวินิจฉัยว่าพบข้อมูลภาพถ่ายที่ได้จากการตรวจสอบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลย มีภาพเกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมือง เชื่อว่าจำเลยมีแนวคิดเกี่ยวกับการต่อต้านสถาบันฯ เป็นการเชื่อมโยงที่ไม่มีความเป็นเหตุเป็นผลอย่างมาก โดยจะเห็นได้ว่าโจทก์ก็ไม่สามารถนำสืบได้ว่าภาพดังกล่าวเป็นการชุมนุมของกลุ่มใด จัดขึ้นมาเมื่อไหร่ และมีวัตถุประสงค์ ข้อเรียกร้องอย่างไรบ้าง ทั้งไม่มีพยานโจทก์ปากใดยืนยันว่าจำเลยมีการเข้าร่วมการชุมนุมของกลุ่มใดอีกด้วย
ทั้งนี้ จำเลยได้เบิกความชัดแจ้งว่าเป็นผู้เลื่อมใสในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ทั้งยังเคยเข้าร่วมงานราชพิธีต่าง ๆ รวมถึงเคยเข้าถวามพระพรและแสดงความอาลัยในงานราชพิธี โดยมีภาพถ่ายที่จำเลยร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพรัชกาลที่ 9 จำเลยและครอบครัวให้ความเคารพนับถือสถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด
ประเด็นที่ 3 การลงโทษจำคุก 3 ปี โดยไม่รอการลงโทษ เป็นอัตราโทษที่สูง ทั้งจำเลยกระทำความผิดครั้งแรก ควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดี
จำเลยจบการศึกษาระดับ ปวช. มีพี่ชายสองคน ปัจจุบันพักอาศัยกับพี่ชายคนโต บิดาอายุ 63 ปี มารดาอายุ 56 ปี ประกอบอาชีพเกษตรกรรมที่จังหวัดเพชรบูรณ์ มีฐานะยากจน จำเลยและพี่ชายทั้งสองคนต้องทำงานหาเงินส่งเงินให้บิดามารดาใช้จ่ายด้วย ขณะเกิดเหตุจำเลยมีอาชีพขับรถจักรยานยนต์ส่งอาหาร ภายหลังถูกดำเนินคดีนี้ จำเลยก็ถูกบริษัทเลิกจ้าง ปัจจุบันต้องมาทำงานรับจ้าง ได้รับค่าแรงวันละ 400 บาท
ทั้งนี้ ในชั้นสืบสวนและสอบสวนจำเลยก็ได้ใช้ความร่วมมือกับเจ้าพนักงานตำรวจเป็นอย่างดีตั้งแต่ถูกจับกุม ทั้งยังรับว่าเป็นบุคคลที่ได้กระทำเหตุดังกล่าว และรับสารภาพความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์และทำให้เสียทรัพย์ และได้นำเจ้าพนักงานตำรวจไปนำชี้เส้นทาง จุดเกิดเหตุ รวมถึงยินยอมให้เข้าตรวจค้นบ้าน ทั้งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้มีหมายค้นและยินยอมเข้าถึงระบบโทรศัพท์ด้วยความสมัครใจ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการสืบสวนสอบสวนอย่างมาก
อีกทั้ง แม้อยู่ในช่วงชีวิตที่ยากลำบาก แต่จำเลยก็ได้รู้สึกผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดนั้น โดยการหาเงินมาชดใช้ให้แก่ผู้เสียหายจำนวน 99,000 บาทจนครบถ้วน
ที่ศาลพิพากษาจำคุก 3 ปี โดยไม่มีเหตุรอการลงโทษจำคุกให้จำเลย เป็นอัตราโทษที่สูง นอกจากจะไม่เกิดผลในการแก้ไขให้จำเลยกลับตัวเป็นคนดีแล้ว ยังทำให้จำเลยกลายเป็นคนมีประวัติเสื่อมเสีย เมื่อพ้นโทษแล้ว ยากที่จะกลับตัวประกอบสัมมาอาชีพโดยสุจริตตามที่ตั้งใจไว้ต่อไปได้ และย่อมส่งผลให้ครอบครัวของจำเลยได้รับความเดือดร้อนทุกข์ยากไปด้วย และความผิดที่จำเลยได้รับนั้นก็มิใช่อาชญากรรมโดยแท้ที่เป็นความผิดร้ายแรง
อีกทั้ง จำเลยเพิ่งกระทำความผิดครั้งแรก การให้โอกาสจำเลยประกอบอาชีพอยู่ในสังคมโดยปกติสุข โดยการรอการลงโทษและควบคุมความประพฤติไว้ เพื่อให้พนักงานคุมประพฤติคอยสอดส่องดูแล แนะนำช่วยเหลือหรือตักเตือนให้จำเลยได้แก้ไขฟื้นฟูตนเองเพื่อกลับตัวเป็นพลเมืองดี น่าจะเป็นผลดีแก่จำเลยและสังคมส่วนรวมมากกว่า