สู้คดีกว่า 4 ปี ศาลพิพากษา ‘ยกฟ้อง’ 13 นักกิจกรรม #15ตุลาไปราชประสงค์ ชี้ชุมนุมโดยสงบ-ใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ

26 มิ.ย. 2568 เวลา 9.00 น. ศาลแขวงปทุมวันนัดฟังคำพิพากษาคดีของนักกิจกรรม 13 คน จากกรณีร่วมชุมนุม #15ตุลาไปราชประสงค์ เมื่อปี 2563 ซึ่งถูกฟ้องในข้อหาฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่มีความร้ายแรง เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 2563

สำหรับการชุมนุมในช่วงเย็นวันที่ 15 ต.ค. 2563 ที่แยกราชประสงค์ เกิดขึ้นภายหลังการใช้กำลังเจ้าหน้าที่เข้าสลายการชุมนุมของ “คณะราษฎร 2563” ที่หน้าทำเนียบรัฐบาลในช่วงเช้าตรู่ของวันดังกล่าว พร้อมกับที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมตัวแกนนำพร้อมกับผู้ชุมนุมอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการนัดหมายชุมนุมในช่วงเย็นตามมา

สำหรับนักกิจกรรมที่ถูกฟ้องในคดีนี้ได้แก่ ชินวัตร จันทร์กระจ่าง, สมบัติ ทองย้อย, กรกช แสงเย็นพันธ์, สิรภพ พุ่มพึ่งพุทธ, วสันต์ กล่ำถาวร, ณวรรษ เลี้ยงวัฒนา, ณัฐชนน พยัฆพันธ์, ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล, อรรถพล บัวพัฒน์, กวินทร์ วิชาดี พิชญภิรมย์, เอกศิษฎ์ บัวทองเอี่ยม, สุวรรณา ตาลเหล็ก และ ชลธิชา แจ้งเร็ว 

อัยการเพิ่งสั่งฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2567 หลังเหตุการณ์ผ่านไปกว่า 4 ปี และจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ ศาลนัดสืบพยานไปเมื่อวันที่ 14-15 พ.ค. 2568 ก่อนนัดฟังคำพิพากษาในวันนี้

.

ที่ห้องพิจารณา 710 มีประชาชนและญาติของจำเลยมาร่วมฟังคำพิพากษาเป็นจำนวนมาก ขณะที่มีจำเลยที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ 4 ราย ถูกนำตัวมาฟังคำพิพากษา ได้แก่ ชินวัตร, สมบัติ สิรภพ และ ณวรรษ

ในตอนแรก เจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ได้แจ้งให้ญาติและผู้ไม่เกี่ยวข้องออกไปก่อน เนื่องจากสถานที่มีความคับแคบแออัด อาจเสี่ยงต่อการระบาดของโควิด-19 แต่ประชาชนที่มารอฟังคำพิพากษาได้ร้องขอให้มีการเปิดประตูห้องศาลเอาไว้ เพื่อให้สามารถได้ยินคำพิพากษาได้ โดยยืนยันถึงหลักการอ่านคำพิพากษาที่ต้องเป็นไปอย่างเปิดเผย

10.34 น. ศาลนั่งบัลลังก์ และได้แจ้งว่าการอ่านคำพิพากษาอย่างเปิดเผยนั้น หมายถึงการอ่านคำพิพากษาอย่างเปิดเผยต่อหน้าจำเลย ไม่ใช่เปิดเผยต่อผู้ไม่เกี่ยวข้อง หรือสื่อมวลชน อนุญาตให้เฉพาะจำเลย ทนายความ และผู้ช่วยทนายความอยู่ในห้อง ก่อนเริ่มอ่านคำพิพากษา โดยไม่ได้เปิดประตูห้องไว้ขณะอ่านคำพิพากษาคดีนี้

โดยสรุปเห็นว่าในคดีนี้ มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยทั้ง 13 ผิดตามคำฟ้อง ถือเป็นการกระทำอันฝ่าฝืนประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงหรือไม่

ศาลเริ่มวินิจฉัยว่าการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นไปโดยชอบหรือไม่ โดยต้องดูที่ความหมายของ ‘สถานการณ์ฉุกเฉิน’ ซึ่งบัญญัติไว้ในมาตรา 4 ของ พ.ร.ก. ฉบับนี้  

“สถานการณ์ฉุกเฉิน” หมายความว่า “สถานการณ์อันกระทบหรืออาจกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐหรืออาจทำให้ประเทศหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของประเทศตกอยู่ในภาวะคับขันหรือมีการกระทำความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา การรบหรือการสงคราม ซึ่งจำเป็นต้องมีมาตรการเร่งด่วนเพื่อรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เอกราชและบูรณภาพแห่งอาณาเขต ผลประโยชน์ของชาติ การปฏิบัติตามกฎหมาย ความปลอดภัยของประชาชน การดำรงชีวิตโดยปกติสุขของประชาชน การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ความสงบเรียบร้อยหรือประโยชน์ส่วนรวม หรือการป้องปัด หรือแก้ไขเยียวยาความเสียหายจากภัยพิบัติสาธารณะอันมีมาอย่างฉุกเฉินและร้ายแรง” 

คดีนี้ พยานโจทก์ไม่เห็นจำเลยทั้ง 13 ในที่เกิดเหตุ เพียงแต่เห็นในรายชื่อเท่านั้น ส่วนจำเลยทั้ง 13 ยอมรับว่าเข้าร่วมชุมนุมจริง แต่การชุมนุมเป็นไปโดยสงบ พยานโจทก์ไม่พบกลุ่มผู้ชุมนุมพกพาอาวุธเข้าร่วมการชุมนุม ภาพรวมการชุมนุมเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย ไม่มีการปะทะหรือก่อความรุนแรง แม้มีการสั่งให้เลิกชุมนุมแล้ว ผู้ชุมนุมไม่ได้เลิกการชุมนุมในทันที แต่การชุมนุมหลังจากนั้นก็เป็นไปได้ด้วยความสงบเรียบร้อย ไม่มีความรุนแรงแต่อย่างใด

ส่วนการขว้างปาขวดน้ำใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจเอง ก็เป็นการกระทำที่ไม่มีความรุนแรงในระดับที่จะต้องนำประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงมาบังคับใช้ ทั้งยังไม่พบผู้ชุมนุมยุยงให้ทำร้ายเจ้าพนักงาน หรือกีดขวางการจราจร ถือเป็นการชุมนุมที่อยู่ในระดับที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถควบคุมดูแลได้ ไม่มีเหตุรุนแรงเกินกว่าจะที่ต้องนำ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ร้ายแรง มาบังคับใช้

นอกจากนี้โจทก์ก็ไม่ได้นำสืบจนเห็นแน่ชัดว่าจำเลยทั้ง 13 เข้าร่วมชุมนุมโดยมีการฝ่าฝืนข้อกำหนดเรื่องการควบคุมโรคระบาดแต่อย่างใด

ข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมในวันดังกล่าว ที่เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นลาออก ก็เป็นข้อเรียกร้องที่เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 44 รับรองสิทธิไว้ ยังเป็นการแสดงออกตามวิถีทางในระบอบประชาธิปไตย 

ศาลจึงเห็นว่าการชุมนุมในวันที่ 15 ตุลาคม 2563 ที่แยกราชประสงค์ จึงเป็นการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ จึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา 9 ประกอบมาตรา 11 ของ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548

การกระทำของจำเลยทั้ง 13 จึงไม่เป็นความผิด ศาลพิพากษายกฟ้อง

.

สำหรับการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงดังกล่าว เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 15 ต.ค. 2563 เวลา 04.00 น. ถึง 22 ต.ค. 2563 เวลา 12.00 น. โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อจัดการกับสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง การประกาศดังกล่าวเป็นการยกระดับความรุนแรงของการใช้กฎหมายขึ้นไปกว่าการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในระดับปกติ และถูกตั้งคำถามต่อความชอบด้วยกฎหมายของการประกาศดังกล่าวอีกด้วย ช่วงดังกล่าวมีผู้ถูกดำเนินคดีไม่น้อยกว่า 72 คน ในจำนวน 35 คดี

แนวโน้มคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ร้ายแรง ดังกล่าว ก่อนหน้านี้ ศาลมีคำพิพากษายกฟ้องในคดีที่ต่อสู้แทบทั้งหมด โดยจากการติดตามของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน มีคดีที่ศาลพิพากษายกฟ้องข้อหานี้ไปแล้ว 18 คดี และอัยการสั่งไม่ฟ้องอีก 1 คดี 

ในการชุมนุม #15ตุลาไปราชประสงค์ นอกจากคดีของนักกิจกรรม 13 คนนี้แล้ว ยังมีคดีของประชาชนและผู้ขับรถเครื่องขยายเสียง รวมจำนวน 5 คน ที่ถูกฟ้องที่ศาลแขวงปทุมวันในข้อหาเดียวกันนี้ ซึ่งศาลนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 30 มิ.ย. 2568 นี้

.

X