ยกฟ้องคดี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ร้ายแรง ทีมขับรถเครื่องเสียง กรณีชุมนุม #15ตุลาไปราชประสงค์ ปี 2563 เห็นว่าพยานหลักฐานไม่เพียงพอว่าเข้าร่วมชุมนุม

วันที่ 30 มิ.ย. 2568 เวลา 9.00 น. ศาลแขวงปทุมวันนัดฟังคำพิพากษาคดีของประชาชน 5 คน ซึ่งเป็นถูกกล่าวหาว่าผู้ขับรถเครื่องขยายเสียง ไปร่วมการชุมนุม #15ตุลาไปราชประสงค์ เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 2563 ซึ่งถูกสั่งฟ้องในข้อหาฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่มีความร้ายแรง 

สำหรับการชุมนุมในช่วงเย็นของวันที่ 15 ต.ค. 2563 ที่สี่แยกราชประสงค์ เกิดขึ้นภายหลังเจ้าหน้าที่ได้ใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่ม “คณะราษฎร 2563” ที่หน้าทำเนียบรัฐบาลในช่วงเช้าตรู่ของวันเดียวกัน พร้อมกับที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมตัวแกนนำพร้อมกับผู้ชุมนุมอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการนัดหมายชุมนุมในช่วงเย็นตามมา

สำหรับคดีของคนขับรถเครื่องขยายเสียงและทีมงานในการชุมนุม มีผู้ถูกฟ้องคดีรวมทั้งสิ้น 5 คน โดยยังมีผู้ต้องหาอีก 1 ราย ที่ไม่เดินทางมาในการสั่งฟ้องคดี ทำให้อัยการยังไม่ได้สั่งฟ้อง

คดีนี้ถูกพนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 6 (ปทุมวัน) สั่งฟ้องเป็นคดีเมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2567 กล่าวหาว่า กลุ่มจำเลยเข้าร่วมชุมนุมอันเป็นการฝ่าฝืนต่อข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 และมาตรา 11 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ลงวันที่ 15 ต.ค. 2563 ข้อ 1 กำหนดห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมกัน ณ ที่ใด ๆ ตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป หรือกระทำการใดอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย 

.

ศาลยกฟ้อง เห็นว่าคำให้การของโจทก์ “ขัดแย้ง-มีข้อพิรุธ” ฟังไม่ได้ว่าจำเลยเข้าร่วมการชุมนุม

ณ ห้องพิจารณา 702 เวลา 09.36 น. จำเลยที่ 1, 2, 3 และ 5 ได้เดินทางมารอพร้อมด้วยทนายจำเลย ส่วนจำเลยที่ 4 นั้นไม่ได้มาตามนัดหมาย โดยเดิมที คดีนี้มีนัดฟังคำพิพากษาไปเมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2568 แต่เนื่องจากจำเลยที่ 4 ไม่ได้มาตามนัดหมายดังกล่าว ศาลจึงมีให้เลื่อนการฟังคำพิพากษาในวันนั้นออกไปเป็นเป็นวันนี้แทน พร้อมทั้งให้ออกหมายจับจำเลยที่ 4 ของคดีนี้ด้วย 

เวลา 09.48 น. ศาลออกนั่งบัลลังก์และอ่านคำพิพากษาของคดีนี้โดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลยทั้ง 4 คน รวมถึงทนายจำเลย โดยมีสาระสำคัญซึ่งสามารถสรุปออกมาได้ดังต่อไปนี้

ประเด็นที่ศาลต้องวินิจฉัย คือ จำเลยทั้ง 5 ได้มีการกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่

เห็นว่า จากบันทึกการจับกุมในชั้นสอบสวน พยาน (พ.ต.ต.สมศักดิ์ แก้วอุดม) ให้การว่าได้พบเห็นจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถยนต์ของกลางซึ่งเป็นยานพาหนะที่ติดตั้งเครื่องขยายเสียง โดยมีจำเลยที่เหลือนั่งอยู่ในรถ อีกทั้งจำเลยยังได้นั่งอยู่ใกล้กับรถยนต์คันดังกล่าวขณะที่มีการชุมนุม พร้อมกับแสดงสัญลักษณ์โดยการชูมือ 3 นิ้ว 

แต่ในชั้นศาล พยานกลับเบิกความว่า พยานไม่เห็นแน่ชัดว่าบุคคลใดเป็นผู้ที่ขับรถยนต์ในที่เกิดเหตุ และไม่เห็นว่าเป็นผู้ใดที่ช่วยกันเก็บเครื่องขยายเสียงขึ้นรถยนต์คันดังกล่าว พยานเข้าใจว่าจำเลยทั้ง 5 เป็นคนเดียวกันกับผู้ที่มาร่วมการชุมนุม จากคำเบิกความของพยานฝ่ายโจทก์ จึงเห็นว่าเป็นเพียงแค่คำบอกเล่า จึงต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง 

นอกจากนี้ศาลยังเห็นว่า คำให้การในชั้นสอบสวนและในชั้นพิจารณาคดีของพยานมีความขัดแย้งกันเอง สืบเนื่องมาจากที่พยานให้การไว้ในชั้นสอบสวนว่าพบเห็นจำเลยขับรถยนต์ของกลางและช่วยกันเก็บเครื่องขยายเสียงขึ้นรถยนต์คันดังกล่าว แต่ต่อมาในชั้นของการสืบพยานกลับเบิกความว่าไม่เห็นผู้ที่ขับรถยนต์เช่นว่านั้น

ขณะเกิดเหตุ พยานแต่งกายเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบคอยเฝ้าดูกลุ่มของผู้ชุมนุมซึ่งมาเข้าร่วมการชุมนุมในวันนั้นกันเป็นจำนวนหลักพัน ในระยะห่างพอสมควร ดังนั้นโอกาสที่พยานจะสามารถสังเกตเห็นและจดจำผู้ชุมนุมแต่ละคนย่อมเป็นไปได้ยาก อีกทั้งภาพถ่ายที่พยานได้ทำการบันทึกสถานการณ์เอาไว้ ก็ไม่สามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานให้เห็นอย่างเด่นชัดได้ว่าจำเลยในคดีนี้เป็นคนเดียวกับผู้ที่อยู่ในภาพ

ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า คำให้การของพยานล้วนขัดแย้ง มีข้อพิรุธ และให้การโดยมุ่งพิสูจน์ความผิดของจำเลยโดยความเข้าใจของพยานเอง  คำเบิกความในชั้นศาลย่อมมีน้ำหนักกว่าคำให้การในชั้นสอบสวน อีกทั้งในชั้นสอบสวนจำเลยก็ได้ให้การปฏิเสธมาโดยตลอด

ศาลพิพากษาว่าพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอว่าจำเลยทั้ง 5 ได้เข้าร่วมการชุมนุม การขับรถยนต์ที่ติดตั้งเครื่องขยายเสียงและการเก็บอุปกรณ์เครื่องขยายเสียงขึ้นรถนั้น เกิดขึ้นภายหลังจากที่การชุมนุมได้สิ้นสุดลงไปแล้ว จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยเข้าร่วมชุมนุม หรือ มั่วสุมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป หรือ กระทำการใดอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย

พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งห้า และสั่งให้เพิกถอนหมายจับของจำเลยที่ 4 

.

ทั้งนี้ เมื่อช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ศาลแขวงปทุมวันก็ได้มีคำพิพากษายกฟ้องคดีของ 13 นักกิจกรรมที่เข้าร่วมการชุมนุม #15ตุลาไปราชประสงค์ โดยเห็นว่าเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ไม่มีความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ร้ายแรงเช่นกัน

สำหรับการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงดังกล่าว เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 15 ต.ค. 2563 เวลา 04.00 น. ถึง 22 ต.ค. 2563 เวลา 12.00 น. โดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อจัดการกับสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง การประกาศดังกล่าวเป็นการยกระดับความรุนแรงของการใช้กฎหมายขึ้นไปกว่าการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในระดับปกติ และถูกตั้งคำถามต่อความชอบด้วยกฎหมายของการประกาศดังกล่าวอีกด้วย ช่วงดังกล่าวมีผู้ถูกดำเนินคดีไม่น้อยกว่า 72 คน ในจำนวน 35 คดี

แนวโน้มคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ร้ายแรง ดังกล่าว ก่อนหน้านี้ ศาลมีคำพิพากษายกฟ้องแทบทั้งหมด โดยจากการติดตามของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน มีคดีที่ศาลพิพากษายกฟ้องข้อหานี้ไปแล้วกว่า 19 คดี และอัยการสั่งไม่ฟ้องอีก 1 คดี

X