เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2568 เวลา 09.00 น. ศาลแขวงปทุมวันนัดสอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐานในคดี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ร้ายแรงของ “แอมป์” ณวรรษ เลี้ยงวัฒนา และ อ้อมทิพย์ เกิดผลานันท์ จากการเข้าร่วมปราศรัยในกิจกรรมแฟลชม็อบหน้าห้างสรรพสินค้าสามย่านมิตรทาวน์ หรือ #ม็อบ17ตุลา63
ทั้งสองคนตัดสินใจให้การรับสารภาพ เพื่อลดภาระทางคดี ศาลพิพากษาจำคุก “แอมป์” 2 เดือน ก่อนลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 1 เดือน ส่วนอ้อมทิพย์ พิพากษาลงโทษปรับ 5,000 บาท ลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือปรับ 2,500 บาท โดยกรณีแอมป์ถูกนับโทษจำคุกในคดีนี้ไปก่อนหน้านี้แล้ว
.
ผ่านไปกว่า 4 ปีเศษ อัยการสั่งฟ้องสามผู้ปราศรัย ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ร้ายแรง
สำหรับคดีนี้เหตุเมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2563 กลุ่ม “Spring Movement” ซึ่งนำโดยนิสิตจุฬาฯ ได้จัดกิจกรรมแฟลชม็อบหน้าห้างสรรพสินค้าสามย่านมิตรทาวน์ เพื่อต่อต้านรัฐบาลและเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักศึกษา-นักกิจกรรมที่ถูกจับกุมระหว่างการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 15-16 ต.ค. 63 ทั้งยังผลักดันประเด็นปัญหาเรื่องทรัพย์สินจุฬาฯ ที่เปลี่ยนพื้นที่ชุมชนสามย่านกลายเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์
ต่อมามีนักกิจกรรมถูกตำรวจ สน.ปทุมวัน ดำเนินคดีในข้อหาชุมนุมฯ ฝ่าฝืนข้อกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ทั้งหมด 3 คนได้แก่ “แอมป์”ณวรรษ เลี้ยงวัฒนา บัณฑิตมหาวิทยาลัยศิลปากร, “เฟลอร์” สิรินทร์ มุ่งเจริญ นิสิตคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอ้อมทิพย์ เกิดผลานันท์ บัณฑิตคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ
คดีค้างคาอยู่ในชั้นสอบสวนกว่า 4 ปี จนอัยการได้มีคำสั่งฟ้องต่อศาลแขวงปทุมวัน กรณีของณวรรษและอ้อมทิพย์ ฟ้องเมื่อวันที่ 26 มี.ค. 2568
ส่วนสิรินทร์เดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ ทำให้เมื่อเดินทางกลับมา ได้นัดหมายไปสั่งฟ้องเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2568 ที่ผ่านมา และเธอตัดสินใจให้การรับสารภาพ เนื่องจากต้องการจัดการภาระทางคดี เพราะต้องเดินทางไปศึกษาในต่างประเทศ ทำให้วันดังกล่าว ศาลพิพากษาลงโทษปรับ 5,000 บาท ให้การรับสารภาพ ลดเหลือปรับ 2,500 บาท
.
แอมป์-อ้อมทิพย์ตัดสินใจรับสารภาพ เคลียร์ภาระทางคดี ศาลลงจำคุกแอมป์ 1 เดือน ปรับอ้อมทิพย์ 2,500 บาท
วานนี้ (12 มิ.ย. 2568) เวลา 09.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 702 ณวรรษถูกเบิกตัวมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ส่วนอ้อมทิพย์ พร้อมทนายจำเลยได้เดินทางมาศาลตามนัด จำเลยทั้งสองแถลงต่อศาลขอเปลี่ยนคำให้การเดิม เป็นรับสารภาพตามฟ้อง ก่อนศาลได้อ่านคำพิพากษาให้ฟังในเวลาต่อมา
พิพากษาในส่วนของณวรรษ ลงโทษจำคุก 2 เดือน รับสารภาพมีเหตุให้ลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 1 เดือน เนื่องจากจำเลยที่ 1 มีคดีที่ต้องคำพิพากษาลงโทษจำคุก ถึงที่สุดแล้ว จึงกำหนดโทษแตกต่างจากจำเลยคนอื่น
ส่วนของอ้อมทิพย์ ศาลลงโทษปรับ 5,000 บาท จำเลยรับสารภาพมีเหตุให้ลดโทษกึ่งหนึ่ง ลดเหลือปรับ 2,500 บาท โดยเป็นการปรับทางอาญา
.
จากการพูดคุยระหว่างทนายซึ่งได้เข้าเยี่ยมณวรรษถึงการตัดสินใจในคดีนี้ หลังทนายได้แจ้งเกี่ยวกับผลในคดีของสิรินทร์ จากเหตุเดียวกันที่เพิ่งมีคำพิพากษาไป ณวรรษเล่าว่าก่อนหน้านี้ศาลก็ได้มีการพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นรับสารภาพเช่นกัน แต่ในตอนแรกยังไม่มีข้อมูลเรื่องโทษพอ แต่เมื่อมีตัวอย่างโทษปรับ และในส่วนอ้อมทิพย์ ก็เข้าใจว่ามีภาระงาน หากไปศาลบ่อย ๆ ก็ต้องลางาน กระทบกับการใช้ชีวิตพอสมควร
ณวรรษจึงเห็นว่า เป็นเรื่องที่อยากให้จัดการให้คดีเสร็จไป เพราะคดีนี้ก็โทษไม่มาก และคนทั่วไปก็เห็นแล้วว่าการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในช่วงนั้น โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อใช้จัดการกับการชุมนุมนั้น ไม่ชอบธรรมอยู่แล้ว ทำให้ในที่สุดทั้งคู่ตัดสินใจรับสารภาพในคดีนี้
ทั้งนี้ กรณีของณวรรษ มีหมายขังในคดีนี้ตั้งแต่ถูกอัยการสั่งฟ้องคดีเมื่อเดือนมีนาคมแล้ว ทำให้เขาถูกคุมขังมามากกว่าโทษ 1 เดือนที่ศาลกำหนดแล้ว โดยจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงปี 2563-65 เขาถูกดำเนินคดีจากการชุมนุมและแสดงออกรวม 20 คดี เหลือคดีที่ยังไม่สิ้นสุดอีก 10 คดี
สำหรับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ถูกรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศใช้ระหว่างวันที่ 15 – 22 ต.ค. 2563 เพื่อจัดการกับการชุมนุมของนักศึกษาและประชาชนในช่วงดังกล่าว แต่การชุมนุมโดยไร้แกนนำยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนรัฐบาลต้องยกเลิกประกาศ ระหว่างช่วงดังกล่าว มีผู้ถูกจับกุมและดำเนินคดีจากเหตุการณ์ชุมนุมในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ร้ายแรง จำนวนไม่น้อยกว่า 72 คน ใน 35 คดี โดยคดีส่วนใหญ่ที่มีการต่อสู้คดี ศาลมีคำพิพากษายกฟ้องเป็นหลัก