ศาลยกฟ้อง คดี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ร้ายแรง “ณัชพล-ชัยพันธ์” ชุมนุม #ม็อบ17ตุลา63 ชี้เป็นการชุมนุมโดยสงบ ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ 

12 ก.ย. 2565 เวลา 09.00 น. ศาลแขวงธนบุรีนัดฟังคำพิพากษาในคดีของ “ณัชพล ไพรลิน” นักกิจกรรมทะลุราม อายุ 22 ปี และ “ชัยพัทธ์ ศักดิ์ศรีเจริญยิ่ง” อดีตนักกิจกรรมทะลุฟ้า อายุ 23 ปี ซึ่งถูกฟ้องในข้อหาฝ่าฝืนประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จากกรณีชุมนุม #ม็อบ17ตุลา2563 บริเวณรถไฟฟ้าบีทีเอ​สวงเวียนใหญ่ 

เหตุของคดีนี้สืบเนื่องจากเหตุสลายการชุมนุม ช่วงเช้ามืดในวันที่ 15 ต.ค. 2563 บริเวณพื้นที่รอบทำเนียบรัฐบาล และช่วงเย็นของวันที่ 16 ต.ค. 2563 บริเวณใต้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสยามถึงบริเวณทางแยกปทุมวัน ทำให้มีแกนนำและผู้ชุมนุมหลายรายถูกจับกุม นำมาสู่การจัดแฟลชม็อบไร้แกนนำกระจายในหลายจุดทั่วกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ในวันที่ 17 ต.ค. 2563 เพื่อแสดงความไม่พอใจเหตุการณ์สลายการชุมนุม และแสดงพลังขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ โดยจุดชุมนุมที่วงเวียนใหญ่ก็เป็นพื้นที่หนึ่ง ซึ่งต่อมาตำรวจมีการดำเนินคดีผู้ชุมนุม 2 ราย

ย้อนอ่านคำฟ้อง>>ยื่นฟ้อง 2 ผู้ชุมนุม ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ร้ายแรง กรณี #ม็อบ17ตุลา วงเวียนใหญ่ ประท้วงสลายชุมนุมแยกปทุมวัน

.

ที่ห้องพิจารณา 6 ชั้น 3 เวลา 09.00 น. ณัชพล, ชัยพันธ์ และทนายจำเลย ได้ทยอยมาศาล พร้อมกับผู้สังเกตการณ์จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนมาร่วมฟังคำพิพากษาด้วย 

เวลา 09.45 น. อุมาพร ภัทรวุฒิพร ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดี ออกนั่งอ่านคำพิพากษาในคดีนี้ โดยสรุปว่า ตามการนำสืบของโจทก์ปรากฎว่า จำเลยทั้งสองได้เข้าร่วมชุมนุมในที่เกิดเหตุจริง จึงมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า การชุมนุมของจำเลยทั้งสองนั้นถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่

ถึงแม้ในการชุมนุมดังกล่าวจะอยู่ภายใต้สถานการณ์การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร และข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 ประกอบมาตรา 11 ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พ.ศ. 2548 แต่จำเป็นต้องพิจารณาถึงเจตนารมณ์ของการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงดังกล่าว

แม้ฝั่งโจทก์จะอ้างว่า การชุมนุมเมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2563 มีการชุมนุมเป็นกลุ่มใหญ่ มีการปลุกระดม ซึ่งเป็นการชุมนุมสาธารณะโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีความปั่นป่วน วุ่นวาย และความไม่สงบเรียบร้อย กระทบต่อขบวนเสด็จ จึงมีเหตุให้เชื่อว่ามีความรุนแรง กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยและทรัพย์สิน ไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ

อย่างไรก็ตาม พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองไม่ปรากฏว่ามีอาวุธ หรือมีการทำลายทรัพย์สินทางราชการ หรือกระทำรุนแรงในการชุมนุมในลักษณะที่ทำให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย แม้ระหว่างการชุมนุมจะมีการปิดล้อม และขว้างปาสิ่งของทำให้รถดูดเลนของกรุงเทพฯ เสียหาย แต่ไม่ปรากฎว่าจำเลยทั้งสองเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว

ภาพรวมยังเป็นการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ มีวัตถุประสงค์ทางการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญที่มีระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การชุมนุมจึงยังเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ไม่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน

อีกทั้งโจทก์ไม่ได้นำสืบว่า การชุมนุมไม่ได้ชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะอย่างไร ศาลจึงมีคำพิพากษายกฟ้อง

หลังอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น ชัยพันธ์ได้กล่าวถึงความรู้สึกต่อคำพิพากษาสั้นๆ ว่า “รู้สึกดีใจมากๆ ที่ศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง” รวมถึงกล่าวถึงความตั้งใจที่จะออกมาเคลื่อนไหว ต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการต่อไป ถึงแม้จะได้รับผลกระทบจากการถูกดำเนินคดีก็ตาม 

ด้านณัชพลกล่าวว่า ไม่ได้ดีใจอะไรมาก เพราะแม้คดีจะยกฟ้องไป แต่รัฐบาลชุดนี้ก็ยังอยู่ คิดว่าคงจะต้องไล่รัฐบาลกันต่อไป นอกจากนี้ณัชพลยังบอกเล่าผลกระทบที่ตนถูกดำเนินคดี ที่แม้จะเป็นคดีที่มีอัตราโทษต่ำ แต่ก็สร้างผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของเขาอย่างมาก

“เรามีผลกระทบเรื่องการเรียน เพราะเราโดนข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ หลายคดี เลยต้องออกจากมหาลัยเพราะว่าคดีมันเยอะ และก็มีความระแวงด้วยว่าอาจจะไม่ได้ยกฟ้อง รวมถึงทางครอบครัว เพื่อน พ่อแม่ ก็ไม่ได้เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหว เขาเห็นด้วยกับสิ่งที่เราเรียกร้อง แต่ไม่ได้อยากให้เราลงแรงออกมาเคลื่อนไหว แต่ตอนนี้ที่บ้านเข้าใจถึงสิ่งที่เราทำมากขึ้นแล้ว”  

ดู สถิติคดี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่ศาลยกฟ้อง-อัยการสั่งไม่ฟ้อง

.

X