วันที่ 18 มิ.ย. 2568 เวลา 9.00 น. ศาลแขวงพิษณุโลกนัดฟังคำพิพากษาฎีกาในคดีของ ปุณณเมธ อ้นอารี หรือ “เกมส์” อดีตนักกิจกรรมกลุ่มคณะราษฎรภาคเหนือตอนล่างวัย 35 ปี ที่ถูกฟ้องในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ กรณีจัดกิจกรรมคาร์ม็อบพิษณุโลก “CARPARK Phitsanulok” เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2564 โดยศาลฎีกามีคำพิพากษายืน ยกฟ้องตามศาลอุทธรณ์ภาค 6 คดีสิ้นสุดลงหลังดำเนินมาเกือบ 4 ปี
.
ศาลฎีกายืนยกฟ้อง เห็นว่าโจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่ากิจกรรมมีความเสี่ยงต่อโรค-กิจกรรมเกิดในที่เปิดโล่ง ไม่แออัด ผู้เข้าร่วมสวมหน้ากากอนามัย
คดีนี้ จำเลยต่อสู้คดีเรื่อยมา โดยรับว่าเป็นผู้จัดกิจกรรมและโพสต์ชักชวนให้ประชาชนทั่วไปมาร่วมขับรถแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เพื่อให้ชาวพิษณุโลกร่วมติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และวิพากษ์วิจารณ์การบริหารงานการจัดการวัคซีนโควิด–19 แต่ยืนยันว่ากิจกรรมเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพแสดงออกตามรัฐธรรมนูญ ผู้จัดประชาสัมพันธ์ให้ผู้เข้าร่วมสวมหน้ากากอนามัยและปฏิบัติตามกฎจราจร รูปแบบกิจกรรมไม่มีการสัมผัสใกล้ชิดระหว่างผู้เข้าร่วม ไม่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค ทั้งกิจกรรมเป็นไปโดยสงบ ไม่มีเหตุวุ่นวายแต่อย่างใด
คดีนี้ ศาลแขวงพิษณุโลกมีคำพิพากษาเห็นว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุก 6 เดือน และปรับ 9,000 บาท จำเลยให้การเป็นประโยชน์อยู่บ้าง ลดโทษหนึ่งในสาม คงโทษจำคุก 4 เดือน และปรับ 6,000 บาท แต่โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี
ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ได้กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น เป็นยกฟ้องจำเลย โดยเห็นว่ารชุมนุมของจำเลยได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ และการบังคับใช้กฎหมาย จะต้องใช้ด้วยความระมัดระวังโดยคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ อัยการโจทก์ได้ยื่นฎีกาต่อมา และฝ่ายจำเลยก็ได้โต้แย้งฎีกาของโจทก์
วันนี้ ปุณณเมธเดินทางมาฟังคำพิพากษาฎีกา โดยการอ่านคำพิพากษาไปใช้ห้องพิจารณาคดีของศาลจังหวัดพิษณุโลก เนื่องจากอาคารของศาลแขวงพิษณุโลกอยู่ระหว่างปรับปรุง
เวลาประมาณ 9.50 น. ศาลเริ่มแกะซองคำพิพากษาของศาลฎีกา และเริ่มอ่านคำพิพากษา โดยศาลฎีกามีคำพิพากษายืน ยกฟ้องจำเลย โดยสรุปเห็นว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยมีอยู่ว่า จำเลยกระทำการฝ่าฝืนประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคง เรื่องการห้ามการชุมนุม การทำกิจกรรม การมั่วสุม ที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (ฉบับที่ 9) และคำสั่งจังหวัดพิษณุโลกที่ 5854/2564 เรื่องมาตรการป้องกันการแพร่โรคโควิด-19 หรือไม่
ในส่วนของประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบฯ ในเบื้องต้นข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยชุมนุมในพื้นที่ที่มีประกาศหรือคำสั่งกำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดแล้ว ปัญหาต่อไปมีอยู่เพียงว่า การชุมนุมหรือทำกิจกรรมของจำเลยนั้น เป็นการชุมนุมหรือทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคหรือไม่
เห็นว่าพยานโจทก์ปากเจ้าพนักงานตำรวจฝ่ายสืบสวน 2 ปากจาก สภ.เมืองพิษณุโลก ไม่ยืนยันให้ความเห็นว่า การเข้าร่วมชุมนุมของจำเลยในฐานะผู้จัดกิจกรรมตามฟ้อง มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคตามประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบฯ นี้หรือไม่ อีกทั้งพยานโจทก์ปากพนักงานสอบสวน ยังตอบคำถามค้านว่า ความเสี่ยงต่อการแพร่โรคโควิด-19 บุคลากรทางการแพทย์เท่านั้นที่จะบอกได้ ซึ่งในชั้นสอบสวน พยานไม่ได้ทำการสอบสวนบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อให้ความเห็นถึงคำนิยามความเสี่ยงดังกล่าว และพยานเองไม่มีความรู้ทางการแพทย์ที่จะให้ความเห็น
เห็นว่าปัญหาที่ว่าโรคโควิด-19 เป็นโรคระบาดที่แพร่ได้โดยง่ายและรวดเร็วนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่รับรู้กันโดยทั่วไป แต่ปัญหาที่ว่าในสถานการณ์ที่จำเลยเข้าร่วมชุมนุม Car Park Phitsanulok มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคตามประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบฯ หรือไม่ โจทก์จะต้องนำสืบให้ความเห็นยืนยันว่า การเข้าร่วมชุมนุมหรือทำกิจกรรมของจำเลย มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคด้วย ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นเงื่อนไขการลงโทษทางภาวะวิสัย ซึ่งโจทก์จะต้องนำสืบให้เห็นว่า มีข้อเท็จจริงดังกล่าวปรากฏอยู่ในขณะเกิดเหตุ
เมื่อโจทก์มิได้นำสืบข้อเท็จจริงดังกล่าว ในทางตรงกันข้าม ข้อเท็จจริงปรากฏตามภาพถ่ายในคดี ในทางที่ว่าการชุมนุมมีขึ้นในสถานที่เปิดโล่งบนท้องถนน ไม่มีลักษณะแออัด อีกทั้งผู้เข้าร่วมชุมนุมก็มีการสวมหน้ากากอนามัย เช่นนี้ การเข้าร่วมชุมนุมของจำเลยจึงยังไม่เข้าเงื่อนไขตามประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบฯ ในส่วนที่ระบุว่า “การชุมนุมหรือการทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรค” ถือไม่ได้ว่าจำเลยฝ่าฝืนประกาศที่ออกตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พ.ศ. 2548 จำเลยไม่มีความผิดฐานนี้
ในส่วนข้อห้ามตามคำสั่งจังหวัดพิษณุโลกฯ เห็นว่ากรณีเป็นเช่นเดียวกับในฐานความผิดก่อนหน้านี้ กล่าวคือ ข้อความที่ว่า “ห้ามจัดกิจกรรมซึ่งมีการรวมกลุ่มกันของบุคคล และห้ามการชุมนุมในลักษณะมั่วสุมอันเป็นเหตุที่จะก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรค” เป็นเงื่อนไขการลงโทษทางภาวะวิสัย ซึ่งโจทก์จะต้องนำสืบให้ห็นว่า มีข้อเท็จจริงดังกล่าวปรากฏอยู่ในขณะเกิดเหตุ
เมื่อโจทก์มิได้นำสืบข้อเท็จจริงดังกล่าว ในทางตรงข้าม การชุมนุมมีขึ้นในสถานที่เปิดโล่งบนท้องถนน ไม่มีลักษณะแออัด อีกทั้งผู้เข้าร่วมชุมนุมก็มีการสวมหน้ากากอนามัย การเข้าร่วมชุมนุมของจำเลยจึงยังไม่เข้าเงื่อนไขตามคำสั่งจังหวัดพิษณุโลกฯ ถือไม่ได้ว่าจำเลยฝ่าฝืนประกาศที่ออกตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พ.ศ. 2548 จำเลยไม่มีความผิดฐานนี้อีกเช่นกัน
ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
องค์คณะผู้พิพากษาในศาลฎีกาในคดีนี้ ได้แก่ พัฒนไชย ยอดพยุง, ฉัตรชัย ไทรโชต, สุพิชญ์ กรอบคำ
คดีใช้เวลาต่อสู้เกือบ 4 ปี จำเลยเรียกร้องรัฐบาลเร่งจัดการปัญหาคดีการเมืองอีกมาก
หลังฟังคำพิพากษา ทำให้คดีสิ้นสุดลง ปุณณเมธได้ดำเนินการยื่นคำร้องขอคืนเงินค่าปรับที่เคยชำระหลังคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ปุณณเมธยังให้ความเห็นถึงผลคำพิพากษาระบุว่า ยินดีกับการพิพากษายกฟ้องของศาลฎีกา แต่ก็ถือเป็นราคาที่ต้องจ่าย เพราะใช้ระยะเวลาในการต่อสู้เกือบ 4 ปี สำหรับที่ไม่เคยเข้าสู่กระบวนการแบบนี้ ก็จะมีความกังวล ไม่รู้ว่ามันจะกระทบอย่างไรต่อชีวิต หรือด้านการประกอบอาชีพไหม และคงไม่มีใครอยากมาถูกดำเนินคดีแบบนี้ ก็เลยกลายเป็นราคาที่ต้องจ่ายของการออกมาต่อสู้ทางการเมือง
ปุณณเมธระบุว่า การดำเนินคดีที่เกิดขึ้นกับคาร์ม็อบกรณีต่าง ๆ ชี้ให้เห็นปัญหาการใช้กฎหมาย ที่ไม่มีบรรทัดฐานเรื่องสิทธิเสรีภาพที่พลเมืองในระบอบประชาธิปไตยสามารถทำได้ ทำให้คนที่ออกมาใช้สิทธิเสรีภาพต้องถูกกระทำโดยอำนาจรัฐ ทั้งที่ควรได้รับการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐาน และยังส่งผลถึงการออกมาต่อสู้เรียกร้องทางการเมือง เพราะการมีคดี ก็ทำให้คนไม่กล้าออกมาชุมนุมหรือทำกิจกรรม
“ก่อนหน้านี้ พอเราได้รัฐบาลจากการเลือกตั้งแล้ว และมีหลายพรรคการเมืองที่หาเสียงในประเด็นเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่วันนี้เรายังไม่เห็นว่ารัฐบาลพรรคไหน จะหาทางเร่งแก้ไขปัญหาการดำเนินคดีทางการเมืองอย่างจริงจัง” ปุณณเมธให้ความเห็น
จากการติดตามของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน คดีนี้นับเป็นคดีที่สอง จากการชุมนุมทางการเมืองที่ถูกกล่าวหาในข้อหาตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จากช่วงปี 2563-65 ที่มีคำพิพากษาในชั้นฎีกาออกมา โดยเดือนก่อนหน้านี้มีคำพิพากษาในคดีคาร์ม็อบอุตรดิตถ์ ที่ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องจำเลย 1 ราย แต่ลงโทษปรับจำเลยอีก 1 ราย
.
อ่านบทสัมภาษณ์ของปุณณเมธ
ชีวิตที่ผูกพันกับการเมือง กฎหมาย และการเคลื่อนไหว ของ “เกมส์ ปุณณเมธ” ผู้ต่อสู้คดีคาร์ม็อบพิษณุโลก
.