16 ก.พ. 2566 เวลา 9.00 น. ศาลแขวงพิษณุโลกนัดฟังคำพิพากษาในคดีคาร์ม็อบพิษณุโลก “CARPARK Phitsanulok” ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2564 ซึ่งมี ปุณณเมธ อ้นอารี หรือ “เกมส์” นักกิจกรรมกลุ่มคณะราษฎรภาคเหนือตอนล่างวัย 32 ปี เป็นผู้จัดกิจกรรมดังกล่าว ถูกฟ้องในข้อกล่าวหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
คดีนี้ นับเป็นคดีแรกที่มีการพิพากษาคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในจังหวัดพิษณุโลก หลังจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองทั่วประเทศตั้งแต่ 2563 เป็นต้นมา เนื่องจากเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการชุมนุมปราศรัยแบบปกติเป็นกิจกรรม Car mob (คาร์ม็อบ) ที่มีลักษณะผู้ร่วมชุมนุมร่วมกันขับรถไปตามท้องถนนเพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ และเสี่ยงต่อการใกล้ชิดสัมผัสของผู้เข้าร่วมน้อย
หลังจากมีการสืบพยานโจทก์และจำเลยที่ศาลแขวงพิษณุโลกไปแล้วเมื่อวันที่ 16 -17 พ.ย. 2565 โดยโจทก์นำสืบว่าจำเลยจัดการชุมนุมรวมกลุ่มฝ่าฝืนต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฝ่ายจำเลยนำสืบว่าเป็นผู้โพสต์ชักชวนให้ประชาชนทั่วไปมาร่วมขับรถแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เพื่อแสดงออกให้ชาวพิษณุโลกร่วมติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และวิพากษ์วิจารณ์การบริหารงานการจัดการวัคซีนโควิด–19 โดยเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพแสดงออกตามรัฐธรรมนูญ มีการประชาสัมพันธ์ให้สวมหน้ากากอนามัยเข้าร่วมและปฏิบัติตามกฎจราจร รูปแบบกิจกรรมไม่มีการสัมผัสใกล้ชิดระหว่างผู้เข้าร่วม ไม่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค ทั้งกิจกรรมเป็นไปโดยสงบ ไม่มีเหตุวุ่นวายแต่อย่างใด
เวลาประมาณ 9.50 น. จำเลยพร้อมกับผู้ให้กำลังใจเข้ามานั่งรอในห้องพิจารณา ก่อนอ่านคำพิพากษาศาลได้เรียกจำเลย และอธิบายคำฟ้องให้จำเลยฟังอีกครั้ง ก่อนจะเรียกเข้าไปฟังคำพิพากษาในคอกพยาน
ศาลเริ่มอ่านคำวินิจฉัย โดยสรุปเห็นว่า ก่อนเวลาเกิดเหตุมีการระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา-2019 และในขณะนั้นยังไม่มียารักษา มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นทั่วโลกจนต้องประกาศให้เป็นโรคระบาดใหญ่ โดยนายกรัฐมนตรีประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตทุกท้องที่ทั่วประเทศ และมีการประกาศขยายเรื่อยมา
ต่อมานายกรัฐมนตรีออกข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 กำหนดห้ามการชุมนุมทำกิจกรรมมั่วสุมหรือเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดโรค และออกประกาศเกี่ยวกับความมั่นคงห้ามจัดกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดโรค ห้ามรวมกลุ่มที่เสี่ยงต่อการแพทยระบาดโรคเว้นแต่ได้รับอนุญาต หลังจากนั้นนายกรัฐมนตรีได้ออกคำสั่งศูนย์บริหารราชการในภาวะฉุกเฉิน ฉบับที่ 11 / 2564 เรื่อง พื้นที่สถานการณ์ที่กำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด พื้นที่ควบคุมสูงสุด และพื้นที่ควบคุม ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และมีการออกคำสั่งพิษณุโลกที่ 5544/2564 ห้ามชุมนุมทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดโรค เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่
.
.
โจทก์มีเจ้าพนักงานตำรวจสองนาย เป็นพยานเบิกความสอดคล้องกันว่าจำเลยใช้เฟซบุ๊กส่วนตัว โพสต์เชิญชวนให้บุคคลเข้าร่วมชุมนุมคาร์ปาร์คพิษณุโลก เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2564 เริ่มต้นที่หน้าถนนมหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก โดยก่อนเริ่มกิจกรรมเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งต่อจำเลยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดต่อกฎหมายแล้ว แต่จำเลยยังยืนยันจัดกิจกรรมต่อไป
ก่อนเวลานัดหมายจำเลยได้โพสต์ภาพเดิมในเฟซบุ๊กของจำเลยอีกครั้งเพื่อเชิญชวนให้บุคคลมาเข้าร่วมกิจกรรม โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจพบเห็นจึงได้จัดกำลังพลเป็นเจ้าหน้าที่ทั้งในและนอกเครื่องแบบเข้าไปในพื้นที่ชุมนุม เมื่อไปถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจพบผู้ร่วมชุมนุมประมาณ 20-40 คน และรถของจำเลยที่ติดป้ายโจมตีรัฐบาลเป็นรถนำขบวนส่วนรถของผู้เข้าร่วมชุมนุมเป็นรถตามขบวน ได้ขับรถไปตามท้องถนนตามเส้นทางที่จำเลยแจ้งไว้จนถึงหน้าวัดจันทร์จึงแยกย้าย
พิเคราะห์แล้วเห็นว่าพยานโจทก์ทั้งสองเบิกความสอดคล้องกัน ประกอบกับเวลาดังกล่าวเป็นเวลากลางวันพยานจึงเห็นเหตุการณ์ชัดเจน พยานโจทก์ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย จึงไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าพยานโจทก์จะเบิกความเอาผิดกับจำเลย ประกอบกับจำเลยยอมรับว่าเป็นผู้เชิญชวนและเป็นผู้กล่าวปราศรัย โดยจำเลยเป็นผู้โพสต์และนำขบวนผู้ชุมนุมไปตามเส้นทางที่ได้โพสต์ไว้ในเฟซบุ๊กของจำเลย
เห็นว่าการใช้สิทธิของจำเลย ที่อ้างว่าได้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 44 วรรคหนึ่ง มีข้อยกเว้นจะต้องไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ เพราะกฎหมายมีวัตถุประสงค์เป็นการจัดระเบียบและรักษาความสงบของประชาชนไว้เป็นสำคัญ
เมื่อนายกรัฐมนตรีมีการออกประกาศต่างๆ เพื่อป้องกันความปลอดภัยของประชาชนจึงเป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐในการดำเนินการ โดยรัฐมีอำนาจหน้าที่ในการรักษาเพื่อป้องกันการติดเชื้อ แม้การออกประกาศจะทำให้สิทธิการชุมนุมของจำเลยที่จะต้องได้รับอนุญาตถูกกระทบอยู่บ้าง แต่จำเลยในฐานะประชาชนเป็นพลเมืองควรจะต้องให้ความร่วมมือกับภาครัฐ
จำเลยจะอ้างสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญมาตรา 44 วรรคหนึ่ง อันเป็นบททั่วไปมาอ้างเพื่อละเมิดต่อกฎหมายหาได้ไม่ ทั้งการชุมนุมคาร์ปาร์คเป็นการรวมกลุ่มอันอาจเป็นอันตรายต่อผู้ร่วมชุมนุมหรือผู้สัญจรใช้รถใช้ถนนในขณะนั้นได้
ส่วนที่จำเลยอ้างว่าไม่มีเจตนาทำให้เกิดความเสี่ยงต่อโรค เพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่โล่งแจ้ง ผู้ร่วมชุมนุมใส่หน้ากากอนามัยหาได้ไม่ เพราะจำเลยย่อมเล็งเห็นได้ว่าไม่อาจควบคุมให้บุคคลที่มาร่วมชุมนุมนั้นใส่หน้ากากและเว้นระยะห่างได้อย่างทั่วถึง การกระทำของจำเลยจึงเข้าองค์ประกอบความผิดของกฎหมาย
พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดจำคุกจำเลย 6 เดือน และปรับ 9,000 บาท จำเลยให้การเป็นประโยชน์อยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษหนึ่งในสาม คงเหลือจำคุก 4 เดือน และปรับ 6,000 บาท ส่วนโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี
ทั้งนี้จำเลยและทนายความได้หารือเรื่องการยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาต่อไป
.
อ่านบทสัมภาษณ์ของจำเลยในคดีนี้
ชีวิตที่ผูกพันกับการเมือง กฎหมาย และการเคลื่อนไหว ของ “เกมส์ ปุณณเมธ” ผู้ต่อสู้คดีคาร์ม็อบพิษณุโลก
.