ศาลฎีกาแก้คดี “คาร์ม็อบอุตรดิตถ์” เห็นว่า “อนุรักษ์” ผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ปรับ 5 พัน แต่ยืนยกฟ้อง “ทองแสง” ที่ไม่ได้ร่วมกิจกรรม

27 พ.ค. 2568 เวลา 9.00 น. ศาลจังหวัดอุตรดิตถ์นัดฟังคำพิพากษาฎีกาในคดีของ อนุรักษ์ แก้ไข คนทำสวนขายผลไม้วัย 29 ปี และ ทองแสง ไชยแก้ว คนทำงานด้านการเรียนรู้ของเยาวชน อายุ 32 ปี  ซึ่งถูกฟ้องในข้อหาฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จากกรณีการทำกิจกรรมคาร์ม็อบของกลุ่มอุตรดิตถ์ปลดแอก เพื่อขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2564

คดีนี้ จำเลยทั้งสองได้ต่อสู้คดีว่า การชุมนุมและแสดงความคิดเห็นของประชาชนที่เกิดขึ้นเป็นการใช้สิทธิการชุมนุมตามที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ อีกทั้งรูปแบบกิจกรรมที่เกิดขึ้นเป็นกิจกรรมคาร์ม็อบ ซึ่งไม่มีการรวมกลุ่มของประชาชน อาศัยยานพาหนะส่วนบุคคล ร่วมแสดงสัญลักษณ์ไปในเส้นทางเดียวกัน ไม่มีการปราศรัย เมื่อจบกิจกรรมก็ทำการแยกย้าย ไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรคโควิด-19 พยานโจทก์ปากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของจังหวัดยังเบิกความว่าการชุมนุมมีความเสี่ยงต่ำ ระดับเดียวกันกับคนไปเดินจ่ายตลาดในชีวิตประจำวัน การขับขี่รถไปตามท้องถนนปกติ ทั้งยังไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อจากกิจกรรมนี้

อีกทั้ง อนุรักษ์ เป็นเพียงผู้เข้าร่วมกิจกรรมคนหนึ่งไม่ใช่ผู้จัดกิจกรรมดังกล่าว ส่วนทองแสง ระหว่างเกิดเหตุในคดีนี้ ไม่ได้อยู่ในกิจกรรมคาร์ม็อบแต่อย่างใด และไม่ได้มีส่วนในการโพสต์ข้อความในเพจ “อุตรดิตถ์ปลดแอก” เชิญชวนให้คนมาเข้าร่วมการชุมนุมด้วย

ต่อมาศาลจังหวัดอุตรดิตถ์พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองคนมีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุก 2 เดือน โดยไม่รอลงอาญา แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ได้กลับคำพิพากษา เป็นยกฟ้องทั้งสองคน ก่อนอัยการโจทก์จะได้ยื่นฎีกาคำพิพากษาต่อมา ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามฟ้อง ขณะที่ฝ่ายจำเลยก็ได้ยื่นโต้แย้งฎีกาดังกล่าว จนมีนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในวันนี้

.

ภาพจากเพจอุตรดิตถ์ปลดแอก

.

ศาลอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา โดยสรุปศาลฎีกาตรวจสำนวนฟังเป็นข้อยุติได้ว่า วันที่ 25 มี.ค. 2563 มีการระบาดของโรคไวรัสโคโรนา-2019 ซึ่งเป็นโรคติดต่อที่ขนาดนั้นยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรค นายกรัฐมนตรีได้ประกาศบังคับใช้พระราชกำหนดฉุกเฉินทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักร และมีการขยายการบังคับใช้เรื่อยมา

ระหว่างเหตุการณ์ในคดีนี้ ยังคงมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นได้ออกข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 30) ในข้อ 4  ห้ามจัดกิจกรรมซึ่งมีการรวมกลุ่มกันของบุคคลเพื่อลดความเสี่ยงในการติดต่อสัมผัสกันที่สามารถแพร่โรคได้ เว้นแต่เป็นกรณีได้รับอนุญาตฯ  โดยจังหวัดอุตรดิตถ์ถูกประกาศเป็นเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุด 

และตามประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดอุตรดิตถ์ ฉบับที่ 28 ลงนามโดยผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ กำหนดห้ามการจัดกิจกรรม ซึ่งมีการรวมกลุ่มของบุคคลที่มีจำนวนรวมกันมากกว่า 20 คน เว้นแต่ได้รับอนุญาต และประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคง ฉบับที่ 9 ลงนามโดยผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้กำหนดห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดโรค เว้นแต่ได้รับอนุญาต 

คดีนี้มีการโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กเพจ “อุตรดิตถ์ปลดแอก” โดยนัดรวมตัวกันทำกิจกรรมในวันที่ 15 ส.ค. 2564 ในวันที่นัดหมาย มีรถยนต์รวมกัน 15 คัน และรถจักรยานยนต์ 20 คัน โดยจำเลยที่ 1 เข้าร่วมชุมนุม ขับรถนำขบวน โดยมีผู้เข้าร่วมชุมนุมเปิดไฟ บีบแตร และชูสามนิ้ว จนถึงเวลา 18:00 น. จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับ

มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ร่วมชุมนุมทำกิจกรรม เสี่ยงต่อการแพร่โรค โดยมีการรวมกลุ่มกันเกิน 20 คน โดยไม่ได้รับอนุญาต ฝ่าฝืนประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อฯ และประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคง ปัญหาในชั้นนี้มีเพียงว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดหรือไม่

ตามกฎหมายข้างต้น กำหนดห้ามการรวมกลุ่มกันเกินจำนวน 20 คน โดยได้รับอนุญาต เห็นว่าจำเลยที่ 1 รับว่าเข้าร่วมกิจกรรมคาร์ม็อบโดยขับรถนำผู้ชุมนุมไปตามเส้นทาง นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังโพสต์ข้อความว่า ขับรถนำขบวน แม้ทางนำสืบจำเลยที่ 1 ระบุว่าขับรถไปตามเส้นทางที่ไม่มีจราจรติดขัด และเป็นผู้ร่วมชุมนุมเข้าเท่านั้น แม้ข้อเท็จจริงไม่ชัดเจนว่าเป็นผู้จัดการชุมนุมหรือไม่ แต่เมื่อพิจารณาข้อกำหนดห้ามมิให้มีการชุมนุมดังกล่าวข้างต้น การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการเข้าร่วมการชุมนุม

ปัญหาที่ต้องพิจารณาต่อมาคือการชุมนุมดังกล่าว เป็นการชุมนุมที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดโรคหรือไม่ เห็นว่าพยานโจทก์ปากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของจังหวัดอุตรดิตถ์ เบิกความเห็นว่าการชุมนุมมีความเสี่ยงแต่อยู่ในระดับต่ำ โดยความเสี่ยงแบ่งเป็นความเสี่ยงสูงกับความเสี่ยงต่ำ แม้จะอยู่ในความเสี่ยงต่ำ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ดี แต่เหตุที่พยานเบิกความว่าความเสี่ยงต่ำนั้น เนื่องจากผู้เข้าร่วมชุมนุมอยู่ในสถานที่เปิดโล่งและใส่หน้ากากอนามัย แต่ก็ขึ้นอยู่กับผู้ชุมนุมจะปฏิบัติตัวอย่างไรอีกด้วย 

การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่โทษจำคุก 2 เดือนนั้น เห็นว่าสูงเกินไป จึงให้แก้ไขในส่วนนี้

ส่วนของจำเลยที่ 2 เห็นว่ามีเหตุอันควรสงสัยว่าได้จ้าง ยุยง ส่งเสริมให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำความผิดหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นด้วยในคำพิพากษาส่วนนี้ของศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายกฟ้อง

พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ลงโทษปรับ 5,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6

หลังจากคำพิพากษาอนุรักษ์ได้ชำระค่าปรับตามคำพิพากษา และคำพิพากษาในชั้นฎีกา ทำให้คดีนี้สิ้นสุดลง โดยเท่าที่ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนติดตามข้อมูล คดีนี้เป็นคดีชุมนุมทางการเมืองคดีแรกในช่วงโควิด-19 (ปี 2563-65) ที่ถูกกล่าวหาในข้อหาตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งมีคำพิพากษาในชั้นฎีกาออกมา

.

ย้อนอ่านเรื่องราวของจำเลยในคดีนี้

คุยกับ “ก็อต-อ๊อด” สองจำเลยคดีคาร์ม็อบอุตรดิตถ์ เมื่อศาลลงโทษจำคุก 2 เดือน

จับตาฟังคำพิพากษาฎีกา คดี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ “คาร์ม็อบอุตรดิตถ์” แม้ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง แต่อัยการฎีกาต่อ

.

X