เดือนธันวาคม 2567 ไม่มีรายงานคดีใหม่จากการแสดงออกหรือชุมนุมทางการเมืองเพิ่มขึ้น แต่คดีจำนวนมากยังคงดำเนินอยู่ในชั้นศาล โดยตลอดทั้งเดือน ศาลมีคำพิพากษาในคดีมาตรา 112 อย่างน้อย 8 คดี และมีคำพิพากษาในคดีชุมนุมทางการเมืองอีก 5 คดี คดีสำคัญมีทั้งคดีของอานนท์ นำภา ที่ถูกพิพากษาเดือนเดียว 2 คดี ท่ามกลางคำถามต่อการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม รวมทั้งศาลอุทธรณ์ภาค 1 แก้คำพิพากษาคดีของ “สมพล” กรณีปาสีพระบรมฉายาลักษณ์ใน 2 คดี และกรณีของ “แอมป์ ณวรรษ” ที่กลายเป็นผู้ต้องขังในคดีมาตรา 112 หลังไม่ได้ประกันตัวระหว่างฎีกา
นอกจากนั้นยังมีคดีที่ศาลพิพากษายกฟ้องข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในคดีหมู่บ้านทะลุฟ้า แม้เป็นคดีที่จำเลยถูกฟ้องมากที่สุดคดีหนึ่งของกิจกรรมในช่วงปี 2563-65 รวมทั้งยังมีคดีที่สามนักกิจกรรมในเชียงใหม่ถูกย้อนแจ้งข้อกล่าวหาดูหมิ่นศาลรัฐธรรมนูญ จากกิจกรรม “รามาตุลาการ” ตั้งแต่ปี 2565 การแจ้งข้อกล่าวหาย้อนหลังต่อการแสดงออกในช่วงการชุมนุมที่ผ่านมาแล้วยังปรากฏอยู่เป็นระยะ
จากการติดตามของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ตั้งแต่เริ่มการชุมนุมของ “เยาวชนปลดแอก” เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2563 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 มีประชาชนที่ถูกดำเนินคดีจากสถานการณ์ชุมนุมและการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ไปแล้วอย่างน้อย 1,960 คน ในจำนวน 1,311 คดี
เมื่อเปรียบเทียบสถิติคดีกับในช่วงเดือนพฤศจิกายนแล้ว มีคดีเพิ่มขึ้น 1 คดี เป็นคดีจากการชุมนุม #ม็อบ18กรกฎา2564 ซึ่งไม่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่ม แต่ในคดีเดิมนั้น ได้มีการนัดหมายส่งสำนวนให้กับอัยการ และมีการแยกสำนวนเป็น 2 คดี เนื่องจากอัตราโทษของข้อกล่าวหาที่ต่างกันของผู้ต้องหาแต่ละคน ทำให้คดีอยู่คนละเขตอำนาจศาล จึงต้องนับสถิติคดีเพิ่มเติม
หากนับจำนวนบุคคลที่ถูกดำเนินคดีซ้ำในหลายคดี โดยไม่หักออก แต่นำจำนวนมาเรียงต่อกันแล้ว จะพบว่ามีจำนวนการถูกดำเนินคดีไปอย่างน้อย 4,022 ครั้ง
สำหรับสถิติการดำเนินคดี แยกตามข้อกล่าวหาสำคัญ ได้แก่
1. ข้อหา “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มีผู้ถูกกล่าวหาอย่างน้อย 276 คน ในจำนวน 308 คดี (จำนวนนี้อย่างน้อย 162 คดี ถูกดำเนินคดีเนื่องจากประชาชนร้องทุกข์กล่าวโทษ)
2. ข้อหา “ยุยงปลุกปั่น” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 มีผู้ถูกกล่าวหาอย่างน้อย 154 คน ในจำนวน 53 คดี
3. ข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มีผู้ถูกกล่าวหาอย่างน้อย 1,466 คน ในจำนวน 674 คดี
4. ข้อหาตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ มีผู้ถูกกล่าวหาอย่างน้อย 182 คน ในจำนวน 100 คดี
5. ข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มีผู้ถูกกล่าวหาอย่างน้อย 208 คน ในจำนวน 230 คดี
6. ข้อหาละเมิดอำนาจศาล อย่างน้อย 43 คน ใน 25 คดี และคดีดูหมิ่นศาล อย่างน้อย 37 คน ใน 11 คดี
จากจำนวนคดี 1,311 คดีดังกล่าว มีจำนวน 661 คดี ที่สิ้นสุดไปแล้ว (คดีบางส่วนไม่ได้สิ้นสุดลงทั้งคดี เช่น มีการอุทธรณ์คดีเฉพาะจำเลยบางคน แต่จำเลยบางคนคดีสิ้นสุดแล้ว)
.
.
แนวโน้มการดำเนินคดีในช่วงเดือนธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา มีสถานการณ์สำคัญ ดังต่อไปนี้
ศาลมีคำพิพากษาคดี ม.112 เพิ่ม 8 คดี: พิพากษาคดีอานนท์ 2 คดี – ศาลอุทธรณ์แก้คำพิพากษาคดีปาสีพระบรมฉายาลักษณ์
เดือนสุดท้ายของปี 2567 ไม่มีรายงานคดีมาตรา 112 เพิ่มขึ้นใหม่ แต่มีคดีที่ศาลมีคำพิพากษาออกมาตลอดทั้งเดือนอย่างน้อย 8 คดี แยกเป็นคดีในศาลชั้นต้น 4 คดี และศาลอุทธรณ์อีก 4 คดี
คดีที่สำคัญ ได้แก่ คดีของอานนท์ นำภา ใน 2 คดี ได้แก่ คดีโพสต์จดหมาย #ราษฎรสาส์น และคดีปราศรัยม็อบแฮร์รี่ พอตเตอร์ 1 ทั้งสองคดีนี้ศาลอาญาพิพากษาว่าอานนท์มีความผิดตามมาตรา 112 ในคดีแรกลงโทษจำคุก 3 ปี ให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษเหลือจำคุก 2 ปี ส่วนคดีหลัง ศาลลงโทษจำคุก 4 ปี ลดโทษเหลือจำคุก 2 ปี 8 เดือน โดยในคดีหลังนี้ จำเลยประสบปัญหาในการต่อสู้คดี ทั้งการที่ศาลไม่ออกหมายเรียกพยานหลักฐานตามที่ร้องขอ ศาลสั่งพิจารณาคดีเป็นการลับ และจำเลยประท้วงโดยไม่ได้ถามค้านพยานโจทก์ หรือนำสืบพยานฝ่ายตน ท่ามกลางคำถามต่อการพิจารณาคดีที่เป็นธรรมและความเป็นกลางของศาล
ผลของคำพิพากษาสองคดี ทำให้อานนท์ถูกลงโทษจำคุกในคดีมาตรา 112 รวม 6 คดี (และยังมีคดีตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่ถูกลงโทษจำคุก 2 เดือน) เป็นโทษจำคุกรวม 18 ปี 10 เดือน 20 วัน ทุกคดียังอยู่ระหว่างอุทธรณ์คำพิพากษา ยังไม่มีคดีใดสิ้นสุด
เดือนที่ผ่านมา ยังมีคำพิพากษาในคดีของ “สมพล” ออกมา 3 คดี โดยเขาถูกกล่าวหาคดีมาตรา 112 จากการปาสีน้ำใส่พระบรมฉายาลักษณ์ในหลายท้องที่ เดิมนั้นคดีที่ศาลจังหวัดปทุมธานี 2 คดี ศาลยกฟ้องข้อหามาตรา 112 แต่ลงโทษเฉพาะข้อหาทำให้เสียทรัพย์ เนื่องจากเห็นว่าจำเลยมีเจตนามุ่งทำลายทรัพย์สินของผู้อื่นเท่านั้น แต่อัยการได้อุทธรณ์คดี และศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้แก้คำพิพากษาทั้ง 2 คดี เห็นว่า “สมพล” มีความผิดตามมาตรา 112 โดยเห็นว่าจำเลยขว้างปาสีในหลายท้องที่ มุ่งประสงค์ต่อพระบรมฉายาลักษณ์เป็นการเฉพาะ จึงเห็นว่ามีเจตนาดูหมิ่นพระมหากษัตริย์
ขณะที่ศาลอาญาก็มีคำพิพากษาในลักษณะเดียวกันต่อคดีของสมพลที่ถูกกล่าวหาในท้องที่เขตดอนเมืองด้วย ทั้งนี้สมพลไม่ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาทั้งสามคดี ทำให้เขาถูกศาลสั่งออกหมายจับ
นอกจากนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังมีคำพิพากษายืนยกฟ้องข้อหามาตรา 112 ในคดีของ “ศิระพัทธ์” กรณีปลดพระบรมฉายาลักษณ์ไปจากป้อมยามหน้าหมู่บ้าน แล้วนำกรอบรูปไปทิ้งลงคลอง โดยเห็นว่าจำเลยมีเจตนาที่ต้องการลักขโมยของยามวิกาลเท่านั้น ฟังมิได้ว่าจำเลยมีเจตนาพิเศษที่ดูหมิ่นกษัตริย์ แต่จำเลยยังมีความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยให้รอการลงโทษจำคุกไว้
ส่วนคดีของ “แอมป์” ณวรรษ เลี้ยงวัฒนา นักกิจกรรมที่ถูกกล่าวหาจากการปราศรัยในการชุมนุม #ม็อบ13กุมภา2564 นั้น ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ลงโทษจำคุก 1 ปี 7 เดือน และเขาไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างฎีกา ทำให้แอมป์กลายเป็นผู้ถูกคุมขังคดีมาตรา 112 รายใหม่ในเดือนที่ผ่านมา
สุดท้าย ศาลอาญามีคำพิพากษาในคดีของประชาชน 3 ราย กรณีถูกกล่าวหาวางเพลิงพระบรมฉายาลักษณ์ที่หน้ากระทรวงแรงงาน หลัง #ม็อบ14กันยา64 โดยเห็นว่ามีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน แต่ศาลเห็นว่าจำเลยแสดงความสำนึกผิด ประกอบอาชีพเป็นกิจจะลักษณะ ไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอการลงโทษจำคุกไว้ 3 ปี ให้คุมประพฤติ 2 ปี และให้ทำกิจกรรมบริการสาธารณะ 24 ชั่วโมง ส่งผลให้ทั้งสามไม่ต้องถูกจองจำ แต่ยังต้องติดตามว่าจะมีการอุทธรณ์คดีหรือไม่ต่อไป
ในเดือนธันวาคม ยังมีความพยายามยื่นประกันตัวผู้ต้องขังในคดีทางการเมืองหลายคนเนื่องในวันสิทธิมนุษยชนสากล โดยมีผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 ได้รับการประกันตัวเพียงรายเดียว ได้แก่ “บูม จิรวัฒน์” หลังศาลฎีกามีคำสั่งให้ประกันตัว เมื่อถูกคุมขังมากว่า 1 ปี และมีความพยายามยื่นประกันถึง 9 ครั้ง
สถานการณ์คดีมาตรา 112 ในรอบปี 2567 มีคดีเพิ่มขึ้นทั้งปีอย่างน้อย 21 คดี แต่มีคดีที่ศาลระดับต่าง ๆ มีคำพิพากษาออกมาอย่างน้อย 82 คดี โดยเป็นคำพิพากษาในระดับศาลอุทธรณ์เพิ่มมากขึ้น ส่งผลถึงการถูกคุมขังของจำเลยและคดีที่จะสิ้นสุดลง สถานการณ์นี้จะดำเนินสืบเนื่องไปในปี 2568 นี้
.
.
คดีชุมนุมปี 2563-65 ศาลมีคำพิพากษาอีก 5 คดี มีทั้งยกฟ้อง-เห็นว่าผิด
ในส่วนคดีจากการชุมนุมทางการเมืองอื่น ๆ เดือนที่ผ่านมา ศาลมีคำพิพากษาออกมาอีกรวม 5 คดี แยกเป็นคดีตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จำนวน 3 คดี, คดี พ.ร.บ.ชุมนุมฯ 1 คดี และคดีการแสดงออกอื่น ๆ ในการชุมนุมอีก 1 คดี
ผลคำพิพากษามีทั้งคดีที่ศาลยกฟ้องข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ได้แก่ คดีของอานนท์ นำภา กรณีปราศรัยม็อบแฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่ศาลอาญาเห็นว่ากิจกรรมนี้มีการตั้งเวทีขนาดเล็ก ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่สวมหน้ากากอนามัย มีจุดคัดกรอง สถานที่ชุมนุมเป็นพื้นที่โล่ง การชุมนุมเป็นไปโดยสงบ จำเลยไม่ได้เป็นผู้จัดชุมนุม จึงยกฟ้องข้อหานี้ แต่ศาลลงโทษในข้อหาตามมาตรา 112
และคดีหมู่บ้านทะลุฟ้า ที่มีผู้ถูกกล่าวหาถึง 61 คน ศาลแขวงดุสิตเห็นว่าบริเวณที่เกิดเหตุเป็นบริเวณโล่ง ไม่แออัด ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ใส่หน้ากากอนามัย ตั้งเวทีขนาดเล็ก ตลอดการชุมนุมไม่ปรากฏเหตุร้ายแรง และผู้ชุมนุมไม่มีอาวุธ จึงถือว่าการจัดการชุมนุมที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ แต่ทั้งนี้ศาลได้ลงโทษจำเลยในข้อหากีดขวางการจราจร โดยปรับเป็นพินัยคนละ 500 บาท
ส่วนคดีที่ศาลเห็นว่ามีความผิด ได้แก่ คดีคาร์ม็อบกำแพงเพชร ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 มีคำพิพากษาเป็นครั้งที่ 3 พิพากษายืน เห็นว่าจำเลยมีพฤติการณ์เป็นผู้ดำเนินการจัดกิจกรรม ในช่วงที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินห้ามจัดกิจกรรม แต่ศาลไม่ได้วินิจฉัยในรายละเอียดกิจกรรม ว่าทำให้เกิดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโควิดจริงหรือไม่ ทำให้ทางจำเลยประสงค์จะฎีกาต่อไป
.
.
ในคดีตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ ศาลแขวงดุสิตมีคำพิพากษาคดีของ 25 นักกิจกรรมและประชาชน จากการเข้าร่วมชุมนุม #ราษฎรหยุดAPEC2022 เมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2565 เห็นว่ามีความผิดตามฟ้องจำนวน 24 คน ให้ลงโทษปรับคนละ 2,500 บาท และยกฟ้องจำเลย 1 ราย ที่โจทก์พิสูจน์ไม่ได้ว่าไปร่วมการชุมนุม คดีนี้ฝ่ายจำเลยพยายามต่อสู้เรื่องการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่เป็นไปเกินกว่าเหตุ ไม่ได้สัดส่วนกับพฤติการณ์ รวมทั้งยังออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ศาลยังคงให้น้ำหนักกับการดำเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐ
นอกจากนั้นยังมีคดีของนักกิจกรรมราษฎรขอนแก่น 5 คน ที่ถูกฟ้องข้อหาทำให้เสียทรัพย์ กรณีปาสีใส่ป้ายตำรวจภูธรภาค 4 ในคาร์ม็อบขอนแก่น 3 เมื่อปี 2564 ศาลแขวงขอนแก่นพิพากษาว่าจำเลยทั้งหมดมีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุกคนละ 2 เดือน 10 วัน ปรับคนละ 14,000 บาท แต่โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี โดยศาลเห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นการสร้างความเดือดร้อนและความเสียหายต่อทรัพย์สินของทางราชการ แม้ฝ่ายจำเลยพยายามต่อสู้ว่าเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกตามรัฐธรรมนูญ เป็นการแสดงความไม่พอใจรัฐบาลและตำรวจที่สลายการชุมนุมที่กรุงเทพฯ ไม่ได้มีเจตนาทำให้ทรัพย์สินเสียหาย เนื่องจากเป็นสีน้ำที่ล้างออกได้
.
.
แจ้งข้อหาคดี “ดูหมิ่นศาลรัฐธรรมนูญ” ต่อสามนักกิจกรรมเชียงใหม่
สุดท้ายในเดือนธันวาคม ยังมีคดีที่ 3 นักกิจกรรมในจังหวัดเชียงใหม่ ถูกย้อนแจ้งข้อกล่าวหา “ดูหมิ่นศาลรัฐธรรมนูญ” จากเหตุการณ์ร่วมกิจกรรม “รามาตุลาการ” แสดงความไม่เห็นด้วยต่อคำวินิจฉัยคดี 8 ปี ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่บริเวณอ่างแก้ว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2565
คดีนี้มีผู้รับมอบอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญไปกล่าวหาไว้ที่ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ โดยกล่าวหาเกี่ยวกับพฤติการณ์การกล่าวสุนทรพจน์โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับศาล, การโปรยภาพของตุลาการ และมีข้อความด่าทอศาล รวมทั้งการแปรอักษรเป็นข้อความ “รามาตุลาการ” ที่ผู้กล่าวหาอ้างว่าเปิดพจนานุกรมแล้ว สื่อความหมายว่าตุลาการข่มเหงรังแกประชาชนคนไทย โดยนักกิจกรรมทั้งสามให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา
หลังปี 2563 พบว่ามีคดีจากการแสดงออกทางการเมืองที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้กล่าวหาแล้ว จำนวน 3 คดี นอกจากคดีนี้ ในจังหวัดเชียงใหม่ ยังมีคดีของนักศึกษาและนักกิจกรรมอีก 6 คน ที่ สภ.เมืองเชียงใหม่ ซึ่งเป็นเหตุการณ์วันเดียวกับในคดีนี้ แต่เหตุเกิดต่างสถานที่กัน จนถึงปัจจุบันคดียังอยู่ในชั้นสอบสวน ยังต้องติดตามคดีที่ศาลเป็นผู้กล่าวหาเองเช่นนี้ต่อไป
.