ปี 2567 ยังพบสถานการณ์การติดตามคุกคามนักกิจกรรม นักศึกษา หรือประชาชนที่เคยเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยเจ้าหน้าที่รัฐ แม้อยู่ภายใต้รัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทยแล้วก็ตาม และแม้ต่อมาจะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล จากที่นำโดยเศรษฐา ทวีสิน ไปเป็นแพทองธาร ชินวัตร แต่ก็ดูเหมือนไม่ได้มีผลต่อการใช้อำนาจรัฐในลักษณะนี้มากนัก เพราะยังมีรายงานการคุกคามอยู่เป็นระยะในช่วงปีที่ผ่านมา
ในรอบปี 2567 ไม่ได้มีการชุมนุมทางการเมืองขนาดใหญ่ แต่นักศึกษา-ประชาชนหลายคนที่เคยออกมาเคลื่อนไหวและถูกจับตาในช่วงปี 2563-65 ก็ยังคงตกเป็น “เป้าหมาย” ซึ่งเจ้าหน้าที่เข้าไปติดตามถึงบ้านพักหรือพื้นที่ส่วนตัว, คอยสอดแนม-ตรวจเช็คความเคลื่อนไหว หากมีบุคคลสำคัญมาลงพื้นที่ รวมถึงการติดตามผู้แสดงความคิดเห็นบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ และการที่หน่วยงานรัฐร้องขอแพลตฟอร์มให้ปิดกั้นการเข้าถึงเนื้อหา
จากการติดตามของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ตลอดปี 2567 พบกรณีการคุกคามนักกิจกรรมหรือประชาชน ไม่น้อยกว่า 121 กรณี คิดเป็นผู้ถูกคุกคามจำนวนไม่น้อยกว่า 107 คน/กลุ่ม (บางรายถูกติดตามคุกคามหลายครั้งในรอบปี ทำให้นับจำนวนเป็นหลายกรณี) ในจำนวนนี้ มีข้อมูลว่าเป็นเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 2 คน ด้วย
สำหรับรูปแบบการคุกคามที่พบมากที่สุด ได้แก่ การไปติดตามถึงที่บ้านหรือที่ทำงาน ไม่น้อยกว่า 56 กรณี ลำดับถัดมาได้แก่ การติดตามสอดแนมไม่น้อยกว่า 16 กรณี และการแทรกแซงรบกวนการทำกิจกรรมไม่น้อยกว่า 14 กรณี รวมทั้งที่เข้าข่ายเป็นการปิดกั้นกิจกรรมไม่น้อยกว่า 8 กรณี
นอกจากนั้นยังมีกรณีที่เป็นลักษณะเจ้าหน้าที่เรียกมาพูดคุย โดยไม่มีอำนาจทางกฎหมาย 6 กรณี และกรณีที่เข้าข่ายเป็นการควบคุมตัวโดยมิชอบด้วยกฎหมายอีก 5 กรณี
หากแบ่งกรณีที่เกิดขึ้นเท่าที่ทราบข้อมูลนี้ ไปตามพื้นที่ภูมิภาค พบว่าเป็นกรณีที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือจำนวน 46 กรณี พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลจำนวน 29 กรณี พื้นที่จังหวัดทางภาคกลางจำนวน 15 กรณี พื้นที่จังหวัดทางภาคอีสานและภาคใต้จำนวนภาคละ 13 กรณี และพื้นที่จังหวัดทางภาคตะวันออกจำนวน 5 กรณี
.
.
การถูกติดตามเพราะมีบุคคลสำคัญลงพื้นที่ พบกว่า 31 กรณี โดยมากเป็นกรณีสมาชิกราชวงศ์
สาเหตุการคุกคามที่พบมากที่สุด ยังเป็นกรณีเจ้าหน้าที่รัฐไปติดตามประชาชนก่อนหรือระหว่างการลงพื้นที่ของบุคคลสำคัญ ทั้งของสมาชิกราชวงศ์ ตลอดจนนายกรัฐมนตรี เพื่อเฝ้าระวังการเคลื่อนไหว หรือห้ามปรามการแสดงออกเอาไว้ก่อน โดยพบกรณีลักษณะนี้ตลอดปีจำนวนอย่างน้อย 31 กรณี แยกเป็นกรณีการลงพื้นที่ของสมาชิกราชวงศ์ 20 กรณี และกรณีเกี่ยวกับการลงพื้นที่ของบุคคลในคณะรัฐมนตรี 11 กรณี
การติดตามประชาชนเช่นนี้เกิดขึ้นในหลายจังหวัด หากบุคคลสำคัญเหล่านั้นไปลงพื้นที่ นักกิจกรรมหรือประชาชนที่อยู่ในรายชื่อจับตาของเจ้าหน้าที่ มักจะถูกติดตามไปพบถึงบ้าน หรือพื้นที่ส่วนตัว ส่วนใหญ่แล้ว ประชาชนหรือนักกิจกรรมที่ถูกติดตาม ไม่ทราบด้วยซ้ำว่าจะมีการมาลงพื้นที่ และไม่ได้มีเจตนาจะไปเคลื่อนไหวหรือชุมนุมทางการเมือง
พื้นที่ที่พบว่ามีการติดตามคุกคามค่อนข้างมาก ได้แก่ พื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง โดยเฉพาะต่อกลุ่ม NU-Movement ซึ่งเป็นกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยนเรศวรที่เคยจัดกิจกรรมทางการเมืองช่วงปี 2563-64 สมาชิกหรือผู้ที่เคยร่วมกิจกรรมกับกลุ่มจำนวนไม่น้อยกว่า 7 ราย ถูกตำรวจเข้าติดตามถึงบ้าน หรือไปสอบถามข้อมูลส่วนตัว บางรายยังถูกติดตามหลายครั้งในรอบปี โดยมากเกี่ยวกับกรณีมีบุคคลในราชวงศ์มาลงพื้นที่
การคุกคามดังกล่าว ยังเกิดขึ้นโดยนิสิตหลายคนก็จบการศึกษาไปแล้ว กลุ่มไม่ได้ทำกิจกรรมสาธารณะมากนัก แต่กลับยังตกเป็นเป้าหมายติดตามของเจ้าหน้าที่รัฐอย่างต่อเนื่อง โดยแม้แต่คนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกกลุ่ม แต่เคยไปร่วมกิจกรรมในช่วงปีก่อน ก็ตกเป็นเป้าถูกติดตามไปด้วย
กรณีดังกล่าวยังเกิดขึ้นในอีกหลายจังหวัด อาทิเช่น ที่นครพนม เจ้าหน้าที่เดินทางไปพบผู้เคยถูกดำเนินคดีคาร์ม็อบ เพื่อขอถ่ายรูปถ่ายรายงานตามคำสั่ง เนื่องจากกรมสมเด็จพระเทพฯ จะเสด็จ, ที่จังหวัดกำแพงเพชร ก่อนการเสด็จของทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ฯ ตำรวจได้โทรสอบถามความเคลื่อนไหวอดีตผู้ลงสมัครนายกฯ อบจ. ในนามคณะก้าวหน้า และต่อมายังเดินทางไปถ่ายรูปที่บ้าน
หรือเมื่อรัชกาลที่ 10 และพระราชินี เสด็จไปเปิดสนามจักรยานที่จังหวัดพิจิตร มีรายงานเจ้าหน้าที่รัฐไปติดตามหรือสอดแนมนักกิจกรรมและประชาชนไม่ต่ำกว่า 5 กรณี เช่นเดียวกับที่จังหวัดเชียงราย ที่พบว่าเจ้าหน้าที่รัฐไปติดตามและสอดแนมประชาชนไม่ต่ำกว่า 4 กรณี ก่อนการเสด็จในพื้นที่
ในช่วงปลายปี ยังมีกรณีของ “เบลล์” นักศึกษาจากจังหวัดพัทลุง และเป็นผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางมาที่บ้านของเขา ระบุว่าเนื่องจากกรมสมเด็จพระเทพฯ จะเสด็จมางานรับปริญญา ทำให้มีคำสั่งให้มาติดตามความเคลื่อนไหว
รวมทั้งกรณีของจุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ บัณฑิตจากธรรมศาสตร์ ที่เคยเคลื่อนไหวทางการเมือง ได้ถูกตำรวจไปติดตามถึงบ้านที่อำนาจเจริญถึง 2 ครั้งในรอบเดือน เนื่องจากมีการเสด็จของสมาชิกราชวงศ์ไปยังจังหวัดนครราชสีมา จะเห็นได้ว่าแม้แต่การเสด็จจะเกิดขึ้นคนละจังหวัดกัน แต่ประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง ก็ยังอาจถูกติดตามคุกคามด้วย
.
.
ส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคณะรัฐมนตรีนั้น พบว่ามีกรณีที่เศรษฐา ทวีสิน ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และลงพื้นที่ตรวจราชการ ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าติดตามความเคลื่อนไหวของชาวบ้านที่เรียกร้องในประเด็นด้านทรัพยากรธรรมชาติ เช่น กรณีพ่อหลวงสมชาติ หละแหลม สมาชิกเครือข่าย P-move ที่จังหวัดลำปาง หรือกรณีที่กลุ่มประชาชนในจังหวัดราชบุรีได้เปิดเผยเอกสาร “ประเมินภัยคุกคาม” ในภารกิจรักษาความปลอดภัยนายกฯ ลงพื้นที่ราชบุรี ของหน่วยงานรัฐไม่ทราบหน่วย สะท้อนทัศนคติที่มองประชาชนที่เรียกร้องในประเด็นต่าง ๆ ในฐานะเป็น “ภัยคุกคาม”
นอกจากนั้น พบว่ายังมีกรณีที่ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางไปลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ในช่วงกลางเดือนมีนาคม และมีนักศึกษา-คนทำงานด้านการเมือง รวม 2 ราย รายงานว่าถูกตำรวจไปพบ หรือโทรติดต่อสอบถามข้อมูลว่าจะมีการเคลื่อนไหวใดหรือไม่ด้วย
แต่ในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งมีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีเป็น แพทองธาร ชินวัตร นั้น ยังไม่มีรายงานกรณีลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้น
.
ภาพเอกสารที่ชาวบ้านราชบุรีถูกจัดอยู่ในรายชื่อ “ภัยคุกคาม” ระหว่างนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่นำมาเปิดเผยต่อสื่อมวลชน เมื่อเดือนพฤษภาคม 2567
ภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบเข้าติดตามถึงบ้าน “เบิร์ด” บัณฑิตจาก ม.วลัยลักษณ์ เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2567 อ้างว่าอยู่ในรายชื่อบุคคลเฝ้าระวัง
.
การติดตาม “บุคคลในรายชื่อเฝ้าระวัง” โดยไม่ทราบเหตุแน่ชัด ยังมีอยู่อย่างน้อย 8 กรณี
นอกจากการติดตามไปบ้านผู้เคยออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยทราบสาเหตุว่าเกี่ยวข้องกับการเสด็จหรือเดินทางมาของบุคคลสำคัญแล้ว ยังมีสถานการณ์ที่ตำรวจไปบ้านของนักกิจกรรมหรือประชาชน โดยไม่ได้มีสาเหตุแน่ชัด แต่ถูกระบุว่าเกี่ยวข้องกับการมาติดตาม “บุคคลในรายชื่อเฝ้าระวัง” ของเจ้าหน้าที่ตามรอบ หรือได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชามา โดยปีที่ผ่านมา พบไม่น้อยกว่า 8 กรณี บางส่วนเป็นผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 ด้วย แต่บางส่วนก็ไม่ใช่ผู้ถูกดำเนินคดีใด เพียงแต่เคยออกมาจัดกิจกรรมชุมนุมในช่วงปี 2563-64 โดยหลายคนก็ไม่ได้เคลื่อนไหวใด ๆ แล้ว
อาทิกรณีของ “ตี้” วรรณวลี ธรรมสัตยา นักกิจกรรม ที่ในรอบปีที่ผ่านมามีตำรวจไปพบกับแม่ที่บ้านต่างจังหวัดประมาณ 3 ครั้ง และตำรวจยังเคยโทรศัพท์มาพูดคุยกับเธอ ระบุว่าสอบถามตามคำสั่ง เพราะตี้เป็นบุคคลในรายชื่อเฝ้าระวัง แต่อ้างว่าไม่ใช่การมาคุกคามแต่อย่างใด
หรือกรณี ชาติชาย ไพรลิน อดีตนักกิจกรรมกลุ่มทะลุฟ้า ที่ไปขายผลไม้อยู่ที่จังหวัดชลบุรี ปีที่ผ่านมา ยังมีตำรวจนอกเครื่องแบบมาหาที่บ้าน โดยสอบถามถึงอาชีพการงาน และสถานการณ์ของเขาในช่วงนี้ ทั้งยังสอบถามว่าได้ไปร่วมชุมนุมอะไรหรือไม่ด้วย
.
เจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบไปบ้านของชาติชายที่จังหวัดชลบุรี ผู้เคยทำกิจกรรมกับกลุ่มทะลุฟ้า เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2567
.
กรณีของ เดฟ (A.K.A. 3bone) ศิลปินแร็ปเปอร์วง Rap Against Dictatorship (R.A.D.) ซึ่งเคยร่วมเวทีการชุมนุมในช่วงปี 2563-64 แต่ไม่เคยถูกดำเนินคดีใด ได้มีตำรวจเดินทางไปที่บ้านใน จ.นครราชสีมา โดยได้นำรูปภาพตอนทำกิจกรรมทางการเมือง พร้อมกับรูปบัตรประชาชนมาให้คุณแม่ดู แล้วสอบถามว่าลูกยังเคลื่อนไหวทำกิจกรรมอยู่หรือไม่ พร้อมเตือนว่าอย่าไปทำแบบนี้อีก
กรณีของ “เบิร์ด” บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจมาติดตามตัวถึงบ้านพัก โดยอ้างว่าอยู่ใน “รายชื่อต้องเฝ้าระวัง” พร้อมเจรจาขอให้เซ็นเอกสารทำสัญญาว่าไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ทั้งที่ในปัจจุบันเขาก็ไม่ได้เคลื่อนไหวทางการเมืองแล้ว
กรณีอาสาสมัครสังเกตการณ์การเลือกตั้งใน จ.มหาสารคาม ถูกตำรวจเข้าไปที่บ้านพัก อ้างว่ามาสอบถามถึงนักกิจกรรมคนหนึ่ง ก่อนตำรวจพยายามสอบถามว่า บ้านนี้มีใครอาศัยอยู่บ้าง เรียนอยู่หรือทำงานแล้ว และช่วงนี้ทำอะไร อ้างว่าเป็นการมาตามปกติเพื่อสอดส่องดูแลประชาชน
กรณีเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในรอบปี โดยอาจมีกรณีที่ศูนย์ทนายฯ ไม่ทราบข้อมูลอยู่อีก เนื่องจากนักกิจกรรมและประชาชนหลายคนถูกติดตามจนกลายเป็น “เรื่องปกติ” จึงไม่มีการแจ้งข้อมูล หรืออัปเดตสถานการณ์ต่อสาธารณะ
.
การปิดกั้น-แทรกแซงกิจกรรมทางการเมืองของประชาชน ไม่น้อยกว่า 22 กรณี
นอกจากการติดตามไปบ้านแล้ว ปีที่ผ่านมา ยังมีกรณีเข้าข่ายเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานรัฐเข้าปิดกั้น หรือแทรกแซงการทำกิจกรรมสาธารณะต่าง ๆ ไม่น้อยกว่า 22 กรณี โดยแยกเป็นกรณีที่เป็นการแทรกแซงหรือรบกวน แต่ไม่ได้ห้ามให้ทำกิจกรรม 14 กรณี และกรณีที่เข้าข่ายเป็นการปิดกั้นไม่ให้ทำกิจกรรม 8 กรณี
สถานการณ์สำคัญคือในช่วงรณรงค์เข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน ในช่วงต้นปี 2567 นั้น ได้มีรายงานกรณีที่เจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปติดตามประชาชนที่ตั้งจุดลงชื่อ หรือจัดกิจกรรมเกี่ยวกับประเด็นนี้ รวมไม่น้อยกว่า 7 กรณี บางรายถูกเจ้าหน้าที่ไปหาถึงบ้าน หรือบางกรณีเจ้าหน้าที่ไปติดตามเฝ้าดูจุดลงชื่อ
ส่วนกรณีที่น่าสนใจอื่น ๆ ได้แก่ กรณีของสิตานัน สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ พี่สาวของวันเฉลิม ผู้ลี้ภัยที่ถูกบังคับสูญหายในประเทศกัมพูชา ซึ่งจะเดินทางไปติดตามทวงถามความคืบหน้าในเรื่องของน้องชาย ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ขณะฮุนเซนเดินทางมาพบ ทักษิณ ชินวัตร นั้น ก็ได้ถูกตำรวจสกัดกั้นไม่ให้เดินทางไป พร้อมกับถูกตำรวจกักตัวไว้ไม่ให้เดินทางไปไหน โดยไม่มีอำนาจตามกฎหมายเป็นเวลากว่าชั่วโมง พร้อมยังมีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบคอยติดตามหลังจากนั้น
.
.
ภาพเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบกักตัวพี่สาวของวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ไว้ เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2567
.
กรณีกลุ่มประชาชนเสื้อแดงที่จังหวัดเชียงใหม่ รวมตัวกันแสดงออกในช่วงที่ทักษิณ ชินวัตร ลงพื้นที่ โดยการถือป้ายทวงถามถึงเรื่องคนเสื้อแดงที่ถูกสังหาร และนักโทษทางการเมืองที่ไม่ได้รับความยุติธรรม บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่การแสดงออกดังกล่าว ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้รถตู้สองคัน เข้าจอดเทียบปิดหน้ากลุ่ม และพยายามใช้ตัวรถปิดบังป้ายต่าง ๆ จากขบวนรถที่เดินทางผ่าน
หรือกรณีเศรษฐา ทวีสิน ลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2567 รายงานข่าวระบุว่าได้มีประชาชนถือป้ายข้อความเกี่ยวกับความเดือดร้อนรอต้อนรับที่วัดพระมหาธาตุ แต่มีป้ายข้อความหนึ่งระบุว่า “เราต้องการเงิน 1 หมื่นบาท แต่ไม่ใช่เงินดิจิทัล” จึงได้มีเจ้าหน้าที่เข้าไป “ขอความร่วมมือ” ให้เก็บป้ายดังกล่าวออกไป
กรณีทีมงานพรรคก้าวไกลที่จังหวัดนราธิวาส จัดฉายหนังสั้น “I’m Not Your F***ing Stereotype” และทอร์คพูดคุยกับเจ้าของผลงาน ที่ร้านกาแฟในจังหวัด มีเจ้าหน้าที่รัฐถึง 3 กลุ่ม มาคอยติดตามกิจกรรม ทั้งในรูปแบบมาแจกใบปลิวรณรงค์ของเจ้าหน้าที่ กอ.รมน., กรณีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบเข้ามาร่วมกิจกรรม แต่คอยแอบถ่ายรูป, กรณีกลุ่มนอกเครื่องแบบที่มาจอดรถหน้าร้าน และถ่ายรูปจากบนรถ
รวมทั้งปลายปี ยังมีกรณีของสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกันจัดเสวนาเปิดตัวหนังสือ “ความมั่นคงภายใน: อำนาจของทหาร ภารกิจของประชาชน“ ก่อนถึงวันเสวนา ทางคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ได้แจ้งผู้จัดว่าผู้บริหารมหาวิทยาลัยไม่อนุญาตให้ใช้สถานที่ของจุฬาฯ โดยไม่ได้ระบุสาเหตุชัดเจน ต่อมาหลังจากเรื่องนี้เป็นข่าว ทางอธิการบดีของจุฬาฯ ได้ติดต่อทางผู้จัดว่าไม่ทราบเรื่องไม่อนุญาตให้ใช้สถานที่ดังกล่าวแต่อย่างใด ผู้จัดจึงกลับมาจัดที่เดิมได้ โดยคาดว่าก่อนหน้านี้ น่าจะเป็นคำสั่งมาจากระดับรองอธิการบดีบางคน
.
เอกสารที่เจ้าหน้าที่รัฐนำไปให้ประชาชนลงชื่อ เมื่อช่วงปี 2564 และในปี 2567 ยังพบว่ายังมีการใช้เอกสารในลักษณะเดียวกันนี้อยู่
.
การคุกคามจากการแสดงออกเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์บนโลกออนไลน์ ยังพบอีกอย่างน้อย 9 กรณี
ในปี 2567 ยังพบการคุกคามสืบเนื่องจากการแสดงออกออนไลน์ในประเด็นเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ ซึ่งไม่ได้เป็นคดีความ อย่างน้อย 9 กรณี
รูปแบบที่เกิดขึ้น ได้แก่ มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าติดตามประชาชนที่เคยโพสต์เนื้อหาเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ฯ ขอให้ลบโพสต์ข้อความ และเตือนไม่ให้โพสต์เรื่องนี้อีก บางกรณีมีการให้เซ็นเอกสารบันทึกข้อตกลง ยอมรับว่าได้โพสต์ข้อความ และจะไม่กระทำอีก
บางกรณียังเข้าข่ายเป็นการควบคุมตัวโดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยมีการนำตัวหรือเชิญตัวไปพูดคุยข้อมูลที่สถานีตำรวจ โดยไม่มีหมายใด ๆ และยังถูกนำเครื่องมือสื่อสารไปตรวจสอบ บางรายถูกขู่จะดำเนินคดี หากไม่ให้ความร่วมมือ
สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในหลายจังหวัด ทั้งในภาคอีสาน ภาคเหนือ และภาคกลาง แต่มีรูปแบบที่ใกล้เคียงกัน และดูเหมือนเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินการจะเป็นหน่วยที่เดินทางมาจากกรุงเทพฯ เป็นหลัก
สถานการณ์ดังกล่าว นับเป็นปฏิบัติการที่พบอยู่เป็นระยะ แต่ทราบข้อมูลเพียงบางส่วน โดยอาจมีประชาชนอีกหลายรายถูกดำเนินการในลักษณะนี้ ทั้งที่เป็นกระบวนการที่ไม่ได้มีกฎหมายให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐกระทำการได้ ทั้งเอกสารบันทึกข้อตกลงดังกล่าวก็ไม่ได้มีสถานะทางกฎหมาย และอาจเข้าข่ายเป็นการควบคุมตัวโดยมิชอบด้วยกฎหมายอีกด้วย
.
.
รัฐไทยขอแพลตฟอร์มออนไลน์ปิดกั้นข้อมูล ทั้งใน X และเฟซบุ๊ก
สถานการณ์บนโลกออนไลน์อีกประการหนึ่งในรอบปีที่ผ่านมา คือพบกรณีผู้ใช้แพลตฟอร์ม X (หรือทวิตเตอร์เดิม) ได้รับอีเมลแจ้งจากแพลตฟอร์มว่าได้รับคำขอจากทางการไทย อ้างว่าผู้ใช้ได้เผยแพร่เนื้อหา “ละเมิดต่อกฎหมาย” ในประเทศไทย แต่ X ไม่ได้ปฏิบัติตามคำขอดังกล่าว จึงแจ้งมาให้ผู้ใช้ทราบตามนโยบายของแพลตฟอร์ม โดยพบว่าข้อความส่วนใหญ่ที่ถูกขอให้ปิดกั้น เป็นการแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนพบกรณีลักษณะนี้ไม่น้อยกว่า 12 กรณี แต่คิดเป็นรวมจำนวนอย่างน้อย 19 ทวีตข้อความ เพราะผู้ใช้บางรายถูกขอให้ปิดกั้นในหลายทวีตข้อความ (ดูตัวอย่างผู้ใช้ X ที่ได้รับอีเมล์)
รวมทั้งในเฟซบุ๊กเอง ก็มีผู้ใช้แพลตฟอร์มที่นำเสนอเนื้อหาทางการเมืองอย่างน้อย 4 เพจ/แอคเคาท์ ระบุในปีที่ผ่านมา ว่าได้รับการแจ้งเตือนจากแพลตฟอร์มเฟซบุ๊กว่า กระทรวง DE ได้ยื่นเรื่องขอให้ปิดกั้นการเข้าถึงโพสต์ อ้างว่าผิดกฎหมายในประเทศไทย ซึ่งโดยมากเป็นข้อความเนื้อหาเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ เช่น กรณีของปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ หรือเพจที่ใช้ว่า “สมเด็จพระจักรพรรดินีศรีศศิเฌอปรางวัชรสุภางควดี” ซึ่งมักนำเสนอภาพและข้อมูลเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ ต่อมาพบว่าในช่วงปลายปี 2567 เพจดังกล่าวไม่สามารถเข้าถึงได้อีกต่อไป โดยไม่ทราบสาเหตุการหายไปของเพจ
.
กรณีการคุกคามนอกกฎหมายจากบุคคลไม่ทราบฝ่าย
ปีที่ผ่านมา ยังมีสถานการณ์การคุกคามที่ไม่สามารถระบุได้ว่าผู้คุกคามเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ หรืออยู่ในฝักฝ่ายการเมืองใด หรือกรณีที่เป็นลักษณะการล่าแม่มดผู้แสดงความคิดเห็นทางการเมือง โดยพบกรณีลักษณะนี้อย่างน้อย 7 กรณี
อาทิ ภายหลังช่วงต้นปี 2567 เกิดเหตุการณ์กรณีของตะวัน-แฟรงค์ ที่ถูกกล่าวหาว่าเรื่องการรบกวนขบวนเสด็จ ได้มีการปลุกปั่นด้วยข้อมูลข่าวสารถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้กลายเป็นเรื่องรุนแรงเกินจริง แล้วยังมีการเผยแพร่ข้อมูลส่วนตัว ทั้งชื่อบิดา-มารดาของทานตะวัน หรือทะเบียนรถยนต์ ในโลกออนไลน์
ทั้งยังมีการข่มขู่คุกคามในรูปแบบต่าง ๆ ต่อบุคคลอื่น ๆ โดยมีรายงานเพจเฟซบุ๊กที่โพสต์ภาพสภาพฝุ่นควันที่อยู่ในระดับสีม่วง ได้ถูกนำข้อมูลส่วนตัวผู้ทำเพจมาเปิดเผยในสื่อ ทั้งชื่อและรูปถ่ายส่วนตัว ทั้งยังมีบุคคลส่งข้อความมาข่มขู่ทำร้ายด้วย
รวมทั้งกรณีของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ที่ถูกชายลึกลับโทรศัพท์มาข่มขู่ที่สำนักงาน ในเรื่องการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายกับตะวันและแฟรงค์ พร้อมกล่าวถึงการใช้อาวุธปืนเข้ามา
กรณีของสุชาติ สวัสดิ์ศรี บรรณาธิการผู้ถูกปลดจากศิลปินแห่งชาติ ระบุว่ามีรถยนต์แปลกหน้าที่ไม่ได้นัดหมายเข้ามาในซอยบ้านของเขา ซึ่งเป็นซอยตัน และหยุดรถลงมาถ่ายรูปที่หน้าประตูรั้วบ้าน และถ่ายที่ป้ายหน้าปากซอยอีกด้วย โดยไม่ทราบว่าเป็นบุคคลใด
หรือกรณีของนิว จตุพร นักกิจกรรมจากจังหวัดบุรีรัมย์ที่ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 พบว่ามีชายหญิงคู่หนึ่งขับรถจักรยานยนต์มาวนที่หน้าร้าน ก่อนวนกลับมารอบที่ 2 และจอดถ่ายรูป โดยไม่ทราบว่าเป็นบุคคลฝ่ายใด
กรณีการข่มขู่คุกคามลักษณะนี้ยังเป็นสถานการณ์ที่น่ากังวล เพราะไม่มีความแน่นอนถึงผู้กระทำ เป้าประสงค์ และจะนำไปสู่เหตุใดหรือไม่ แต่ก็ทำให้เกิดความหวาดกลัวในการแสดงออกต่อไป
.
ย้อนอ่านสรุปสถานการณ์แต่ละช่วงในรอบปี
ม.ค.–ก.พ. 2567 2 เดือนแรกของปี: สถานการณ์เจ้าหน้าที่รัฐติดตาม-คุกคามประชาชน ไม่น้อยกว่า 40 กรณี ไม่พบการเปลี่ยนแนวทางการใช้อำนาจภายใต้รัฐบาลใหม่
มี.ค.-เม.ย. 2567 รอบสองเดือน พบสถานการณ์เจ้าหน้าที่รัฐติดตามคุกคามประชาชน-แทรกแซงกิจกรรม อย่างน้อย 31 กรณี
พ.ค.- มิ.ย. 2567 รอบสองเดือน: สถานการณ์เจ้าหน้าที่รัฐติดตามคุกคามประชาชน-แทรกแซงกิจกรรม พบอย่างน้อย 22 กรณี
ก.ค.–ส.ค. 2567 ช่วงสองเดือน พบ จนท.รัฐติดตามไปบ้านประชาชนไม่น้อยกว่า 8 กรณี ขณะผู้ใช้ X กว่า 11 ราย ได้รับอีเมลแจ้ง ทางการไทยขอให้ปิดกั้นทวีต
ก.ย.-ต.ค. 2567 รอบสองเดือน ยังพบกรณีตำรวจไปติดตามบ้านนักศึกษา 3 ราย ส่วนกิจกรรมสาธารณะอีก 4 กรณี ถูกปิดกั้นแทรกแซง
และอ่าน 4 ปี ของข้อเรียกร้อง #หยุดคุกคามประชาชน แม้เปลี่ยนรัฐบาล ก็ยังไม่สำเร็จ
.