“เบิร์ด” นักศึกษาที่เคยร่วมชุมนุมการเมือง ถูกตำรวจโทรหา–ไปบ้านที่นครฯ ต่อเนื่องกว่า 3 ปี อ้างว่า ‘เป็นรายชื่อต้องเฝ้าระวัง’ และ ‘นายสั่งมา’

เมื่อต้นเดือน พ.ค. 2567 “เบิร์ด” (สงวนชื่อสกุลจริง) ประชาชนวัย 25 ปี เปิดเผยข้อมูลกับศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนว่า ตนเองถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจมาติดตามตัวที่บ้านพักในจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมเจรจาขอให้เซ็นเอกสารทำสัญญาว่าไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองแล้ว พร้อมทั้งเปิดเผยต่อว่าตัวเขาถูกตำรวจคุกคามมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา หลังถูกอ้างว่าอยู่ใน “รายชื่อต้องเฝ้าระวัง” และ “นายสั่งมา” ทั้งที่ปัจจุบันเขาไม่ได้เคลื่อนไหวทางการเมืองแล้ว

ย้อนไปเมื่อปี 2563 ปีที่เยาวชน นักศึกษา และประชาชออกมาชุมนุมทางการเมืองอย่างกว้างขวาง เบิร์ดเป็นนักศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช เขาเคยเข้าร่วมกิจกรรมชุมนุมในพื้นที่ทั้งสิ้น 3 ครั้ง จนจบการศึกษาก็ไม่ได้ร่วมกิจกรรมอะไรแล้ว หากแต่ตั้งแต่ปลายปี 2564 จนถึงปี 2566 เขาถูกตำรวจคุกคามโดยการโทรมาหา รวมถึงไปที่บ้านพัก เพื่อติดตามข้อมูลเป็นระยะ กระทั่งปี 2567 เขายังถูกตำรวจมาขอให้เซ็นเอกสารว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองถึงสองครั้ง ซึ่งเขาได้ปฏิเสธไป

.

ปลายปี 2564 เป็นครั้งแรกที่เบิร์ดเริ่มถูกคุกคามจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากการโทรมาหา อ้างว่าสอบถามข้อมูล อาทิ อยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ ช่วงนี้ได้ไปชุมนุมที่ไหนบ้างหรือไม่ แต่เมื่อถามกลับไปว่าเอาข้อมูลไปทำอะไร ก็จะได้คำตอบกลับมาว่า “ไม่รู้ นายเขาสั่งมาอีกที”

นอกจากนั้นแล้ว ตำรวจก็เริ่มมาหาถึงที่บ้านของเบิร์ดเป็นระยะ ซึ่งส่วนใหญ่ได้พบกับพ่อและแม่ของเขาตั้งแต่ช่วงนั้นมา โดยในช่วงแรก ๆ ตำรวจมาที่บ้านเบิร์ดทุก ๆ 1-2 เดือน แล้วก็เริ่มมีการเว้นระยะห่างออกไปบ้าง

.

ภาพเมื่อปี 2564

เดือน ก.พ. 2567 เบิร์ดเล่าว่าตำรวจที่อ้างว่าเป็นผู้กอง สภ.นบพิตำ โทรมาหาเขาอีกครั้ง โดยที่ตำรวจรู้ข้อมูลว่าเขาได้เปลี่ยนที่ทำงานแล้ว และบอกเขาอีกว่าอยากให้เบิร์ดพาผู้ปกครองไปที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน และเซ็นหนังสือว่าไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองแล้ว เพื่อที่ตำรวจจะได้ไม่ต้องมาที่บ้านเบิร์ดบ่อย ๆ อีก

ตอนหนึ่งเบิร์ดได้พูดกับตำรวจคนดังกล่าวว่า ไม่อยากให้มายุ่งกับเขาเช่นนี้ เพราะเขาก็ไม่ได้ร่วมกิจกรรมอะไรแล้ว ซึ่งตำรวจก็ได้ตอบว่า ‘ใช่ ๆ พี่เข้าใจความรู้สึกเรา แต่เขาสั่งมา มีหนังสือให้ช่วยสอบ’ แต่อย่างไรก็ตาม ในวันนั้นเบิร์ดได้ปฏิเสธการดำเนินการตามที่ตำรวจนายนั้นแจ้งไว้

.

ผ่านมาราวสามเดือน 1 พ.ค. 2567 ซึ่งเป็นวันที่เบิร์ดพักผ่อนอยู่ที่บ้าน แต่แล้วก็มีตำรวจนอกเครื่องแบบประมาณ 5-6 นาย เดินทางด้วยรถกระบะตำรวจมาที่บ้าน และพบเบิร์ดเป็นครั้งแรก ตำรวจมาพร้อมกับเอกสาร 2 ชุด ซึ่งชุดแรกเบิร์ดทราบว่าเป็นเอกสารรายชื่อ “บุคคลเฝ้าระวัง” เขาเห็นว่ามีจำนวนถึง 47 คน ซึ่งมีชื่อของเขาอยู่ในนั้น ส่วนอีกชุดหนึ่งไม่ทราบว่าเป็นเอกสารใด

ตำรวจมาเจรจาว่าอยากให้เบิร์ดเซ็นเอกสารสัญญาว่าไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองแล้ว อีกครั้ง เพื่อทำเป็นสัญญาไว้ เมื่อครั้งต่อไปหากมีผู้หลักผู้ใหญ่มาที่เมืองนครฯ จะได้ไม่ต้องมาติดตามเบิร์ดอีก จะได้ไปติดตามเฉพาะคนที่ยังไม่ได้เซ็น โดยบอกว่ามีบางคนเซ็นเอกสารไปแล้ว แต่จากที่เบิร์ดสอบถาม ก็ทราบว่ามีเพียงแค่คนเดียวที่เซ็นเอกสารดังกล่าว

เบิร์ดถามตำรวจไปว่า ‘ผมโดนจากอะไร’ ตำรวจก็บอกว่าจากการทำกิจกรรม (ขณะที่เรียนมหาวิทยาลัย) เบิร์ดก็ถามว่าตัวเขาทำอะไรผิด แต่ตำรวจก็ไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ เบิร์ดจึงปฏิเสธการเซ็นสัญญาเป็นครั้งที่สองและเชิญตำรวจกลับไป ก่อนกลับตำรวจยังถ่ายวิดีโอและโทรไปพูดคุยคล้ายกับรายงานต่อผู้อื่น

ภาพเมื่อ 1 พ.ค. 2567

เบิร์ดเล่าว่าส่วนตัวของเขาเองหลังจากเรียนจบชั้นปริญญาตรีก็ไม่ได้ออกไปชุมนุมอีก รวมถึงไม่ได้โพสต์ข้อความใด ๆ บนโซเชียลมีเดียของตน อาจจะมีแชร์ข่าวสารการเมืองบ้าง แต่ก็ยังถูกคุกคามมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ 

ช่วงแรกที่ถูกคุกคาม (ปี 2564) เขากลัวว่าจะส่งผลกระทบกับการฝึกงาน แต่เมื่อเจอการคุกคามบ่อยขึ้น กินระยะเวลากว่า 3 ปี เริ่มทำให้เกิดความรำคาญ และเชื่อว่าการเข้าร่วมกิจกรรมของเขาไม่ได้ทำสิ่งใดผิด เบิร์ดยืนยันและเชื่อมั่นมาตลอด เวลาตำรวจโทรหรือมาหาที่บ้าน เขาจะถามตำรวจเสมอว่าเขาทำอะไรผิด แต่ตำรวจก็ตอบไม่ได้ สิ่งนี้เลยทำให้เบิร์ดมั่นใจว่าเขาไม่ได้ทำผิด

ทั้งนี้ จากการติดตามของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เมื่อช่วงต้นปี 2567 ก็พบกรณีนักศึกษามหาวิทยาลัยนเรศวร ที่เคยทำกิจกรรมทางการเมืองในช่วงที่เรียนอยู่ ถูกติดตามคุกคามในลักษณะใกล้เคียงกันนี้ คือถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ไปติดตามถึงบ้าน อ้างว่าอยู่ในรายชื่อบุคคลเฝ้าระวังเช่นกัน ทั้งยังอ้างว่าอยากให้ทำบันทึกคำให้การว่าจะไม่เคลื่อนไหวทางการเมือง เจ้าหน้าที่จะได้นำรายชื่อออกไป และจะไม่ติดตามอีก แต่นักศึกษารายดังกล่าวก็ปฏิเสธเช่นกัน 

รูปแบบการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ดังกล่าว จึงดูเหมือนจะมีการดำเนินการอย่างเป็นระบบในหลายพื้นที่ โดยที่ไม่ได้มีกฎหมายใด ๆ ให้อำนาจและรองรับในการไปให้ประชาชนลงชื่อในบันทึกข้อตกลงในลักษณะนี้แต่อย่างใด การดำเนินการดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นการใช้อำนาจนอกเหนือกฎหมาย และละเมิดการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชน

.

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

รอบสองเดือน พบสถานการณ์เจ้าหน้าที่รัฐติดตามคุกคามประชาชน-แทรกแซงกิจกรรม อย่างน้อย 31 กรณี

X