บันทึกเยี่ยม 6 ผู้ต้องขังคดี ‘112’: ต่างมีคนที่รออยู่ หวังว่าคงได้ออกไปพบกันอีก

ตั้งแต่ช่วงกลางจนถึงปลายเดือน ก.ย. 2567 ทนายความเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังและผู้ถูกคุมขังคดีมาตรา 112 ทั้งผู้ต้องขังที่คดีสิ้นสุดแล้วและระหว่างต่อสู้คดี 

จากการได้พูดคุย  ‘อาย’ กันต์ฤทัย เธอยังต้องต่อสู้กับอาการป่วยซึมเศร้า ยิ่งได้ฟังบางเพลงจากข้างในนั้น ยิ่งทำให้นึกถึงบรรยากาศข้างนอกและคิดถึงคนที่อยากพบเจอมากขึ้น ขณะ ‘ขุนแผน’ ตัดผมใหม่เป็นแบบสั้นเกรียน ทำให้เขานึกถึงตอนโกนหัวประท้วงเชิงสัญลักษณ์ตอนอยู่ข้างนอก แต่ยังกังวลว่าเมื่อกินยาวัณโรคครบโดสแล้ว การรักษาจะเป็นยังไงต่อไป

ส่วน ‘แม็กกี้’ ที่เรือนจำคลองเปรม ขณะนี้ฝากช่วยติดต่อครอบครัวได้แล้ว และหวังว่าจะได้เข้ามาเยี่ยมเธอสักครั้งหลังจากนี้  และ ‘น้ำ’ วารุณี ที่เตรียมใจอยู่จนครบโทษแล้ว ทุกวันนี้ใช้เวลาว่างฝึกภาษาอังกฤษให้เพื่อน  ๆ ผู้ต้องขัง 

ขณะที่  ‘กัลยา’ และ ‘อุดม’ ที่เรือนจำจังหวัดนราธิวาส ต่างฝากข้อความสั้น ๆ เป็นกำลังใจให้คนใกล้ตัว และคนอื่น ๆ 

อาย กันต์ฤทัย: คิดถึงคนที่รอ อยากกลับไปแล้วโพสต์ว่า “กลับมาแล้วนะ ทุกคนเป็นไงบ้าง”

วันที่ 13 ก.ย. 2567 ทนายไปยื่นขอเยี่ยมอายประมาณเที่ยงครึ่ง กว่าอายจะออกมาก็เป็นเวลาเกือบบ่ายสองโมง ซึ่งเป็นเวลาใกล้รอบอาบน้ำแล้ว อายไม่ได้มีท่าทีเศร้าสร้อยมากเหมือนก่อนหน้านี้ เธอบอกว่าวันนี้เยี่ยมได้แป๊บเดียว เพราะต้องรีบไปอาบน้ำ เวลาอายยกมือขึ้น จะสังเกตเห็นเล็บที่กุดสั้น มีรอยกัดและดึงเกือบทุกนิ้ว

“ที่ออกมาช้า เพราะว่ากว่าเขาจะเรียกชื่อ เรียกแล้วให้มานั่งรออีก มันช้ามากกกกก อายเลยไม่อยากให้มาเวลานี้” จากนั้น อายก็เล่าเรื่องที่ญาติ ๆ มาเยี่ยม และได้ถูกเจ้าหน้าที่มาถ่ายรูปด้านหลังระหว่างเยี่ยม โดยที่ไม่รู้ว่าถ่ายไปทำไม 

ต่อมา อายบ่นเรื่องหนังสือ “เขาไม่ให้เอาหนังสือขึ้นไปอ่าน บนห้องมีแต่หนังสือพระ ซึ่งอายไม่อ่านอยู่แล้ว ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ อายยังถ่ายไม่ค่อยออกเลย สภาพแวดล้อมมันไม่ดี”

ทนายถามเธอต่อว่ากลับเข้าไปจะทำอะไรบ้าง อายยิ้มบาง ๆ แต่ดวงตาเริ่มแดง

“ตั้งใจว่าจะไปอ่านจดหมายที่เพื่อนจากคลองเปรมส่งมา เพื่อนติดคุกด้วยคดีส่วนตัว 42 ปี ตั้งแต่ได้มา ยังไม่กล้าอ่านเลย กลัวร้องไห้ ก่อนเข้าเรือนจำ เราเตรียมของให้ทุกคนที่มาฟังคำพิพากษาด้วย เอาไปเท่าที่หาได้ ฝากจดหมายเอาไปให้น้องที่คอยให้กำลังใจเรามาตลอด น้องจะพูดเสมอว่า ‘พี่กลับมาหาหนูนะ’ เตรียมของลูก เตรียมของแฟน 

“อยู่ในนี้ถ้าเจอคนดีก็ดี แต่ถ้าเจอคนไม่ดีก็จะไม่ยุ่งด้วย อายชอบเล่นกับคนแก่ เหมือนเขาเป็นแม่ เป็นยายเราแท้ ๆ ไปหยอกบ้าง ซื้อของให้บ้าง จนยายเขาเอ็นดูเราเหมือนลูกเหมือนหลาน” อายเล่า

ต่อมาวันที่ 17 ก.ย. 2567 ทนายเข้าเยี่ยมอายอีกครั้ง วันนี้เธอไม่ได้ใส่แว่นออกมาจึงดูแปลกตาเล็กน้อย และยังมีเวลาเยี่ยมไม่มากเพราะต้องรีบไปอาบน้ำเหมือนเคย 

อายบอกว่า “อาบน้ำ มันอาบไม่นานหรอกค่ะ อายอาบแบบฝักบัวเพราะอาบขันไม่เป็น อาบแบบฝักบัวก็คือขวดเป๊บซี่ขนาด 1.5 ลิตร เจาะรูตรงกลางฝา ให้น้ำไหลออกมาเป็นสาย หมดขวดก็หมดเวลาอาบ ใช้เวลาไม่เกิน 3 นาที คนต่อคิวเป็นกิโล”

อายยังเล่าถึงโรคในเรือนจำต่อด้วยว่าตอนนี้ข้างในมีไข้หวัดระบาดอีกแล้ว คนในห้องของเธอถูกย้ายไปห้องกักตัวแล้ว 2 คน มีอาการเป็นไข้ ตัวร้อนจี๋ การขอยาต่าง ๆ ภายในแดนแรกรับ ก็เป็นเรื่องยาก ต้องเขียนขอแล้วรออีก รวมทั้งตอนนี้ยังมีข่าวว่าคนเป็นโควิดแล้ว 1 คนด้วย

“ที่ศาลไม่ให้ประกันเพราะราชทัณฑ์บอกว่าเอาอยู่ สามารถรักษาโรคของอายได้ อายอยากรู้ว่าเอาอยู่ยังไง แค่พาราฯ ยังไม่ค่อยอยากจ่าย ให้ก็ให้ทีละเม็ด ไม่ได้กินทุก 4 ชั่วโมงด้วย สมมติเรากินยาตอนสี่ทุ่มครึ่ง ก็จะได้กินอีกทีตอนเก้าโมงครึ่งของอีกวัน คนดูแลก็เป็นนักโทษด้วยกันนี่แหละ”

อายยังต้องต่อสู้กับอาการซึมเศร้าชของเธอ  เธอยังบอกว่าอยากคุยกับจิตแพทย์ แต่ไม่รู้จะได้คุยตอนไหน เมื่อวานได้ยินเพลงที่ทนายอานนท์ชอบ  ‘แอบเก็บความในใจไว้ภายใต้แว่นเรย์แบนด์’ ของวงไททศมิตร ก็ร้องไห้  

เธอบอกว่า “มีพี่คนหนึ่งจองบัตรคอนเสิร์ตไททศฯ ให้อายด้วย บอกว่าเผื่อได้ประกันตัวจะได้ไปด้วยกัน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไป” แล้วยิ่งเมื่ออายได้ยินเพลง ‘โลกที่แบกไว้’ ของมนัสวีร์ มันก็ยิ่งทำให้ร้องไห้หนักกว่าเดิม  คิดถึงคนที่รอ อยากกลับไปแล้วโพสต์ว่า “กลับมาแล้วนะ ทุกคนเป็นไงบ้าง”

เธอทิ้งท้ายว่าตอนนี้ได้จดหมายจากเพื่อนที่เรือนจำคลองเปรมฉบับเดียว ยังไม่ได้จากที่อื่น

ปัจจุบัน (2 ต.ค. 2567) อายถูกคุมขังระหว่างอุทธรณ์มาแล้ว 1 เดือน กับ 7 วัน

.

ขุนแผน: จิตใจรู้สึกได้ต่อสู้เหมือนอยู่ข้างนอก-ยังกินยารักษาวัณโรค รอให้ครบโดส

วันที่ 18 ก.ย. 2567 ทนายความเข้าเยี่ยมขุนแผนในห้องเยี่ยมห้องที่ 3 เขาแต่งชุดผู้ต้องขังสีฟ้า เสื้อผ้าได้รับการดูแลดี สะอาดสะอ้าน หน้าตาผ่องใส ตัดผมมาใหม่ เป็นโกนหัวสั้นเกรียน ขุนแผนเล่าว่าใช้ปัตตาเลี่ยนโกนหัว โดยเขาโกนผมตัวเองเป็นปกติอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้เวลามีกิจกรรมประท้วง เขาก็โกนหัวตลอด 

“ผมก็ชอบนะมันโล่งหัวดี แต่ถ้าว่าประท้วงไหม ก็ประท้วงแหละ แต่เราได้ประกาศอะไรออกไป ถือว่าทำให้จิตใจเรารู้ว่ามันคือสัญลักษณ์การต่อสู้มากกว่า ผมคิดว่าจะโกนหัวไปตลอดจนกว่าจะได้ออกไป

“เมื่อวานหัวหน้ากองงานก็ถามว่าทำไมโกนหัว ประท้วงอะไรหรือเปล่า มาถามยิ้ม ๆ นะ ผมก็บอกไปว่าโกนหัวเพราะมันโล่งดี เพราะผมไม่ได้จะเรียกร้องอะไรมากอยู่แล้ว แต่ยังไงเขาก็คงนับว่าผมประท้วงนั้นแหละ เพราะเก็ทก็โกน สมบัติก็โกน คนอื่น ๆ อีก คดีการเมืองทำอะไรเขาก็จับตามอง”

ขุนแผนบอกว่า เรื่องสุขภาพของตนยังโอเค ไม่กี่วันก่อนเขามีอาการปวดหัวบ้าง พอกินยาแล้วก็ดีขึ้น โดยมีแต่ยาพาราฯ ไม่มียาอื่น ๆ ในเรื่องวัณโรคที่รักษาอยู่ ก็กินยาตามที่หมอสั่งอยู่ตลอด โดยญาติของขุนแผนได้ไปรับยาจากโรงพยาบาลมาและฝากเข้ามาเพิ่ม โดยถ้ายึดตามที่หมอข้างนอกที่เคยดูแลเขาบอกว่า เขาต้องกินยาถึงวันที่ 8 ต.ค. แล้วไปตรวจดูอีกครั้งว่าหายดีหรือยัง แต่พออยู่ข้างในนี้ ยังไม่รู้ว่ากระบวนการตรวจจะเป็นยังไง ต้องรอนานแค่ไหน

“ผมก็กินง่ายอยู่ง่าย มีซื้อของเองบ้างนิดหน่อย เวลาที่ของใช้มันหมด ก็มีเบิกมาม่า เบิกนม มาบ้าง” ขุนแผนเล่าถึงการปรับตัวของเขา

ขุนแผนยังเล่าถึงข่าวสารที่เขาติดตาม คือสถานการณ์เรื่องน้ำท่วมที่เกิดในหลายจังหวัด เขาให้ความเห็นว่า ทุกครั้งเวลามีภัยธรรมชาติมา มีไฟป่า ไฟไหม้ โรงงานระเบิด น้ำท่วม แผ่นดินไหว มักเห็นภาคประชาชนออกมาช่วยกันเองตลอด ทำให้เห็นความผิดพลาดของรัฐ หรือการจัดการที่มีปัญหา ทั้งที่การจัดการถ้าดี จะช่วยป้องกันและบรรเทาความเสียหายได้เยอะ เขาเห็นว่าปัญหามาจากการเมืองด้วย ที่การจัดสรรงบประมาณต่าง ๆ มีปัญหา และเอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้องของผู้มีอำนาจเป็นหลัก

ส่วนในเรื่องการทำประชามติรัฐธรรมนูญ ขุนแผนคิดว่า ถ้ามีคำถามว่าจะล็อกไม่ให้แก้ไขหมวด 1 หมวด 2 ตนก็ไม่คิดว่าจะแก้ได้ เริ่มมาก็เป็นการตีกรอบกันแล้ว ปลายทางประชาชนคงไม่ได้ประโยชน์เท่าไร 

“ผมมองว่าถ้าทำแบบนี้ไม่แก้ยังจะดีกว่า กระบวนการจะช้าจะเร็ว ผมก็ได้หมด แต่มันต้องไม่มีการจำกัดกรอบ” ขุนแผนให้ความเห็น

.

วันที่ 25 ก.ย. 2567 ขุนแผนนั่งรอทนายความด้วยท่าทางนิ่ง ๆ เขาหันมองไปทางผู้ต้องขังคนอื่น ๆ ดูใจลอย ต้องเคาะกระจกจึงจะเห็นกัน ขุนแผนยิ้มกว้างออกมามากกว่าปกติ

ขุนแผนบอกว่า ไม่ได้มีอะไรพิเศษ เพียงยิ้มทักทายธรรมดา ก่อนออกมาก็นั่งเล่น นั่งคุยกับเพื่อน ๆ กลุ่มที่อยู่ด้วยกัน ก็คือเพื่อนที่นอนห้องเดียวกันนั้นแหละ จะจับกลุ่มกินข้าวด้วยกัน รวมกลุ่มกันไว้

“ผมพึ่งออกไปเอ๊กซเรย์มา จำไม่ได้ว่าวันไหน เขาเรียกไปเกือบทั้งแดน น่าจะเป็นร้อยคน ผมคิดว่าคงไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการเป็นผู้ป่วยวัณโรค พอเรียกไป เขาก็ให้ออกไปที่แดนพยาบาล แล้วก็มีรถโมบายคลินิกมาจอดตรวจ ผมไม่รู้ว่าเขาจะดำเนินการอะไรต่อ

“เรื่องสุขภาพโดยรวมก็ปกติดี เหมือนเดิม มีแค่เรื่องอาการคันที่เป็นปัญหา ยาทาที่ญาติฝากเข้ามาให้ก็หมดไปแล้ว เลยได้ฝากเพื่อนลองไปขอมาให้ แต่ถ้าไม่ได้ ก็คงต้องลงชื่อออกไปหาหมอ ที่ไม่อยากลงชื่อเพราะมันต้องรอคิว แถมพอไปหาหมอก็ได้ยามาแค่หลอดเล็ก ๆ ใช้ 3 วันก็หมด”

ขุนแผนยังกังวลว่าวันที่ 8 ต.ค.นี้ พอกินยารักษาวัณโรคครบโดสแล้ว ยังไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อ จะต้องออกไปเอ๊กซเรย์อีกหรือไม่ จะได้ไปแดนพยาบาล หรือไปโรงพยาบาลของเรือนจำ หรือได้ออกไปตรวจกับโรงพยาบาลข้างนอกที่เคยรักษา เขาก็ยังไม่แน่ใจเลย

“เมื่อคืนมีการเก็บเสมหะ มีประกาศชื่อให้ไปเก็บ 3–4 คน เก็บเฉพาะคนที่ป่วยวัณโรค แต่เขาก็ไมได้บอกว่าจะเอาไปตรวจยังไง ตรวจแล้วจะทำอะไรต่อ” ขุนแผนเล่า

ปัจจุบัน (2 ต.ค. 2567) “ขุนแผน” หรือ เชน ชีวอบัญชา ถูกคุมขังระหว่างอุทธรณ์ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาแล้ว 77 วัน 

.

แม็กกี้: ได้สื่อสารกับครอบครัวแล้ว คาดหวังว่าแม่จะได้มาเยี่ยม 

วันที่ 25 ก.ย. 2567 ทนายความได้เยี่ยมแม็กกี้ในแบบเยี่ยมญาติที่เรือนจำกลางคลองเปรม มีเวลาพูดคุยราว 20-25 นาที การเยี่ยมแบบนี้ ห้องเยี่ยมจะเป็นห้องกระจกคล้ายห้องเยี่ยมของทนาย แต่จะมีช่องว่างระหว่างกระจกของผู้ต้องขังและผู้เยี่ยมราว 2 ก้าว  ทำให้แทบมองไม่เห็นใบหน้าของแม็กกี้ อาจจะเพราะเงาสะท้อนและความฝุ่นเขอะของกระจก (ซึ่งแม็กกี้คะยั้นคะยอให้บอกเรือนจำว่าช่วยเช็ดกระจกที) แต่แม้จะมองไม่เห็นใบหน้าทั้งหมด แต่สีปากแดงฉาดของแม็กกี้ยังเด่นแต่ไกล 

เมื่อแม็กกี้เจอหน้าเรา เธอกรี๊ดกร๊าดบอกว่าตื่นเต้น เพราะนี้เป็นการเข้าเยี่ยมแบบเยี่ยมญาติครั้งแรกของทนาย แม็กกี้รีบบอกว่าวันนี้มีเซ้นส์ว่าจะมีคนมาเยี่ยม เลยแต่งหน้ารอ แล้วก็มีการประกาศเรียกชื่อเยี่ยมญาติจริง ๆ 

“หนูแบบเซนส์แรงมาก” แม็กกี้พูดพลางยิ้มกว้าง แล้วรีบเล่าต่อว่า เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาแม่สาครก็มาเยี่ยม สัปดาห์นี้เลยได้ออกมาจากแดน 2 ครั้งเลย เธอย้ำว่าชอบออกมาเจอผู้คนข้างนอก

ทนายแจ้งว่าได้ฝากข้อความของแม็กกี้ถึงแม่แล้ว และแม่ได้ฝากบอกว่าหากเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จ น่าจะเป็นช่วงปีใหม่ พวกญาติ ๆ ที่อยู่บางบัวทองจะกลับบ้านต่างจังหวัด ขากลับแม่จะติดรถญาติเข้ามากรุงเทพฯ เพื่อมาเยี่ยมแม็กกี้  เธอยิ้มกว้าง และใช้มือปาดที่บริเวณตา

เมื่อถามเรื่องย้ายแดน แม็กกี้ดูน้ำเสียงเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด “ตอนนี้ยังไม่ได้ย้ายค่ะ หนูก็ถามผู้คุมว่าต้องย้ายตอนไหน เขาบอกว่าต้องรอให้นักโทษเด็ดขาดในแดนมีจำนวนครบ 120 คนก่อน ถึงจะทำการย้ายแดนในคราวเดียวกันไป ตอนนี้ก็ภาวนาว่าให้กฎเปลี่ยนว่านักโทษเด็ดขาดต้องย้ายแดน หนูไม่อยากย้าย ไม่อยากต้องไปปรับตัว ไม่เจออะไรที่เราคาดเดาไม่ได้ มันทำให้เครียด”

แม็กกี้เล่าถึงความเป็นอยู่ข้างในว่า “เมื่อวานฝนตก อนาถามากแม่ต้องหาที่หลบฝนกัน หนูได้อยู่ใต้ร่มไม้ โดมก็ยังไม่เสร็จมีแต่โครงเหล็ก ร่างกายหนูสบายดี ปกติไม่มีอะไร วันนี้หนูมีทำก๋วยเตี๋ยวน้ำใสกินกับเพื่อนกะเทยในแดน เมื่อช่วงเช้าก็ออกไปห้องสมุดมา (แดน 6 จะได้ออกไปห้องสมุดทุกวันพุธ) หนูได้นิยายมาอ่าน 1 เล่ม เป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวที่เป็นอริกัน พระเอก นางเอก เป็นลูกของ 2 ครอบครัวนี้แล้วเกิดรักกัน หนูอ่านแต่ตรงหน้าปกก่อน วันนี้ตอนขึ้นห้องก็ว่าจะอ่านยาว ๆ ค่ะแม่”

ปัจจุบัน (2 ต.ค. 2567) แม็กกี้ถูกคุมขังทั้งที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และเรือนจำกลางคลองเปรมมาแล้ว 347 วัน โดยขณะนี้เธอเป็นนักโทษคดีเด็ดขาดเรียบร้อยแล้ว 

น้ำ วารุณี: ยังไม่ได้รับจดหมายที่เขียนถึงเพื่อนในเรือนจำ- ตอนนี้ฝึกภาษาอังกฤษให้เพื่อน ๆ

26 ก.ย. 2567 วันนี้ “น้ำ” แต่งหน้าโทนสีส้มออกมา แลดูสดใส กล่าวทักทายกันเล็กน้อย บทสนทนาเริ่มด้วยการอัปเดตการติดตามใบเด็ดขาดของน้ำ ซึ่งเจ้าหน้าที่ศาลได้ให้คำตอบกับทนายความเจ้าของคดีว่าใบเด็ดขาดน่าจะมาช่วงกลางเดือนตุลาคม เมื่อฟังเช่นนั้น น้ำยิ้มแหะ ๆ บอกว่า ‘วารุณีเข้าใจจุดยืนของศาล’

เมื่อถามถึงงานวันเกิดน้ำเมื่อสัปดาห์ก่อน เธอยิ้มแววตามีความสุข โดยในวันเกิดเธอได้เลี้ยงไอติมเพื่อนผู้ต้องขัง และมีการร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ให้เธอ มีพี่คนหนึ่งวาดรูปเธอใส่ชุดราตรี และเพื่อนในห้องขังประมาณ 11 คน เขียนโน้ตอวยพรวันเกิดให้ รวมทั้งน้องสาวก็ทำการ์ดอวยพรวันเกิดส่งเข้ามาด้วย

“น่ารักมาก เสียดายที่ไม่ได้หยิบติดมือมาให้ดู’ เธอบอก

เมื่อถามถึงเรื่องจดหมายจากภายนอก น้ำบอกว่า ‘ไม่มีเลยเงียบมาก’ เมื่อแจ้งไปว่ามีกิจกรรมของ Amnesty ที่ให้ประชาชนร่วมกันเขียนจดหมายถึงเพื่อนในเรือนจำผ่านเว็บไซต์ และล่าสุดมีการโพสต์รายงานว่ามีมากกว่า 5,000 ฉบับ ซึ่งทาง AI จะนำส่งทางไปรษณีย์ให้กับผู้ต้องขังต่อไป

“น้ำอยากได้จดหมายมากเลย สัปดาห์ที่เป็นวันเกิดก็ไม่มีจดหมายเข้ามา มันเงียบ ๆ ก็รู้สึกเหงานิดหน่อย” เธอบอก

เมื่อให้น้ำดูข้อความและรูปภาพที่เพื่อนชาวต่างชาติของน้ำ เขียนถึงน้ำเมื่อ 20 ก.ย. ปีที่แล้ว เป็นการอวยพรวันเกิดด้วย น้ำดีใจมากแววตาตื่นเต้น รูปที่อยู่ในโพสต์นั้นเป็นรูปน้ำใส่ชุดเดรสลาดดอกไม้เล็ก ๆ สีม่วง เธอเล่าว่าถ่ายที่เขาค้อ เป็นภาพที่ยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้โทนเดียวกันกับชุดเดรสที่ใส่ 

ช่วงนี้ เธอบอกว่ายังได้สอนภาษาอังกฤษให้กับเพื่อนผู้ต้องขังที่อยู่ข้างใน น้ำบอกว่าไม่ได้มีความรู้ภาษาอะไรมาก แต่เป็นการแชร์ตามหนังสือที่มี แล้วก็อ่านออกเสียง มันคล้ายกับการอ่านหนังสือให้กันฟังมากกว่า ซึ่งก็เป็นกิจวัตรประจำวันที่ทำให้วันเวลาผ่านไปแบบไม่น่าเบื่อมากนัก

น้ำแจ้งอีกว่า เมื่อช่วงวันศุกร์ที่แล้ว เธอปวดบริเวณต่อมทอมซิน พอกดแล้วเจ็บ วัดอุณหภูมิได้ 37.5 องศา คือมีอาการไข้ ทำให้นอนซมอยู่ประมาณ 2-3 วัน รักษาโดยการกินพาราฯ ไป 3 เม็ด แต่ตอนนี้อาการดีขึ้นมาก ตรวจโควิดแล้วไม่เจอ คิดว่าคงเป็นทอมซินอักเสบ แต่ไม่น่ามีโรคอย่างอื่นแทรกซ้อน

ปัจจุบัน (2 ต.ค. 2567) น้ำถูกคุมขังมาแล้ว 1 ปี กับอีก 3 เดือน 6 วัน โดยหากเธอต้องถูกคุมขังจนครบกำหนดโทษก็จะพ้นโทษในเดือนธันวาคมนี้

.

กัลยา: ฝากข้อความถึงแม่ “หนูสู้อยู่ แม่ต้องสู้ด้วยเราจะสู้พร้อม ๆ กัน”

วันที่ 20 ก.ย. 2567 ทนายเข้าเยี่ยม “กัลยา” ที่เรือนจำจังหวัดนราธิวาส เธอเล่าว่าไม่กี่วันที่ผ่านมา คุณแม่ได้เยี่ยมผ่านไลน์ พูดคุยว่าที่บ้านน้ำท่วม แต่ยกข้าวของขึ้นที่สูงแล้ว โชคดีที่ทุกคนปลอดภัย  ก่อนพูดคุยว่าทางเรือนจำจะมีกิจกรรม ‘เมาลิด’ ของศาสนาอิสลาม (เป็นพิธีวันเกิดของศาสดา) โดยอนุญาตให้ซื้อของไปกินบนเรือนนอนได้ กัลยาได้ฝากข้อความถึงแม่ว่า  “ไม่ต้องเป็นห่วงหนู หนูสู้อยู่ แม่ต้องสู้ด้วยเราจะสู้พร้อม ๆ กัน” 

ต่อมาในการเยี่ยมเมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2567 พบว่ากัลยาและเพื่อนผู้ต้องขัง 42 คน ถูกกักบริเวณเนื่องจากว่าเพื่อนในห้อง 5 คน กระทำความผิดวินัยเมื่อต้นเดือน ทั้งนี้เรือนจำจะเข้มงวดทุกครั้งที่ผู้ต้องขังเข้าพบทนายความหรือว่าญาติเยี่ยม จะทำการตรวจอย่างละเอียด ตรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า 

กัลยาย้ำว่าเรื่องในเรือนจำไม่ค่อยมีปัญหาสักเท่าไร แต่จะมีปัญหากับที่บ้าน เนื่องจากว่ามีความเข้าใจไม่ตรงกันหรือสื่อสารไม่ชัดเจน เธอยังได้รับจดหมายจากแฟนอยู่ ฝากบอกว่า “เราสองคนจะเป็นกำลังใจของกันและกัน”

จนถึงปัจจุบัน (2 ต.ค. 2567) กัลยาถูกคุมขังที่เรือนจำจังหวัดนราธิวาสมาแล้ว 349 วัน โดยวันที่ 20 ต.ค. นี้ จะครบ 1 ปี ที่เธอถูกคุมขังระหว่างฎีกา เธอยังรอคอยคำพิพากษาในศาลฎีกาอยู่

.

อุดม: เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่สู้อยู่ -ฝากเป็นกำลังใจกับคนที่ถูกน้ำท่วม

20 ก.ย. 2567 และ 26 ก.ย. 2567 ทนายความเข้าเยี่ยมอุดม ซึ่งถูกคุมขังในเรือนจำจังหวัดนราธิวาสไกลจากบ้านเช่นเดียวกัน เขาอัปเดตว่า ช่วงนี้ยังพยายามใช้ชีวิตประจำวันในเรือนจำ พยายามหากิจกรรมทำ เพื่อไม่อยากให้อยู่เฉย ๆ โดยอยากจะออกกำลังกายเพื่อที่จะได้นอนหลับในเวลากลางคืน  เขาบอกว่าช่วงนี้เริ่มจะใช้ชีวิตในเรือนจำแบบคล่องตัวขึ้น อุดมเพิ่งเสร็จการทำความสะอาดเรือนนอน ลงมาเห็นเพื่อนกำลังฉาบปูนในมัสยิดก็ไปแจมกับเขาด้วย 

เขาบอกว่าตอนนี้แดนแรกรับเรื่องโควิดระบาดดูจะซาลงแล้ว เนื่องจากทางเรือนจำจะมีมาตรการสั่งห้ามพบปะกับผู้ต้องขังที่เข้ามาใหม่ ถ้าหากใครฝ่าฝืนจะมีการลงโทษทางวินัย เช่น ฝึกแถวอาทิตย์ละครั้ง วันละ 1 ชั่วโมง

ก่อนจากกันอุดมฝากข้อความไว้ว่า “เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่สู้อยู่ฝากเป็นกำลังใจกับคนที่ถูกน้ำท่วม ขอให้ผ่านพ้นอุปสรรคเร็ว ๆ”

ถึงปัจจุบัน (2 ต.ค. 2567) อุดมถูกคุมขังระหว่างฎีกามาแล้ว 1 ปี กับอีก 1 เดือน

ย้อนอ่านบันทึกเยี่ยม

บันทึกเยี่ยม 10 ผู้ต้องขัง คดี ‘112’: ในวันเวลาที่ผ่านไป หวังว่าจะมีอะไรดีขึ้น

X