บันทึกเยี่ยม 8 ผู้ต้องขัง ‘112’ : ข้างนอกยังร่วมสู้ไปกับพวกเราอยู่ ก็เลยมีกำลังใจใช้ชีวิตในเรือนจำมากขึ้น

ระหว่างวันที่ 8-15 ธ.ค. 2566 ทนายความเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังจากคดีมาตรา 112 จำนวน 8 ราย เริ่มตั้งแต่ ‘ภูมิ’ เยาวชนหนึ่งเดียวที่ถูกคุมขังที่สถานพินิจบ้านเมตตา ถูกเบิกตัวมาที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง มาอัพเดตสภาพร่างกายและจิตใจ ว่ามีอาการที่ดีขึ้น และรอฝึกอบรมทางวิชาชีพในสถานพินิจฯ 

‘แม็กกี้’ ที่ปรับสภาพในเรือนจำได้และเฝ้าฝันถึงปลายทางที่จะได้ออกมาใช้ชีวิตข้างนอก, ‘อารีฟ’ ที่ใช้เวลาสัปดาห์ที่แล้วในการแข่งกีฬาในเรือนจำ พร้อมอัปเดตสภาพร่างกายว่าแม้จะป่วยไข้แต่ยังกินอาหารได้ปกติ,  ‘เวหา’ ที่สังเกตเห็นว่าขณะนี้มีนักโทษในเรือนจำเยอะมากขึ้น หวั่นเกรงจะเกิดปัญหาได้ 

ส่วน ‘วุฒิ’ ที่ตอนนี้กำลังลุ้นผลคำพิพากษาในวันที่ 21 ธ.ค. 2566 แต่ใจของเขาขณะนี้ได้อยู่ที่บ้านไปแล้ว, ‘โย่ง’ ที่มาเล่าบรรยากาศของการเป็นจำเลยคดี 112 และสภาพความแออัดในเรือนจำ ‘จิรวัฒน์’ ที่กำลังรอคอยการประกันตัวและผลของคำสั่งศาลว่าเขาจะได้กลับบ้านหรือไม่ ส่วน ‘น้ำ’ ครั้งนี้มาพูดคุยถึงกิจวัตรและความสุขเพียงไม่กี่อย่างขณะถูกคุมขังอยู่ 

กับช่วงเวลาที่ผ่านไปอีกสัปดาห์ ในข้างนอกเรือนจำเกิดเหตุการณ์ขึ้นมากมาย และบางครั้งเรื่องราวเหล่านั้นก็หมุนผ่านโดยไว แบบที่คนในห้องขัง ‘112’ อาจจะยังไม่ทันรับรู้ หรือปรับสภาพให้เข้ากับสิ่งที่ได้ข้อมูลมาได้ไม่ทัน แต่เชื่อเหลือเกินว่า หากคนข้างนอกยังร่วมสู้ไปด้วยกันอยู่ อย่างน้อย ๆ พวกเขาและเธอก็จะมีกำลังใจชีวิตในเรือนจำมากขึ้นเท่านั้น

.

ภูมิ: ตอนนี้กินเฉพาะยานอนหลับ รู้สึกเป็นไข้เล็กน้อย ตั้งแต่สัปดาห์ก่อน

วันที่ 12 ธ.ค. 2566 “ภูมิ หัวลำโพง” ถูกเบิกตัวมาที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ในคดีชุมนุมอีกคดีหนึ่ง ภูมิอยู่ในชุดกางเกงขาสั้นสีดำ สวมเสื้อแขนสั้นสีส้มอ่อน บริเวณอกเสื้อด้านซ้ายปักตรา และมีตัวอักษร “กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม” เนื้อตัวสะอาดขึ้นจากที่เจอครั้งก่อน ผมที่ยาวถูกตัดเป็นรองทรง 

วันนี้ภูมิไม่ได้ใส่เฝือกที่แขนแล้ว เขาบอกว่าใส่มาครบเดือน และอาการบาดเจ็บที่ไหล่ดีขึ้น มีบ้างที่ยังรู้สึกปวด ๆ แต่ทนได้ เมื่อถามถึงผลข้างเคียงจากยาคลายเครียด ภูมิบอกว่า “มีอาการดีขึ้น ตอนนี้ที่บ้านเมตตาให้หยุดยา แต่ยังไม่ได้ไปหาหมอ หยุดแล้วก็ดีขึ้นมานิดนึง ตอนนี้กินเฉพาะยานอนหลับ ช่วงนี้รู้สึกเป็นไข้เล็กน้อย ตั้งแต่สัปดาห์ก่อน”

ส่วนแผลที่ขาที่เกิดจากการเกา สังเกตดูแล้วยังไม่ดีขึ้น ยังมีรอยแผลสดที่เกิดจากการเกาสลับตกสะเก็ด ภูมิบอกว่าที่บ้านเมตตาให้ล้างแผลด้วยน้ำเกลือกับเบตาดีน ไม่ได้ให้ยาทา และไม่อนุญาตให้ฝากยาเข้าไป 

ส่วนอาการผื่นแดงตามตัว ตอนนี้ดีขึ้น แต่เมื่อเช้ายังมีอาการอยู่ เวลามีอาการจะรู้สึกแสบตามเนื้อตัว บางครั้งเป็นตอนกลางคืนก็รู้สึกหายใจไม่ออก ที่บ้านเมตตาให้กินยาแก้แพ้บรรเทาอาการ แต่ยังไม่ได้พบหมอหรือพยาบาล เขายังบอกว่าช่วงนี้ข้างในบ้านเมตตาเด็กป่วยเยอะ เป็นไข้เลือดออกจำนวนมาก

ส่วนเรื่องการอบรมหลักสูตรฝึกอาชีพ ภูมิเล่าว่ามีไปลงทะเบียนเรียนตัดผมไว้ แต่ไม่รู้ว่าหลักสูตรจะให้เรียนตอนไหน ทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่าต้องรองบประมาณจากคณะกรรมการสงเคราะห์ ตอนนี้ยังไม่ได้เริ่มเรียนหลักสูตรใด เพราะยังไม่มีหลักสูตรใดเปิดเรียน เวลาถามเจ้าหน้าที่ก็แจ้งเพียงว่าติดขัดเรื่องงบประมาณที่ต้องรอ ระหว่างนี้ก็ทำใบงาน ทำกิจกรรมเกี่ยวกับจริยธรรมคุณธรรม

จนถึงปัจจุบัน (19 ธ.ค. 2566) ภูมิถูกคุมขังมาแล้ว 63 วัน

ย้อนอ่านคดีของภูมิ  

แม็กกี้: “อยากรู้ปลายทาง อยากรู้ว่าถ้าต้องติดคุกจริง ๆ จะต้องติดกี่ปี”

วันที่ 12 ธ.ค. 2566  “แม่ ทำไมวันนี้มาดึกจัง” แม็กกี้บ่นอุบอิบ ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายสองโมงกว่า ๆ เธอบอกว่าเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เตรียมจะขึ้นห้องแล้ว ที่บ่นเพราะไม่ได้แต่งหน้าออกมา “หน้าสดเลย คิ้วก็ไม่ได้เขียน” นั่นเป็นเหตุผลที่วันนี้แม็กกี้ไม่เปิดแมสก์โชว์ลิปสติกอย่างเคย

“อากาศร้อนมากค่ะ เมื่อ 3 วันที่แล้ว มีกะเทยตีกัน หนูก็ออกห่างเลย หนูไม่ชอบความรุนแรงอยู่แล้ว”

หลังจากอัปเดตถึงคดีของอติรุจ ม.112 ที่เพิ่งมีการตัดสินให้แม็กกี้ฟัง เมื่อทราบว่าเขาได้ประกันตัวมาสู้คดีต่อ แม็กกี้ก็พูดทันทีว่า “เค้ายังได้ประกันนะแม่ หนูดีใจด้วย แต่พอมาเปรียบเทียบกับคดีตัวเองก็คือ มันมองไม่เห็นปลายทางเลย มันมืดไปหมด ไม่รู้ว่าเขาจะขังหนูไปอีกนานแค่ไหน อย่างน้อย ๆ หนูก็อยากรู้ปลายทาง อยากรู้ว่าถ้าต้องติดคุกจริง ๆ จะต้องติดกี่ปี”

“อยากได้สิทธิประกันตัวบ้าง ถ้าได้ออกไปข้างนอก จะกลับบ้านไปหาครอบครัวก่อน ไปกินส้มตำ กินหมูกระทะ”

“คิดถึงพ่อแม่ คิดถึงโมเมนต์ที่ได้นั่งกินข้าว ดูทีวีด้วยกัน ดูข่าวบ้าง ดูละครบ้าง ที่บ้านเป็นครอบครัวที่ให้อิสระกับหนู แม้ว่าหนูจะเป็น LGBTQ ก็ไม่มีใครคัดค้าน หนูเป็นตุ๊ดตั้งแต่เด็ก แม่รับได้ทันทีเลย เพราะมีลูกชาย 3 คน แม่อยากได้ลูกสาว (ยิ้ม) ช่วงแรก ๆ พ่อรับไม่ได้ ก็จะด่า แต่ไม่เคยตีนะ”

“ตอน ป.4-6 หนูจำไม่ได้ว่า ป.ไหน ครูให้หนูแต่งตัวเป็นดรัมเมเยอร์งานบุญบั้งไฟประจำปี พ่อเห็นแล้วเขาก็เริ่มรับได้ แม้ตอนอยู่บ้านหนูจะแสดงออกว่าเป็นผู้หญิงตลอด พ่อก็ไม่ด่าแล้ว เฉย ๆ ไป”

“ส่วนพี่ป้าน้าลุงสนับสนุนตั้งแต่เด็ก เพราะเขาชอบหนู วันหยุด ป้า ๆ ก็จะพาไปแต่งหน้า ทาเล็บ (แววตามีความสุข) ลูกของคนละแวกบ้านที่เค้าเรียนวิทยลัยอาชีพตอนกลับบ้านวันหยุดก็จะเอาส้นสูงที่เขาไม่ใส่แล้วมาให้ หนูก็ใส่เดินทั้งวัน มโนว่าตัวเองเป็นนางแบบ เป็นแอร์โฮสเตส เดินรอบต้นไม้อยู่นั่น (หัวเราะ) มันเริ่ดแม่ หนูมีความสุขจริง ๆ”

แม็กกี้เล่าอีกว่า  “สิ่งที่ยากที่สุดในเรือนจำคือหนูต้องต่อสู้กับความอยาก อยากไปนู่นไปนี่ อยากกินชานมไข่มุกก็ไม่ได้กิน อยากโทรหาที่บ้านก็ไม่ได้โทร”

เมื่อถามแม็กกี้ว่าปีใหม่ใกล้เข้ามาแล้ว มีอะไรอยากจะบอกที่บ้านไหม แม็กกี้ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แววตาเศร้าลง ก่อนที่จะรีบทำตลกกลบเกลื่อน

“ก็อยากบอกที่บ้านว่า ปีใหม่นี้หนูไม่ได้กลับบ้านนะ แล้วก็ไม่มีโอกาสโทรหรือวิดีโอคอลไปแบบปีก่อน ๆ ด้วย คิดถึง อยากกลับไปหาพ่อแม่พี่น้อง ล้อมวงกินข้าว พูดคุยเม้ามอยประสาครอบครัว เป็นห่วงกลัวเค้าจะกังวลเรื่องของหนู โดยเฉพาะแม่ กลัวว่าเค้าจะคิดมาก”

ทนายยังปริ้นต์รูปนักการเมืองในดวงใจของแม็กกี้ นั่นก็คือ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไปให้ดูด้วย แม็กกี้เห็นรูปก็หลุดกรี๊ดออกมา จนเก็ทที่นั่งข้าง ๆ ขำ แม็กกี้บอกว่าชอบพิธามาก “แต่อยู่ข้างในนี้ได้อ่านหนังสือที่เขาเขียนประวัติธนาธรตั้งแต่ตอนอนาคตใหม่นะ อ่านแล้วก็รู้สึกว่าเขาคือไอดอล เป็นคนที่มีความเป็นผู้นำสูง ตอนอนาคตใหม่ยังไม่ถูกยุบหนูก็ชอบธนาธรมาก เขามาปราศรัยที่สกายวอล์ค หนูเลิกงาน 4 โมง ก็รีบนั่งวินมาเลย”

“การมีผู้ชายในอุดมคติหลายคน ทำให้เราไม่เครียด ไม่อ่อนแอ และมีกำลังใจในการใช้ชีวิตต่อนะ (หัวเราะ)”

ก่อนจากกัน แม็กกี้บอกว่ายังไม่ได้ร่ำลาเก็ทเลย เพราะเก็ทออกไปหาเพื่อน ๆ นักกิจกรรมก่อน แม็กกี้จึงเดินไปห้องเยี่ยมญาติพักหนึ่ง ก่อนกลับมาพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า

“เพื่อน ๆ ชมว่าหนูสวยแม้หน้าสด (หัวเราะ) บอกให้หนูเพิ่มชื่อพวกเขา จะได้เบิกมาคุยกันได้ อย่าท้อ ข้างนอกยังร่วมสู้ไปกับพวกเราอยู่ ก็เลยมีกำลังใจในการใช้ชีวิตในเรือนจำมากขึ้น”

จนถึงปัจจุบัน (19 ธ.ค. 2566) แม็กกี้ถูกคุมขังมาแล้ว 59 วัน

ย้อนอ่านคดีของแม็กกี้ 

.

‘อารีฟ’ วีรภาพ : คิดฟุ้งซ่านหลาย ๆ อย่าง คิดถึงข้างนอก 

วันที่ 13 ธ.ค. 2566  วันนี้รออารีฟนานกว่าปกติ เขาบอกว่าเพิ่งออกไปพบแพทย์มา เนื่องจากมีอาการซึมเศร้า ดาวน์ ๆ ดิ่ง ๆ อยากอยู่คนเดียวมา 2-3 วันแล้ว คิดฟุ้งซ่านหลาย ๆ อย่าง คิดถึงข้างนอก หมอเลยสั่งยาต้านเศร้าให้มากินเพิ่มอีกตัวหนึ่ง ตอนนี้รวมเป็นกินยาแก้จิตเวชอยู่ทั้งหมด 3 ตัว

นอกจากนี้อารีฟยังเป็นไซนัสด้วย มีอาการหายใจแล้วเจ็บจมูก ยังหายใจได้ปกติ แต่เจ็บนิดหน่อย ช่วงนี้เลยกินอะไรก็ไม่ค่อยอร่อย และน้ำหนักลดไปประมาณ 3 กิโลกรัม หมอบอกว่าให้ดูอาการไปก่อน ไม่ได้ให้ยาอะไรมากิน เดี๋ยวค่อยนัดดูอาการอีกที ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่

อารีฟเล่าว่าช่วงที่ผ่านมาที่แข่งขันกีฬากันภายในแดน ในห้องไม่มีใครลงเลย อาจจะเพราะอายุมากกันแล้ว อารีฟเลยเป็นตัวแทนห้อง ลงแข่งกีฬาแทบทุกอย่าง ทำให้ผิวเขาคล้ำขึ้นเยอะเลย 

อารีฟลงแข่งฟุตซอล วอลเลย์บอล ปิงปอง ตะกร้อ แต่ตะกร้อแพ้ไปแล้ว ตอนลงแข่งรู้สึกไม่ค่อยอยากเล่นเท่าไหร่ ปล่อยลูกตก ปล่อยลูกออกไปหลายลูกเลย ส่วนวอลเลย์นี่แข่งไปแข่งมาได้ที่ 2 เฉยเลย แต่อารีฟบอกว่าเล่นไม่เป็น แค่ตั้งลูกให้คนอื่นตบเฉย ๆ รางวัลที่ได้มาเป็นนม 30 กล่อง แต่ทั้งห้องมีอยู่ประมาณ 40 คน ก็ไม่รู้จะแบ่งยังไง ตอนนี้เหลือปิงปองที่ยังไม่ได้แข่ง คิดว่าอาจจะได้ที่ 1 ก็ได้ รางวัลเป็นนม 50 กล่อง

อารีฟเล่าว่าช่วงที่ผ่านมาไปเจอหนังสือการเมืองในห้องสมุดเลยเอามาอ่านแล้วสนุกมาก  มีเล่มหนึ่งชื่อว่าทางสองแพร่งของ 112 เล่ม 3 โดย ‘ใบตองแห้ง’ เป็นคนเขียน รู้สึกสนุกมาก อ่านจบไป 2 รอบเลย อารีฟเล่าอีกว่าหลาย ๆ เหตุการณ์ที่ถูกเขียนไว้ตั้งแต่ช่วงปี 2553-2554 มันเริ่มเป็นจริงแล้วในช่วงนี้ อ่านไปแล้วขนลุกเลย ก่อนถามเรื่องสถานการณ์การนิรโทษกรรมฯ เนื่องจากมีผู้คุมเข้ามาคุยกับอารีฟเรื่องนี้ ทุกคนก็เดากันว่าเดี๋ยวก็รอโดนปัดตกอยู่ดี

จนถึงปัจจุบัน (19 ธ.ค. 2566) อารีฟถูกคุมขังมาแล้ว 83 วัน

ย้อนอ่านคดีของอารีฟ

.

เวหา: สภาพแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจำยังเป็นปัญหาใหญ่ ส่งผลถึงการดูแลอาการป่วย-การกินอยู่

วันที่ 14 ธ.ค. 2566 เวหายกมือและยิ้มทักทาย แววตาดูสดใส เมื่อถามไถ่กันเล็กน้อย เขาแจ้งว่ามีอาการเป็นไข้มาหลายวัน คนที่อยู่ในเรือนนอนด้วยกันป่วยเป็นไข้เป็นหวัดกันทุกคน 

“ผมป่วยถึงขนาดนอนซม ในเรือนนอนทุกคนป่วย กลางคืนต้องหาผ้าชุบน้ำมาประคบ นักโทษต้องช่วยกันเอง ในแดน 3 ตอนนี้มีนักโทษ 600 กว่าคนแล้ว ตอนเข้ามาแรก ๆ 170 กว่าคน ตอนนี้ 600 กว่า มันแออัดมาก ๆ พอคนเยอะ คนป่วยก็เยอะตาม ทุกวันนี้คนลงชื่อเข้าพบหมอเต็มทุกรอบ 

“ตอนมี 170 คน ก็เข้าพบหมอได้วันละ 15 คน พอ 600 คน ก็ 15 คน เหมือนเดิม สภาพข้างในแย่มาก พอคนเยอะปัญหาก็ตามมา คนทะเลาะกันทุกเช้า เมื่อเช้าก็มี พวกเราหวังว่าจะมีการพระราชทานอภัยโทษในวันสำคัญบ้าง แต่ปีนี้ไม่มีเลย คือในแดนไม่มีใครได้ออกเลย ที่เคยมาสอบถามว่าคราวก่อนว่าใครที่ถูกขังเพราะไม่มีเงินประกันตัว ตอนนี้ก็เงียบไป”

เวหาเล่าอีกว่า “ที่นี่ถ้าจะได้ยาต้องหาหมอก่อน สมมติลงชื่อหาหมอวันนี้ วันพรุ่งนี้เจอหมอ หมอสั่งยา จะได้ยาอีกทีวันถัดไป ซึ่งบางคนรอไม่ไหวอาการทรุดก็ต้องกดกริ่งเรียกฉุกเฉิน คือผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงวางขั้นตอนแบบนี้ แต่มองว่าเป็นวิธีการจัดการที่ไม่ฉลาด คือถ้าให้ยาที่เพียงพอและทันท่วงทีมันก็ป้องกันอาการทางฉุกเฉินที่จะเกิดขึ้น 

“ตอนนี้นักโทษได้ผ้าห่มคนละ 2 ผืน แต่ก่อนได้ 3 ผืน เพราะต้องแบ่งเอาไปให้คนที่มาใหม่ ซึ่งมาเรื่อย ๆ ไม่รู้จะจบที่ตรงไหน”

สำหรับเรื่องอาหารเวหาขอบคุณคนที่ช่วยจัดการให้มาก ๆ เพราะช่วยให้เขาไม่ต้องไปแย่งชิงแออัดรับอาหารที่โรงเลี้ยง ซึ่งสภาพอาหารแย่ เหมือนไม่ได้ให้คนกิน ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากกิน ประกอบกับช่วงนี้คนเยอะ แต่พื้นที่โรงเลี้ยงเท่าเดิม อาหารไม่เพียงพอ กฎระเบียบก็เข้มงวดตามไปด้วย เช่น มีการจัดให้ไปกินตามเวลา ถ้าใครไปกินไม่ทันก็อด อย่างบางคนอาบน้ำอยู่ถูกเรียกไปกินข้าว ซึ่งที่อาบน้ำช้าก็เพราะก่อนหน้าคนมันเยอะก็ต้องอาบตามรอบคิว เรื่องการนอน เวหาเล่าว่าเขาปรับตัวได้บ้างแล้ว ตอนเข้ามาครั้งแรก ต้องขอยานอนหลับกับหมอ แต่ตอนนี้ไม่ได้ขอแล้ว

ส่วนอาการเครียด เวหาเล่าว่า “ตอนนี้เครียดเพราะคนในเรือนจำเยอะขึ้นทุกวัน พอคนเยอะเรื่องก็ตามมา มีปัญหาต่อยตี ทะเลาะกัน ซึ่งบางทีทำให้เราตกใจ แพนิคไปด้วย และเรารู้สึกว่าพอคนมาอยู่เยอะ แล้วมันทำให้เราสูญเสียความเป็นตัวเอง ความเห็นอกเห็นใจเหมือนมันหายไป เช่น แต่ก่อนเพื่อนสบู่เหลวหมด เราก็แบ่งให้ แต่พอเราแบ่งให้เรื่อย ๆ มันดูเหมือนปัญหาไม่จบ จนหลัง ๆ เรารู้สึกเฉยชา ซึ่งเรากลับมาคิดกับตัวเองว่าเรากำลังสูญเสียความเป็นตัวเองไปรึเปล่า ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำให้เครียด ๆ  เหมือนข้างนอกเราเรียกร้องอะไรต่าง ๆ ได้ แต่เรื่องพื้นฐานในนี้เรากลับเรียกร้องอะไรไม่ได้ มันไม่มีอะไรดีขึ้น ก็ทำให้คิด ๆ ไปก็รู้สึกแย่”

จนถึงปัจจุบัน (19 ธ.ค. 2566) เวหาถูกคุมขังมาแล้ว 220 วัน

ย้อนอ่านคดีของเวหา 

.

‘วุฒิ’: “ตอนนี้ก็ลุ้นมาก ๆ ใจผมก็กลับบ้านไปแล้วละ”

วันที่ 14 ธ.ค. 2566 วุฒิกล่าวทักด้วยความผ่อนคลายขึ้น บอกว่าเพราะคดีรอลุ้นฟังพิพากษาในคดีวันที่ 21 ธ.ค. 2566 นี้ ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้รับอาหารครบวันละ 2-3 อย่าง สุขภาพช่วงนี้ยังแข็งแรงดี ไม่ได้ป่วยอะไร แต่ก็ผอมลง สภาพจิตใจยังโอเค

วุฒิบอกอีกว่า “ส่วนตัวตอนนี้ก็ลุ้นมาก ๆ ใจผมก็กลับบ้านไปแล้วละ แต่ก็ทำใจเผื่อไว้ว่าศาลอาจจะไม่รอการลงโทษ แต่อีกใจก็ยังมีหวังว่าศาลจะพิพากษาให้รอการลงโทษ ตอนเจ้าหน้าที่คุมประพฤติมาเยี่ยมผม เขาบอกกับผมว่าตอนไป สน. กับตอนนี้แตกต่างกันมากเลย ตอนนี้ผอมมาก โทรมมากเลย คือเค้าเห็นรูปผมตอนไปรับทราบข้อกล่าวหา ผมก็บอกว่าผมน้ำหนักลดลงไปเยอะจริง ๆ”

วุฒิเล่าอีกว่า “ตอนที่ผมออกศาล ผู้พิพากษายังพูดเลยว่าผมผอมไปอย่างกับคนละคน ตอนนี้โทรมมากเลย ผมก็ได้แต่รับว่าครับ ผอมลงมากจากแต่ก่อน”

เมื่อทราบว่าเอกชัยยังต้องพักรักษาตัวอยู่  วุฒิถามถึงเอกชัยว่าหายหรือยัง และขอเป็นกำลังใจให้เอกชัย ขอให้ปลอดภัยและหายจากอาการป่วยไว ๆ ขอบคุณมาก ๆ สำหรับจดหมาย “ผมได้รับฉบับที่ 2 และ 3 ส่วนฉบับแรกไม่ได้รับ ผมเองเคยส่งจดหมายไปหาคุณเอกชัยตามที่อยู่เรือนจำ 2 ฉบับ แต่ก็คลาดกัน เพราะคุณเอกชัยเข้าโรงพยาบาลก่อน”

เขายังเล่าว่าที่เรือนจำพิเศษมีนบุรี ในวันที่ 25 ธ.ค. 2566 จะมีการจัดกิจกรรมให้ผู้ต้องขัง แล้ววันที่ 26  สามารถให้ญาติส่งอาหารข้างนอกได้ไม่อั้น แต่ต้องไม่ผิดกฎหมาย และวันนี้ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ว่าอยากกินอะไร เพื่อให้ตรงกับที่ญาติส่งมา “ผมก็คิดอยู่ว่าจะแจ้งเมนูไหม เพราะใจหนึ่งก็ลุ้นวันที่ 21 ก่อน”

ท้ายสุดวุฒิกล่าว  ขอบคุณกำลังใจ และความช่วยเหลือด้านอาหาร “ถ้าไม่ได้อาหารที่สั่งมา ผมคงแย่ ขอบคุณทุก ๆ คนที่คอยช่วยเหลือมาก ๆ  ใกล้ปีใหม่แล้ว ผมก็อยากให้ปีใหม่นี้ผู้ต้องขังทางการเมืองได้กลับไปฉลองปีใหม่กับที่บ้านทุกคน”

จนถึงปัจจุบัน (19 ธ.ค. 2566) วุฒิถูกคุมขังมาแล้ว 268 วัน

ย้อนอ่านคดีของวุฒิ 

.

โย่ง: ถ้าไม่ได้มีกฎหมายแบบนี้ ถ้าคุณดีจริง มันก็ควรเป็นเรื่องที่วิพากษ์วิจารณ์ได้ 

วันที่ 14 ธ.ค. 2566 โย่งบอกว่าตอนนี้อยู่ได้สบายขึ้น เพราะมีเพื่อน ช่วงเข้ามาแรก ๆ ก็ว้าเหว่ ต้องคอยอธิบายให้ผู้ต้องขังร่วมแดนฟังว่าโดนคดีอะไรมา 

ทนายเล่าสถานการณ์การตัดสินคดี ม.112 ช่ววอาทิตย์ที่ผ่านมาให้ฟัง โย่งมีความคิดเห็นว่า “ในความคิดของผมนะ ถ้าไม่ได้มีกฎหมายแบบนี้ ถ้าคุณดีจริง มันก็ควรเป็นเรื่องที่วิพากษ์วิจารณ์ได้ ประชาชนควรมีสิทธิออกความคิดเห็นสิ นี่ของผมคุยเล่นกันสนุก ๆ ก็ต้องมาติดคุก ไม่แฟร์กับประชาชนตาดำ ๆ เหมือนเราถูกกดอยู่ตลอดเวลา ตอนผมโดนจับ ผมถามทหารว่า ผมผิดอะไร ทหารตอบว่า เดี๋ยวมึงก็รู้ บางคนก็บอกว่า ‘เลิกเถอะน้อง‘ อะไรประมาณนี้ ดีอย่างเดียวที่ผมไม่โดนซ้อม แค่นั้นแหละ”

โย่งให้ภาพว่าปัจจุบัน ในแดน 1 ตอนนี้มีผู้ต้องขัง 500 กว่ารายแล้ว ห้องหนึ่งอัดเต็มที่ก็ได้ 40 คน ปีใหม่นี้น่าจะต้องยัดเข้าไปอีกเป็น 45 คน เวลานอนก็ต้องกลับหัวกลับหาง ขอยาก็ยาก  

“ยาพาราเหมือนทองคำเลย (หัวเราะ) รู้สึกเหมือนเขาไม่ได้เห็นใจผู้ต้องขังที่เจ็บป่วย”

โย่งเล่าถึงคนในเรือนจำอีกว่า “คดีที่ติดคุกเยอะสุดก็ลัก วิ่ง ชิง ปล้น ลักสายไฟ ลักฝาท่อ  มันมาจากปัญหาเศรษฐกิจแหละ คิดดูนะ ผมติดคุกมา ออกไปสมัครงานก็ไม่มีใครรับ มันก็ลำบาก เว้นแต่จะมีเพื่อนฝูงคอยช่วยเหลือ ซึ่งผมก็ยังดีที่พอจะมีช่องทางทำมาหากิน ผมเห็นคนเร่ร่อนเข้าเรือนจำหลายคนนะ เจอลุงคนนึงติดคุกเพราะลักของในเซเว่น ถามออกไปจะทำอะไรต่อ เขาตอบว่าไม่รู้ ฟังแล้วก็หดหู่”

โย่งสะท้อนอีกว่า “เงิน 100 บาท  สำหรับคนมีเงินมันไม่สลักสำคัญอะไรหรอก แต่สำหรับคนจน มันสามารถใช้ในการดำรงชีวิตได้หลายวัน ซื้ออาหาร ซื้อพวกข้าวสาร น้ำ”

ก่อนแลกเปลี่ยนความคืบหน้าของการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในยุครัฐบาลปัจจุบันให้โย่งฟัง เขามีความเห็นว่าปัจจุบัน ค่าครองชีพกับค่าแรงมันสวนทางกันมาก 

“ค่าครองชีพเพิ่มขึ้น รายได้ลดลง มันก็เหมือนนรกอยู่แล้ว ผมรู้สึกว่ามันแย่นะ ถัวเฉลี่ยแล้วมันอยู่ไม่ได้ กับข้าวถุงนึงก็ 40-50 บาท ค่ารถ ค่าที่พักอย่างน้อย 3,500 ต่อเดือน ค่ากินตีให้วันละ 100 ยังไงก็ไม่พอ”

จนถึงปัจจุบัน (19 ธ.ค. 2566) จากข้อมูลที่ได้รับ ‘โย่ง’ถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2563 รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 3 ปี 19 วัน

ย้อนอ่านคดีของโย่ง 

.

จิรวัฒน์: แม้ว่าจะเริ่มปรับตัวได้ แต่ก็ยังอยากได้รับการประกันตัวมากกว่า

วันที่ 15 ธ.ค.2566 เป็นการเข้าเยี่ยมครั้งที่สอง จิรวัฒน์ทักทายด้วยใบหน้าที่ดูตึงเครียดน้อยลงจากที่เห็นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีส่งร้อยยิ้มมาทักทายกันเล็กน้อย 

เมื่อถามถึงความเป็นอยู่ เขาตอบว่า เริ่มปรับตัวได้แล้ว น่าจะจำแนกออกจากแดนกักตัว (แดน 2) ในวันพุธที่จะถึงนี้ แต่ยังไม่รู้ว่าจะได้ไปอยู่แดนไหน ตอนนี้โชคดีมากที่เพื่อนที่กักตัวอยู่ในห้องเดียวกันนิสียดี คุยกันได้ตลอด แชร์ของกินกันตลอด ตอนนี้อยู่ที่แดนนี้ก็ไม่ได้ไปไหน ต้องอยู่ในห้องตลอดเพราะอยู่ระหว่างกักโรค ส่วนการนอนก็นอนพื้นกระเบื้อง แรก ๆ ก็ลำบากไม่ชิน แต่ตอนนี้โอเคขึ้นแล้ว เริ่มปรับตัวได้ นอนได้ไม่ได้มีปัญหาอะไร 

จิรวัฒน์เล่าถึงเพื่อนในห้องว่า เขามีความรู้อะไรดี ๆ กันเยอะ ก็ได้มาแลกเปลี่ยนความคิดกัน แชร์กัน ตอนนี้ก็พยายามมองในแง่ดีว่า ถือว่ามาหาประสบการณ์ อย่างน้อยก็ได้แลกเปลี่ยนสิ่งที่น่าสนใจ ที่อาจจะเป็นประโยชน์กับการงานในอนาคตจากเพื่อน ๆ พอคิดแบบนี้ตัวเองก็จะได้ไม่เครียดด้วย (พร้อมกับหัวเราะเล็กน้อย)

ทนายอัปเดตเรื่องการประกันตัวว่า ตอนนี้ทางที่บ้านจิรวัฒน์ เตรียมเอกสารให้เรียบร้อยแล้วเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา คาดว่าน่าจะเตรียมยื่นประกันอีกครั้ง จิรวัฒน์รับทราบ พร้อมกับบอกว่าผมหวังว่ารอบนี้ผมจะได้ประกันสักที แม้ว่าจะเริ่มปรับตัวได้ แต่ก็ยังอยากได้รับการประกันตัวมากกว่า 

สำหรับเรื่องคดี จิรวัฒน์เล่าว่า การกระทำที่เป็นความผิด คือกดแชร์โพสต์โดยที่ไม่มีแคปชั่นหรือข้อความใด ๆ เลย ซึ่งศาลตีความว่า แค่การแชร์ ก็หมายความว่าเราเห็นด้วย เขามองว่า มันไกลเกินความจริงไปหน่อย มันแปลก เพราะหากเราแชร์ข่าวฆ่าคนตาย มันแปลว่าเราเห็นด้วยกับการฆ่าคนหรอ มันก็ไม่ใช่ 

นอกจากนี้ตอนสืบพยานในชั้นศาล ทนายได้ถามพนักงานสอบสวนว่า เมื่อต้นโพสต์ผิด ได้แจ้งความกับทางต้นโพสต์หรือยัง พนักงานสอบสวนก็บอกว่าไม่ “ผมก็ยิ่งงงไปใหญ่เลยว่า เอ้า มันแปลกกว่าเดิมอีก” 

จนถึงปัจจุบัน (19 ธ.ค. 2566) จิรวัฒน์ถูกคุมขังมาแล้ว 14 วัน

ย้อนอ่านคดีของจิรวัฒน์

.

‘น้ำ’ วารุณี: ความสุขเดียวตอนนี้คือการแต่งหน้า ออกไปจะทำ tutorial แต่งหน้าในคุก

วันที่ 15 ธ.ค. 2566 วันนี้น้ำตัดผมสั้นถึงปลายคาง ทำให้ดูเด็กลง ยังแต่งหน้าออกมาเจอทนายเหมือนทุกครั้ง เมื่อชมว่าทรงผมใหม่สวยเข้ากับน้ำมาก น้ำก็ยิ้มกว้าง 

“14 อีกครั้ง” น้ำกล่าว “เป็นทรงที่ตัดสั้นที่สุดเหมือนตอน ป.4 น้ำไม่รู้ว่าจะได้กลับแดนวันไหน ที่นี่มีช่างตัดให้ น้ำก็เลยตัดไว้ก่อนดีกว่า เผื่อกลับแดนแล้วมันตัดไม่ได้”

“ความสุขเดียวตอนนี้คือการแต่งหน้า นี่ก็แต่งหน้าให้คนอื่นด้วย ออกไปจะทำ tutorial แต่งหน้าในคุก ฮาวทูใช้ดินสอสีกรีดอาย คนอื่นคิด 1,500 น้ำคิด 150 พอ จ่ายเป็นกาแฟซอง (หัวเราะ)”

ทนายปริ้นต์รูปและคอมเม้นต์ที่ทางเพจน้องงง ตั้งเป็นรูป cover ให้ดู น้ำอ่านทุกคอมเม้นต์ (ส่วนใหญ่เป็นคอมเม้นให้กำลังใจ) อย่างตั้งใจ บางคอมเม้นต์เธออ่านแล้วก็หัวเราะ พลางเล่าให้ฟังว่า “เมื่อวันที่ 12 ออกศาล มีเพื่อน ๆ มาให้กำลังใจ 4 คน เพื่อนบางคนก็ร้องไห้ ได้เจอเพื่อนก็ใจฟูค่ะ (ยิ้ม) 

“ตอนนี้ได้ยาจิตเวชแล้ว สภาพจิตใจสภาพร่างกายก็ดีอยู่ น้ำดูดวงทุกวัน ดูด้วยตัวเอง (หัวเราะ) มันจะมีวิธีดูดวงด้วยตัวเลข แบบ เอาเลขมาบวกกันแล้วดูตัวสุดท้าย ตกเลข 7 แปลว่าจะได้เดินทาง เลข 10 แปลว่าโชคลาภ การเงิน อะไรประมาณนี้ ดูเพื่อความสบายใจค่ะ ถ้าคำนวนออกมาแล้วตกเลขที่แปลว่าจะมีเรื่องกลุ้มใจ น้ำก็แบบ โอ้ย งั้นไม่ดูละ ดูของอาทิตย์หน้าดีกว่า (หัวเราะ)”

เช่นเดียวกับผู้ต้องขังคนอื่น ๆ สัปดาห์นี้ ทนายเล่าสถานการณ์การตัดสินคดี ม.112 ให้น้ำฟัง โดยเฉพาะเรื่องของไอซ์ รักชนกที่ได้ประกันตัว สิ่งแรกที่ไอซ์พูดหลังได้รับการประกันคืออยากให้ผู้ต้องขังทางการเมืองคนอื่นได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานนี้ด้วย

“พูดไม่ออกเลยค่ะ ยินดีกับคุณไอซ์ด้วยที่ได้ประกันตัว แต่มันก็ยังไม่น่าไว้วางใจ เพราะประกันไปก็ใช่ว่าคดีจะจบ อาจมีอุทธรณ์ทับ มีโทษเพิ่มหรือลดก็ได้ ก็เป็นกำลังใจให้คุณไอซ์และผู้ต้องขังทางการเมืองทุกคน และขอให้คุณไอซ์ช่วยเป็นกระบอกเสียงเรื่องสิทธิในการประกันตัวให้คนข้างในด้วย”

น้ำสะท้อนอีกว่า “ความยุติธรรมมันไม่มีอยู่จริง น้ำถูกตัดสิน 1 ปี 6 เดือน แต่ยังไม่ได้ออกไปเพราะน้ำเป็นแค่คนธรรมดา คือคุณไอซ์ก็ไม่ได้ผิดนะที่เขามีแสง และได้รับความสนใจจากสื่อ แต่น้ำรู้สึกว่า ศาลไม่ได้ยืนอยู่บนหลักการ แต่ตัดสินคดีตามแสงและความสนใจจากสื่อมากกว่า”

จนถึงปัจจุบัน (19 ธ.ค. 2566) น้ำถูกคุมขังมาแล้ว 175 วัน

ย้อนอ่านคดีของน้ำ 

.

ย้อนอ่านบันทึกเยี่ยมผู้ต้องขัง ‘112’

บันทึกเยี่ยม 5 ผู้ต้องขังคดี ‘ม.112’ ระหว่าง 4-8 ธ.ค.:  ก่อนสิ้นปีนี้ ขออย่าให้มีคนติดคุกเพิ่มเลย คนที่ติดอยู่ก็ขอให้เข้มแข็ง

X