บันทึกเยี่ยม  7 ผู้ต้องขัง ‘112’ จากปีเก่าสู่ปีใหม่: ขอให้อดทนกันไว้ อยู่กับปัจจุบันให้ได้

อย่างที่ทราบกันดีว่า ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2566 ล่วงเข้าสู่ปี 2567 เรื่องราวจากผู้ต้องขังทางการเมือง โดยเฉพาะคดีมาตรา 112 ไม่ปรากฏข่าวดี ว่าพวกเขาและเธอได้รับอิสรภาพกลับคืนมา เมื่อช่วงเวลาผ่านไปอีกระยะ จากการเข้าเยี่ยมของทนายความในช่วงทั้งรอยต่อปลายปีและปีใหม่ คนที่อยู่ข้างในนั้นก็ยังต้องฝันฝ่าการใช้ชีวิตที่ต้องคัดขาดจากโลกภายนอกและคนใกล้ชิดต่อไป มากบ้างน้อยบ้าง พวกเขายังคงมีความหวัง พร้อมกับไม่ลืมอวยพรสิ่งดี ๆ ให้เกิดขึ้นกับคนที่คอยติดตามเฝ้าถามถึง หรือแม้แต่ขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตย การนิรโทษกรรม และอย่างน้อยที่สุดก็ภาวนาให้ผู้ร่วมชะตากรรม ให้อดทนกันไว้ อยู่กับปัจจุบันให้ได้ 

ครั้งนี้ ‘อารีฟ’ วีรภาพ ที่อาหารป่วยดีขึ้นบอกเล่าถึงความคาดหวังกับ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่เป็นความหวังของผู้คนที่เกี่ยวข้องกับคดีการเมือง ‘โย่ง’ พูดถึงชีวิตในอนาคตหากได้รับอิสรภาพที่คงกลับไปใช้ชีวิตอยู่บ้านต่างจังหวัดในแบบสงบ ๆ 

‘แม็กกี้’ ที่ก็เฝ้ารอวันได้รับอิสรภาพ โดยที่กำลังลุ้นว่าวันที่ 13 ม.ค. 2567 นี้ อัยการจะมีคำสั่งฟ้องภายในวันนี้หรือไม่ เพราะครบกำหนด 84 วันในผัดฟ้องแล้ว ‘น้ำ’ วารุณี ที่ฝากให้กำลังใจเพื่อน ๆ ผู้ต้องขังทางการเมืองว่ามีวันติดก็มีวันออก 

อัญชัญ ที่ฝากอวยพรปีใหม่ให้กับคนข้างนอก ‘ภูมิ’ เยาวชนจากบ้านเมตตาที่ดูมีความหวังมากขึ้นกับกระบวนการต่อสู้ทางคดี และได้เริ่มฝึกอาชีพจากข้างในนั้นแล้ว รวมทั้ง ‘วุฒิ’ ที่กำลังจดจ่อเฝ้ารอถึงการพิจารณาคดีของศาลในวันที่ 14 ก.พ. 2567 ที่อาจชี้ชะตาได้ว่ากระบวนการยุติธรรมจะพัดพาชีวิตเขาไปทางไหน 

‘อารีฟ’ วีรภาพ: กฎหมายนิรโทษกรรรมเป็นความหวังให้กับนักโทษทางการเมือง

หลังจากที่ทนายเข้าเยี่ยมตั้งแต่วันที่ 25 ธ.ค. 2566 อารีฟบอกว่าไซนัสหายแล้ว กินแค่พาราฯ อย่างเดียวแล้วก็หายเอง แต่ตอนนี้เป็นไมเกรนต่อ ปวดหัวเป็นพัก ๆ มักจะเป็นช่วงกลางคืน แล้วก็ชอบลุกตื่นขึ้นมาช่วงตี 2-3 ทุกคืน ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเครียดเรื่องผลประกันด้วยไหม  

อารีฟเล่าอีกว่าวันก่อนฝันไม่ค่อยดี คือฝันว่าเป็นนักโทษเด็ดขาด แล้วก็รับโทษที่สูงกว่า 3 ปี แต่ว่าพอเล่าให้เพื่อนนักโทษคนอื่นฟัง คนอื่นก็บอกว่าแบบนี้แหละดีแล้ว เพราะส่วนใหญ่ใครฝันว่าจะได้ออก ๆ ก็มักจะไม่ได้ออกกัน ถ้าฝันแบบนี้ เดี๋ยวไม่นานก็ได้ออกแล้ว  

กับสภาพอากาศช่วงนี้ค่อนข้างเย็น อารีฟบอกว่าต้องอาบน้ำบนห้องเอา แล้วใส่เสื้อ 2 ตัวนอน เอาผ้าห่มมาห่ม 2 ผืน แต่ในเรือนนอนก็ไม่มีแจกผ้าห่มเพิ่ม ต้องเอาที่มีอยู่มาปรับใช้เอง แต่ถ้าใครมีผ้าห่มอยู่กับตัวเกิน 3 ผืนก็จะโดนยึด 

เมื่อวันคริสต์มาส ในแดนมีทำกะเพราแจก อารีฟบอกว่าอาหารหลวงวันนี้อร่อยสุดแล้ว ข้าวไม่แข็งด้วย ได้กินอย่างมีความสุข อารีฟเล่าว่าปีใหม่ที่ผ่าน ๆ มาส่วนใหญ่ก็เที่ยวอยู่ในกรุงเทพฯ ไม่ได้ไปไหนไกล ๆ ส่วนตัวปีนี้ก็เคยคิดไว้ว่าอยากเที่ยวแถว ๆ นี้เหมือนเดิม แต่ตอนนี้คงทำไม่ได้แล้ว 

อารีฟบอกว่าอยากให้คนพูดถึงกฎหมายนิรโทษกรรมเยอะ ๆ เพราะเป็นกฎหมายที่เป็นความหวังให้แก่นักโทษทางการเมือง ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้การนิรโทษกรรมรวมไปถึงคดีของคนที่ถูกตัดสินผิด ถูกจับมาเพราะกระบวนการที่ไม่เป็นธรรม จะได้เป็นความหวังของนักโทษทุกคนที่ไม่มีความผิดด้วย

อารีฟบอกอีกว่าการที่มีนักโทษทางการเมืองอยู่ในเรือนจำเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะได้เห็นในรัฐบาลเพื่อไทยเลย ทั้งที่เพื่อไทยเองน่าจะเข้าใจความเจ็บปวดของนักโทษทางการเมืองมากที่สุด

ก่อนทิ้งท้ายหากขอพรได้ในปีใหม่นี้ อยากขอให้ได้กลับบ้านไว ๆ ได้สิทธิประกันตัวไว ๆ อยากกลับไปอยู่กับลูกและครอบครัว อยากขออิสระคืนมา

วันที่ 8 ม.ค. 2567  ทนายเข้าเยี่ยมอีกครั้ง รู้สึกว่าอารีฟผิวคล้ำขึ้นมาก พอยกหูโทรศัพท์ อารีฟก็ถามคำแรกเลยว่าคล้ำขึ้นมากมั้ย ก่อนเล่าว่าช่วงที่ผ่านมาเล่นบอล แล้วก็เล่นตะกร้อกลางแดดมาตลอด ที่จริงก็มีคนทัก ๆ บ้างว่าดำขึ้นนะ แต่ไม่มีกระจกเลยไม่ได้สนใจ จนวันนี้ก่อนออกมายืมกระจกเพื่อนดู เลยเพิ่งรู้ว่าผิวดำจนจะไหม้แล้ว 

อารีฟบอกว่าเดี๋ยวช่วงนี้หยุดเล่นตะกร้อไปก่อน บนแขนเสื้อด้านซ้ายของเขามีปลอกแขนสีแดงเย็บติดอยู่กับเสื้อผู้ต้องขังสีฟ้า อารีฟเล่าว่าผู้คุมเอามาให้ใส่ แล้วก็ให้ใส่ตลอด บอกแค่ว่าเป็นบุคคลที่ถูกเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ก่อนระบายว่า การมีปลอกแขนทำให้รู้สึกเหมือนว่าเราเป็นแกะดำ แตกต่างจากคนอื่น คนอื่นก็จะสงสัยว่านี่คืออะไร คือพวกที่มีโทษสูงหรืออะไรหรือเปล่า

อารีฟเล่าว่าปีใหม่ถูกปลุกลุกขึ้นมาสวดมนต์ข้ามปี แล้วก็มีให้กินอาหาร ขนมข้างบนได้ เหมือนให้สังสรรค์ได้ 1 วัน แล้วก็ได้ยินเสียงพลุตลอด แต่มองเห็นแค่นิดเดียว

จนถึงปัจจุบัน (9 ม.ค. 2567) อารีฟถูกคุมขังมาแล้ว 104 วัน

ย้อนอ่านคดีของอารีฟ  

.

‘โย่ง’ สุริยา: ทำงานให้มันลืมวันลืมคืนไป ไม่งั้นเราจะจดจ่อกับมันจนไม่สบายใจ

วันที่ 25 ธ.ค. 2566 ทันทีที่ยกหูโทรศัพท์ขึ้น โย่งก็ฝากติดตามเรื่องวันลดโทษทันที เขาบอกว่าเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน มีเอกสารเรื่องวันลดโทษมาให้เซ็น เขาเซ็นไปแล้ว แต่ยังไม่ทราบความคืบหน้า อยากให้สอบถามรายละเอียดกับเจ้าหน้าที่เพิ่มเติม

เมื่อถามถึงช่วงปีใหม่ที่ผ่าน ๆ มา โย่งเล่าว่า “กลับบ้านไปหาแม่ แกน่าจะ 81 แล้วปีนี้ ส่วนพ่อเสียไปแล้ว พาลูกพาหลานไปเยี่ยมแม่ที่ อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ พวกลุงป้าน้าอาก็ขับรถตามกันไป 3 คัน มีคันผม คันพี่สาว แล้วก็คันหลาน ซื้อของขวัญให้แม่เท่าที่เรามีกำลัง เสื้อผ้าบ้าง ต่างหูทองอะไรพวกนี้บ้าง เราไปแม่ก็ดีใจ ผมก็ดีใจได้กลับไปเจอเพื่อนฝูง เจอครอบครัว นี่ก็ยังคิดถึงแม่อยู่ อยากออกไปหาแม่เร็ว ๆ”

ก่อนโย่งเล่าว่า “ถ้าได้ออกไป จะไปหาลูกก่อนอย่างแรก ไปเจอหลาน ไปดูว่าลูกเป็นยังไง สบายดีไหม จากนั้นก็จะกลับไปหาแม่ที่บ้านนอก แล้วผมก็จะอยู่บ้านยาวเลย ไม่กลับมากรุงเทพแล้ว มันมีแต่ความเจ็บปวด มีแต่เรื่องเสียความรู้สึก โดยเฉพาะการเอาผมมาติดคุกเนี่ย ผมทำผิดอะไรนักหนา (หัวเราะ) อยู่บ้านก็จะไปทำไร่ทำนา เอาวัวพันธุ์บรามันมาเลี้ยง แล้วก็คงเอารถกระบะไปทำธุรกิจเล็ก ๆ น้อย ๆ รถขนของอะไรพวกนี้”

“ถ้าขอพรปีใหม่ได้ข้อนึง ผมขอให้แม่ ลูก แล้วก็หลานมีความสุข ไม่เจ็บไม่ไข้ แค่นั้นผมก็มีความสุขแล้วครับ”

กับคนข้างนอกที่ยังต่อสู้ โย่งกล่าวถึงว่า “ขอให้ชีวิตเดินหน้าไปเรื่อย ๆ ผมเชื่อว่า ประชาชนจะชนะได้ถ้าเรารวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เราจะสู้เราต้องมีจุดมุ่งหมาย อย่างผมนี่ไม่ได้สู้เพื่อตัวเอง แต่สู้เพื่อลูกหลาน ถ้าประชาชนเข้มแข็งพอ พวกทรราชย์ก็อยู่ลำบาก ถึงผมจะอยู่ในเรือนจำ ผมก็จะอธิบายให้คนในแดนเข้าใจแนวคิด การที่ผมต้องมาติดคุกมันเกิดจากอะไร กฎหมายไม่ยุติธรรมตรงไหน โครงสร้างสังคมมันไม่ดียังไง เราเสียภาษีมาทั้งชีวิต เพื่อให้ได้เงินเลี้ยงตัวเดือนละ 600 ตอนแก่เหรอ พอกินที่ไหน ก็ทำให้พวกเขาเข้าใจขึ้นมาบ้าง”

ก่อนมีบทสนทนาทิ้งท้ายว่า “นี่ก็เป็นปีที่ 4 แล้วครับ วันที่ 23 มกราคมเป็นวันเกิดเราด้วย โอ้โห ปีแรกทุรนทุรายมาก (หัวเราะ) น้ำหนักจาก 93 ลดลงเป็น 10 โล ผอมซูบ จิตตก กินอะไรก็ไม่อร่อย ก็มาคิดว่า เฮ้ย กูจะรอดออกไปจากคุกได้มั้ยเนี่ย ก็เลยเริ่มออกกำลังกาย ลดน้ำหนัก ทำงานให้มันลืมวันลืมคืนไป ไม่งั้นเราจะจดจ่อกับมันจนไม่สบายใจ”

จนถึงปัจจุบัน (9 ม.ค. 2567) โย่งถูกคุมขังมาแล้ว 3 ปี 40 วัน

ย้อนอ่านคดีของโย่ง

.

‘แม็กกี้’: ขอให้หนูได้ออกไปใช้ชีวิตอิสระข้างนอก รวมถึงขอให้เพื่อน ๆ ผู้ต้องขังทางการเมืองทุกคนได้ออกไปด้วย

วัยที่ 26 ธ.ค. 2566 ทนายสังเกตเห็นแม็กกี้ดูซึม ๆ นั่งเหม่อจนต้องไปเคาะกระจกเรียก เมื่อแม็กกี้เห็นก็ยิ้มออกมา พลางย่อตัวไหว้เหมือนที่เคยทำ  

“ช่วงนี้อากาศหนาว หน้าเป็นขุย ๆ เลยไม่อยากแต่งหน้า วันแรกที่อากาศหนาว ตื่นมาก็ตัวร้อนเลย แต่ได้กินยาก็หายแล้วค่ะแม่” ก่อนอธิบายต่อ “หนูได้ผ้าห่ม 3 ผืน ก็พออยู่เพราะหลังห้องกะเทยจะมีที่กั้น ลมไม่เข้า มันก็เลยไม่หนาวมาก อยู่ได้ แต่ห้องอื่นคือหนาวสุด”

“วันคริสมาสต์ก็ไม่มีอะไร เรือนจำตกแต่งเป็นธีมคริสมาสต์ เมื่อวานได้กินอาหารพิเศษ ต้องขอบคุณมาก อร่อยมาก เป็นบุญบารมีปากมาก ส้มตำก็ได้กินแล้วค่ะ แต่เหมือนเค้าทำรสชาติเดียวกันหมดเลย คือนัวจนเค็ม”

ทนายถามแม็กกี้ว่าทำไมดูซึม ๆ ไม่สดใสร่าเริงเหมือนเดิม แม็กกี้บอกว่าเป็นเพราะมีข่าวลือว่าผู้ต้องขังที่เธอสนิทด้วยจะต้องย้ายแดน “ก็รู้จักกันตั้งแต่วันแรก ๆ ตอนที่ไม่มีความช่วยเหลือจากใคร เขาก็ดูแลหนูตลอด ก็เลยสนิทกัน ทีนี้ก็มีข่าวว่าเขาอาจจะถูกย้ายเพื่อระบายความแออัดในแดน หนูก็เศร้ามาก พูดแล้วจะร้องไห้ มันจะรู้พรุ่งนี้แหละว่าเค้าจะต้องย้ายมั้ย แต่ถ้าเค้าไม่ไปหนูจะดีใจมาก”

กับพรปีใหม่ที่อยากขอ “คือขอให้หนูได้ออกไปใช้ชีวิตอิสระข้างนอก รวมถึงขอให้เพื่อน ๆ ผู้ต้องขังทางการเมืองทุกคนได้ออกไปด้วย”   

แม็กกี้ยังพูดถึงการได้พบเจอกับเพื่อนนักกิจกรรมที่มาเยี่ยมว่า “หนูรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมากเลย ปีนี้เป็นปีแรกที่ต้องฉลองในคุก (ถอนหายใจ) หนูก็ต้องทำใจอะแม่ เราออกไปไหนไม่ได้ ก็ต้องฉลองในนี้ หนูจะพยายามทำให้ตัวเองมีความสุข ชั้นได้เคาท์ดาวน์ ชั้นสวย ชั้นเป็นนางฟ้าแดน 8 (หัวเราะ)”

จนถึงปัจจุบัน (9 ม.ค. 2567) แม็กกี้ถูกคุมขังมาแล้ว 80 วัน คดีของเธอจะครบอำนาจขอฝากขัง 84 วัน ในวันที่ 13 ม.ค. 2567 ต้องติดตามว่าอัยการจะสั่งฟ้องในกำหนดเวลาหรือไม่

ย้อนอ่านคดีของแม็กกี้  

.

‘น้ำ’ วารุณี: มีวันติดก็ต้องมีวันออก คนข้างนอกก็สู้ให้เราตลอด

วันที่ 27 ธ.ค. 2566 น้ำแต่งตัวธีมคริสมาสต์ บอกว่าตอนนี้เธอค้นพบทริคเซ็ตผมให้อยู่ทรงแล้ว “ใช้ยาสีฟันค่ะ” เมื่อเห็นว่าทนายดูตกใจ น้ำก็หัวเราะ 

“คือน้ำเป็นคนผมตรงมาก พอแห้งแล้วมันก็ไม่เป็นทรง ชี้โด่ชี้เด่ ลองใช้น้ำมันมะกอกลูบผม ผมก็ดูมันเกินไป เหมือนคนไม่ได้สระผม ก็นอนคิดอยู่คืนนึงว่าอะไรที่มันใช้ทาผมแล้วผมจะแข็งตัว เอ้ย มาสคาร่าก็ได้นี่ แต่มาสคาร่าแห้งแล้วทาไม่ติดเลย หันไปเห็นยาสีฟัน ก็เลย เออ ลองดู น้ำเอายาสีฟันผสมน้ำใส่ขวดสเปรย์ที่ไม่ได้ใช้ ฉีดใส่มือแล้วก็ลูบ ๆ จัดทรง มันก็ใช้ได้นะคะ แต่จะมีคราบขาว ๆติดหน่อย แต่มันดีที่ล้างออกง่ายมาก ติดอย่างเดียวคือเปลืองยาสีฟันมาก (หัวเราะ)”

ก่อนย้ำว่า “ก็บอกแล้วว่าการแต่งหน้าเป็นความสุขเดียว ปกติน้ำตื่นตีห้ามาแต่งหน้า แต่ถ้าออกศาล ตื่นตีสามเลยดิ่ (หัวเราะ)” น้ำพูดถึงวันคริสมาสต์ที่ผ่านมาด้วยรอยยิ้ม

“ที่นี่ไม่มีกิจกรรมอะไรนะคะ แต่จะมีจัดเลี้ยง มีจับฉลาก ตื่นเต้นมาก (เน้นเสียง) ขอให้ตัวเองได้เครื่องสำอาง ถ้าไม่ได้ก็จะไปไล่ขอซื้อจากคนที่ได้ ” 

จากนั้นได้อัพเดทข่าวสารข้างนอกให้ฟัง โดยนำภาพการชุมนุมวันที่ 25 ธ.ค. ที่ผ่านมา มาให้น้ำดูด้วย น้ำดูไปยิ้มไป ฝากขอบคุณทุกคนที่จัดงาน และมาร่วมงานในวันนั้น น้ำยังทราบถึงผลคำพิพากษาในคดี ม.112 ของเก็ทกับโจเซฟ ทำให้เก็ทถูกตัดสินจำคุกเพิ่มอีก 3 ปี น้ำก็ดูเครียดทันที

”ฝากให้กำลังใจเก็ทด้วย เข้าใจคนมีอุดมการณ์แล้วไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ต้องมาติดคุก สงสารพ่อแม่เค้าด้วย แทนที่ปีใหม่จะได้เบาใจลงบ้าง กลายว่าต้องมาเห็นลูกต้องติดคุกเพิ่ม“ 

น้ำยังพูดถึงทนายอานนท์ด้วยว่า “สิ่งที่ทนายอานนท์ทำมันยิ่งใหญ่มากนะคะ เขาไม่ได้ทำเพื่อครอบครัวแค่ครอบครัวเดียว แต่ทำเพื่อทุกครอบครัวในประเทศนี้เลย ถ้าสิ่งที่ทนายอานนท์ผลักดันสำเร็จตั้งแต่ตอนนั้น เก็ทคงจะได้เป็นหมอ ป้าอัญชัญคงได้กลับบ้าน บ้านน้ำก็จะไม่ขาดเสาหลัก พวกเราจะไม่ต้องมาเสียเวลาชีวิตในเรือนจำแบบนี้”

สุดท้ายน้ำฝากกำลังใจถึงผู้ต้องขังทางการเมืองทุกคนที่ถูกขังข้ามปีว่า “ขออวยพรให้เพื่อน ๆ เข้มแข็งนะคะ มีวันติดก็ต้องมีวันออก คนข้างนอกก็สู้ให้เราตลอด”

ก่อนพูดอีกว่า “อยู่ในนี้น้ำเห็นอะไรเยอะมาก เห็นคนรอธนาณัติ รอเรียกชื่อ รอญาติมาเยี่ยม ไม่มีเงินในบัญชีเลย พอญาติไม่มาก็ร้องห่มร้องไห้ เหมือนชีวิตเขามันได้เท่านี้ คือน้ำรู้สึกขอบคุณคนข้างนอก ขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกการซัพพอร์ต มันมีความหมายกับคนข้างในมากจริง ๆ และมันทำให้เราเข้มแข็งขึ้น ทุกวันนี้น้ำซื้อขนมแทบไม่ได้กินเองเลย แจกเพื่อนที่เขาไม่มีตลอด”

จนถึงปัจจุบัน ( 9 ม.ค. 2567) ถูกคุมขังมาแล้ว 196  วัน

ย้อนอ่านคดีของน้ำ 

.

อัญชัญ : ฝากอวยพรปีใหม่ให้ทุกคนที่ยังไม่ลืมกัน

ช่วงปลายเดือนธันวาคม 2566 ทนายความเข้าเยี่ยมอัญชัญ 2 ครั้ง จากที่สังเกตเห็น ผมที่เธอย้อมดำไว้เริ่มหงอกโคนแล้วบางส่วน เธอดูซึม ไม่สดใส แต่ยังกระตือรือร้นที่จะเล่าเรื่องราวให้ฟังเหมือนเดิม 

ป้าถามว่า “ได้ข่าวเรื่องอภัยปีนี้มั้ยลูก ป้ารออภัยมาตั้งแต่ปี 2565 ผิดหวังมา 2 ครั้งแล้ว ไม่ได้สมหวังสักที นี่ป้าต้องติดคุกไปอีก 7 ปี 9 เดือนเหรอลูก” ทนายพยายามให้กำลังใจและปลอบใจป้า ว่าถึงยังไงตอนนี้ก็ยังมีการเรียกร้องเรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ อยู่ หากสำเร็จ ป้าก็จะไม่ต้องติดคุกนานขนาดนั้น

“ป้าก็หวังไว้อย่างนั้นแหละลูก ขอให้ปี 2567 มันมีความคืบหน้า ป้าก็อยากมีอิสระอย่างเขาบ้าง คดี ม.112 ก็เป็นคดีการเมืองที่เขาจับกันระเนระนาด ถ้ามี พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่รวมมาตราพวกนี้ด้วย ก็จะดีมาก”

วันต่อมาที่เข้าเยี่ยม และได้นำภาพกิจกรรมเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ต้องขังทางการเมืองเมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2566 ซึ่งมีคนเขียนข้อความให้กำลังใจอัญชัญไปให้อ่าน รวมถึงรูปภาพและข้อความต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับป้าในแท็ก #saveanchan และ #ยกเลิก112 ไปให้ดู เธอตั้งใจอ่านข้อความต่าง ๆ ทั้งที่น้ำตาคลอเบ้า แววตามีความสุขอย่างเห็นได้ชัด พูดชมว่าสวยมาก น่ารักมาก และกล่าวขอบคุณไม่ขาดปาก 

เมื่อดูรูปหมดแล้ว สิ่งแรกที่เธอพูดคือฝากอวยพรปีใหม่ให้ทุกคนที่ยังไม่ลืมกัน ”ขอให้ทุกคนมีสุขภาพแข็งแรง มีพลังกายพลังใจ ประสบความสำเร็จในทุก ๆ เรื่อง ขอให้สิ่งที่เรากำลังต่อสู้อยู่สมหวังด้วยนะลูก“

ก่อนกล่าวอีกว่า “ถ้าขอพรปีใหม่ได้ ป้าก็อยากให้ผู้ต้องขังทางการเมืองทุกคนได้รับอิสรภาพไว ๆ ขอให้อดทนกันไว้ อยู่กับปัจจุบันให้ได้ ป้าเข้าใจว่าอยู่ในคุกมันก็มีหลายเรื่องนะ”

จนถึงปัจจุบัน ( 9 ม.ค. 2567) อัญชัญถูกคุมขังในรอบนี้มาจวนจะครบ 3 ปี ในวันที่ 19 ม.ค. นี้

ย้อนอ่านคดีของอัญชัญ  

.

‘ภูมิ’: ดูสีหน้าดีขึ้น รู้สึกมีความหวัง

ที่สถานพินิจบ้านเมตตา วันที่ 28 ธ.ค. 2566 ที่ปรึกษากฎหมายเข้าเยี่ยมภูมิผ่านวิดีโอคอลไลน์ เมื่อรับสายภูมิรีบถามข่าวเรื่องคำร้องขออุทธรณ์คำสั่งให้ควบคุมตัวเขาที่ยื่นต่อศาลไป โดยอธิบดีศาลเยาวชนฯ มีคำสั่งให้รับไว้

ภูมิบอกว่าแม่เล่าคร่าว ๆ ให้ฟังตอนเข้าเยี่ยมใกล้ชิดอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่ยังไม่เข้าใจนัก ขณะพูดเรื่องนี้ภูมิมีแววตาตื่นเต้น ที่ปรึกษาฯ อธิบายให้ฟังว่า ไปยื่น 2 เรื่อง เรื่องแรกเป็นคำร้องขออนุญาตยื่นอุทธรณ์ ซึ่งแต่เดิมคำสั่งที่ศาลสั่งให้เข้ามาตรการพิเศษ มาตรา 132 วรรคสอง เรียกอีกอย่างคือวิธีการสำหรับเด็ก ซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ตามกฎหมาย แต่กฎหมายก็เปิดช่องว่าถ้าอธิบดีศาลอนุญาตก็อุทธรณ์ได้ เลยยื่นคำร้องตัวนี้ไป 

เรื่องที่สองเป็นการยื่นอุทธรณ์คำสั่งที่ศาลสั่งเข้ามาตรการพิเศษตามมาตรา 132 วรรคสอง โดยระบุเหตุผลข้อเท็จจริงที่เปลี่ยนแปลงไปของภูมิ และขอให้มีคำสั่งเปลี่ยนเป็นเข้ามาตรการตามมาตรา 132 วรรคหนึ่งแทน  ขั้นตอนต่อไปคือศาลจะส่งสำเนาอุทธรณ์ให้กับฝ่ายโจทก์คืออัยการ เพื่อให้อีกฝ่ายดูว่าจะโต้แย้งอะไรหรือไม่ ซึ่งต้องติดตามเรื่องอีกที

หลังฟังรายละเอียด ภูมิดูสีหน้าดีขึ้น รู้สึกมีความหวัง ภูมิเล่าว่าวันนี้ออกไปพบแพทย์จิตเวชที่โรงพยาบาลสิรินธร หมอปรับยาให้ ได้ยามากินใหม่ 3-4 ตัว หมอบอกชื่อยา แต่ภูมิจำรายละเอียดไม่ได้  ภูมิเล่าอาการที่มีเอฟเฟคจากการทานยาครั้งก่อน หมอจึงปรับยาให้ และบอกว่าถ้ามีอาการ หมอจะบอกบ้านเมตตาไว้ว่าให้โทรหาหมออีกทีเพื่อประเมินอาการ หมอไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม เพียงบอกว่าพยายามอย่าเครียด 

ภูมิบอกถึงอาการหูแว่ว ซึ่งอาการนี้เขาไม่เคยเป็นมาก่อน เพิ่งมาเป็นตอนกินยาแล้วมีเอฟเฟคจากครั้งที่แล้ว ปัจจุบันก็ยังมีอยู่ ภูมิเล่าเรื่องนี้ให้หมอฟัง หมอจึงปรับยาให้ เรื่องแผลเกาที่ขา แผลหายสนิทแห้งแล้ว ทางบ้านเมตตาให้กินยาฆ่าเชื้อ 

ก่อนภูมิอัพเดตว่า ตอนนี้ได้เรียนหลักสูตรวิชาชีพทำกาแฟ จบไป 1 หลักสูตรแล้ว ก่อนหมดเวลาเยี่ยม ที่ปรึกษากฎหมายได้อวยพรปีใหม่ขอให้สิ่งที่ภูมิหวังสำเร็จ และให้ดูแลรักษาตัวเอง ภูมิบอกว่าช่วยส่งข่าวด้วยถ้ามีอัพเดตเรื่องอุทธรณ์

จนถึงปัจจุบัน (9 ม.ค. 2567) ภูมิถูกคุมขังมาแล้ว 84 วัน

ย้อนอ่านคดีของภูมิ 

.

‘วุฒิ’ : อยากให้นักโทษการเมือง คนที่โดน 112 ได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำโดยไม่มีข้อยกเว้นทั่วประเทศ

วันที่ 28 ธ.ค. 2566 วุฒินั่งรอทนายด้วยใบหน้าที่เศร้าอย่างเห็นได้ชัด และเริ่มระบายออกมาว่า เมื่อวันที่ 21 ธันวาคมที่ผ่านมา “ศาลถามผมว่า จะรับสารภาพเหมือนเดิมไหม ศาลคงไม่รอการลงโทษ ผมเลยบอกว่าผมจะสู้ต่อ ศาลบอกว่าทุกกรรมเป็นความผิดหมด ผมผิดหวังจริง ๆ สภาพจิตใจผมแย่มากหลังออกศาล แม้จะไม่คาดหวัง 100 % แต่ก็ต้องยอมรับว่าผิดหวังหนักมาก” 

วุฒิระบายต่อว่า “ตอนนี้ผมก็ต้องมารอลุ้น 14 กุมภานี้ เท่าที่ดูท่าทีศาลรอบนี้ ศาลไม่มีท่าทีประนีประนอมกับเคสผมเลย ทั้ง ๆ ที่คือผู้พิพากษาคนเดียวกัน ความรู้สึกตอนนี้เหมือนโดนหลอก ศาลที่พูดกับผมว่า ‘ร้องไห้กันทำไมเดี๋ยวก็ได้กลับบ้านแล้ว’ เหมือนสร้างแรงจูงใจให้ผมรับสารภาพ”

“ตอนนี้ผมกำลังคิดว่า หากศาลตัดสินว่าผิดทุกกระทง ผมอาจจะได้ย้ายเรือนจำ เพราะที่นี่รับได้แค่ 15 ปี ถ้าเกิน ต้องไปคลองเปรม ถ้าเป็นแบบนี้ ผมคงตายทั้งเป็น ตั้งแต่ 21 ธันว่าที่ผ่านมา ผมนอนไม่ค่อยหลับ คิดแต่เรื่องคดี ที่นี่แดน 10 ไม่มีกิจกรรมอะไรให้ผมทำ ผมก็เดินไปเดินมาขึ้นลงเรือนนอนให้มันหมดวันไป กิจกรรมออกกำลังกายก็มีแบบสลับห้อง ทำตอนเช้า 10-15 นาที เหมือนทำให้ดูว่ามีกิจกรรมให้ผู้ต้องขัง แต่เอาจริง ๆ มันก็ไม่ได้อะไร”

กับปีใหม่นี้ “อยากให้นักโทษการเมือง คนที่โดน 112 ได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำโดยไม่มีข้อยกเว้นทั่วประเทศ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้มีการแก้ไข 112 ไม่ใช่ถูกใช้เอาเป็นเครื่องเล่นงานประชาชนที่เห็นต่างทางการเมือง ประชาชนที่แสดงความคิดทางการเมืองแบบนี้” 

“และข้อนี้สำคัญสุด ปี 2567 นี้ ประชาชนที่รักในระบอบประชาธิปไตยและเพื่อน ๆ ที่คอยติดตามและคอยส่งกำลังใจให้พวกผม และทุกคนที่ต่อต้านเผด็จการ ขอให้พวกท่านทุกคนและครอบครัวมีความสุข ความเจริญ สุขภาพแข็งแรง พรให้ที่ประเสริฐจงบังเกิดแก่พวกท่านทุกคนด้วยเถิด” วุฒิกล่าวทิ้งท้าย

วันที่ 5 ม.ค. 2567 ทนายเข้าเยี่ยมวุฒิอีกครั้ง “สวัสดีปีใหม่ครับ“ วุฒิกล่าวทักทายทนายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่แววตาเศร้าเหลือเกิน ช่วงปีใหม่ในนี้ก็มีกิจกรรมให้ผู้ต้องขังบ้าง แต่ก็ไม่มาก ก็พอให้มันผ่านไป ตัวเขาก็ยังผิดหวังเรื่องศาลอยู่ 

หลังอัพเดตข่าวสารการเมือง วุฒิก็พูดถึงคดีตัวเองว่า คงต้องรอวันที่ 14 ก.พ. 2567 ถ้าจะเป็นยังไง ก็เตรียมใจระดับหนึ่ง ถ้าตัดสินให้ผิดทั้งหมด ผมก็คงหมดอนาคตแล้ว 

วุฒิยังสอบถามเรื่องบริจาคร่างกายกับสภากาชาด ว่าจะทำอะไรได้บ้าง อยากทำเรื่องไว้ ก่อนวุฒิฝากถึงผู้ต้องขังทางการเมืองทุกคน ได้รับอิสระไว ๆ 

จนถึงปัจจุบัน ( 9 ม.ค. 256) วุฒิถูกคุมขังมาแล้ว 288 วัน

ย้อนอ่านคดีของวุฒิ  

.

ย้อนอ่านบันทึกเยี่ยม

บันทึกเยี่ยม 6 ผู้ต้องขัง ‘112’ ก่อนสิ้นปี: “อยากขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจให้คนข้างใน พวกเราก็จะสู้ต่อไป

X