ON THIS DAY ชุมนุม #16ตุลาไปแยกปทุมวัน : อัยการยังนัดสั่งฟ้องคดี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ร้ายแรง ของ 9 นักกิจกรรม แม้ผ่านไป 4 ปี

วันนี้เมื่อ 4 ปีที่แล้ว (หรือวันที่ 16 ต.ค. 2563) คณะราษฎร 2563 ได้นัดหมายชุมนุม #16ตุลาไปแยกปทุมวัน ซึ่งนับได้เป็นว่าการชุมนุมครั้งที่ 2 ในกรุงเทพฯ ที่เกิดขึ้นหลังจากการสลายชุมนุมใหญ่บริเวณทำเนียบรัฐบาลในเช้าตรู่ของวันที่ 15 ต.ค. 2563 พร้อมกับจับแกนนำบางส่วนและรัฐบาลขณะนั้นประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพฯ

การชุมนุมในวันที่ 16 ต.ค. นับว่าเป็นการชุมนุมในรูปแบบไร้แกนนำ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเรียกร้องให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกตำแหน่งนายกรัฐมนตรี, เปิดสภาสมัยวิสามัญรับร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจากประชาชน, ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ และเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ปล่อยแกนนำที่ถูกจับไปตั้งแต่วันที่ 13-15 ต.ค. 2563 เดิมการชุมนุมดังกล่าวได้มีการนัดหมายกันที่แยกราชประสงค์ แต่ภายหลังได้เปลี่ยนมาเป็นบริเวณแยกปทุมวัน ผู้ชุมนุมซึ่งส่วนใหญ่เป็นเยาวชนและนักเรียนเดินทางมาร่วมชุมนุมกันจนเต็มพื้นที่สี่แยก 

ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปด้วยดี จนกระทั่งราว 6 โมงเย็น ปฏิบัติการสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรงของรัฐบาลจึงได้เริ่มต้นขึ้น เจ้าหน้าที่ได้ประกาศให้ผู้ชุมนุมเลิกการชุมนุม และอ่านข้อกำหนด 3 ข้อตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง หนึ่งในนั้นคือห้ามชุมนุมเกิน 5 คน 

ต่อมาตำรวจควบคุมฝูงชนจำนวนมากพร้อมโล่และกระบอง เคลื่อนขบวนจากทางด้านห้างสยามพารากอน มุ่งหน้าแยกปทุมวัน โดยมีรถฉีดน้ำแรงดันสูงเคลื่อนตามมา ปฏิบัติการฉีดน้ำที่ผสมจากสารเคมีสีฟ้าและน้ำผสมแก๊ซน้ำตา เพื่อสลายการชุมนุมได้เริ่มต้นขึ้น ในขณะที่ผู้ชุมนุมมีเพียงร่ม เสื้อกันฝน และหมวกกันน็อค จนถึงราว 3 ทุ่ม เจ้าหน้าที่สามารถยึดคืนสี่แยกปทุมวันได้ พร้อมกับมวลน้ำสีฟ้าที่ใช้สลายการชุมนุมของประชาชน

ในการชุมนุมช่วงปี 2563 ลักษณะการสลายการชุมนุมโดยปฏิบัติการฉีดสารเคมีและน้ำผสมแก๊สน้ำตาดังกล่าว เป็นครั้งแรกในการชุมนุมที่แยกปทุมวันครั้งนี้ ก่อนเจ้าหน้าที่จะยกระดับรูปแบบการใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุมในช่วงถัดจากนั้นมา

ย้อนอ่านเหตุการณ์ชุมนุม >> #16ตุลาไปแยกปทุมวัน : Mob Data Thailand

.

ภาพจาก Mob Data Thailand

นอกจากการสลายการชุมนุมด้วยมวลน้ำสีฟ้าแล้ว ยังพบว่าจากการชุมนุม #16ตุลาไปแยกปทุมวัน และจากวันดังกล่าวในทั่วประเทศ มีผู้ถูกจับกุมและถูกกล่าวหาดำเนินคดีอีกอย่างน้อย 27​ คน ในจำนวน 11​ คดี โดยมีผู้ถูกดำเนินคดีในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ร้ายแรง 19 คน  และความไม่พอใจต่อการสลายการชุมนุมดังกล่าว ยังทำให้มีการโพสต์ข้อความที่ต่อมาทำให้มีผู้ถูกดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา 112 จำนวน 3 คน

ปัจจุบันคดีบางส่วนได้สิ้นสุดลงแล้ว บางคดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาล แต่ในคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ร้ายแรง ยังคงอยู่ในชั้นอัยการ และอัยการยังเริ่มนัดหมายสั่งฟ้องบางคดีในสัปดาห์นี้ (18 ต.ค. 2567) แม้เวลาจะล่วงเลยมาถึง 4 ปี  ทั้งที่ในคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ร้ายแรง ศาลพิพากษายกฟ้องไปแทบทั้งหมด รวมทั้งยังอยู่ในช่วงที่สภาผู้แทนราษฎรเตรียมพิจารณาการนิรโทษกรรมในคดีทางการเมือง 

ในวันเกิดเหตุ มีประชาชนผู้ชุมนุม 8 รายถูกจับกุมในขณะชุมนุม และถูกนำตัวไปยัง บก.ตชด. ภาค 1 และแจ้งข้อกล่าวหาในข้อหา “ฝ่าฝืนข้อกำหนดซึ่งออกตามความในมาตรา 9 ประกอบมาตรา 11 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 โดยชุมนุมหรือมั่วสุมกัน ณ ที่ใด ๆ ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป หรือกระทำการใดอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย” หรือที่รู้จักกันในชื่อ ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรงฯ 

ก่อนในวันรุ่งขึ้น พนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้องขอฝากขังผู้ต้องหา แต่อย่างไรก็ตาม ศาลแขวงปทุมวันมีคำสั่งยกคำร้องขอฝากขัง จึงทำให้ทั้งหมดได้รับการปล่อยตัว คดีดังกล่าวถูกแยกออกเป็นสองสำนวน และปัจจุบันยังอยู่ในชั้นอัยการ

นอกจากนั้นยังมีผู้สื่อข่าวประชาไท ถูกจับกุมในขณะที่กำลังทำข่าวอยู่ในพื้นที่ชุมนุม ก่อนนำตัวไปยัง บก.ตชด. และตำรวจเปรียบเทียบปรับในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานฯ​ เป็นเงิน 300 บาท ก่อนถูกปล่อยตัวในวันต่อมา (17 ต.ค. 2563) ทำให้คดีความในส่วนของผู้สื่อข่าวสิ้นสุดไป

ภาพจาก Mob Data Thailand

.

อีกส่วนหนึ่ง เป็นกรณีของประชาชนและแกนนำนักกิจกรรมรวม 11 คน ที่เข้าร่วมชุมนุม แต่ถูกออกหมายจับและหมายเรียกดำเนินคดีในภายหลัง โดยถูกแจ้งข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ร้ายแรง 

ในส่วนที่ถูกออกหมายจับมี 5 คน ได้แก่ ณวรรษ เลี้ยงวัฒนา, ชินวัตร จันทร์กระจ่าง, น.พ.ทศพร เสรีรักษ์ ถูกจับกุมไปยัง บก.ตชด. ภาค 1 ต่อมาศาลแขวงปทุมวันมีคำสั่งให้ประกันตัวเมื่อวันที่ 19 ต.ค. 2563 ส่วน ภาณุพงศ์ จาดนอก ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว ก่อนศาลไม่อนุญาตฝากขังต่อผัดที่ 3 เมื่อ 30 ต.ค. 2563 รวมถูกคุมขัง 14 วัน

ต่อมาในวันที่ 3 พ.ย. 2563 อรรถพล บัวพัฒน์ ไปมอบตัวตามหมายจับ พนักงานสอบสวนอนุญาตให้ประกันตัว โดยใช้ตำแหน่งทนายความ ไม่ต้องวางเงินประกัน 

ส่วนที่ถูกออกหมายเรียกและไปรับทราบข้อกล่าวหาในภายหลังมีทั้งสิ้น 4 คน ได้แก่ สุวรรณา ตาลเหล็ก, ชาติชาย แกดำ, กรกช แสงเย็นพันธ์ และ สิรภพ พุ่มพึ่งพุทธ

แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมาถึง 4 ปีแล้ว คดีในการชุมนุมช่วงดังกล่าวที่ถูกฟ้องในข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ร้ายแรง ปัจจุบันศาลก็มีคำพิพากษายกฟ้องไปไม่ต่ำกว่า 18 คดีแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม คดีที่ยังค้างอยู่ในชั้นอัยการหลายปี อัยการกลับเตรียมสั่งฟ้องคดีในช่วงนี้ อีกทั้งยังอยู่ในช่วงที่สภาผู้แทนราษฎรเตรียมพิจารณาการนิรโทษกรรมในคดีทางการเมือง ซึ่งในข้อเสนอหนึ่งของกรรมาธิการที่สภาตั้งขึ้น คือขอให้อัยการสั่งไม่ฟ้องคดีหากเห็นว่าจะไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชน ในระหว่างที่ยังไม่มีการตรากฎหมายนิรโทษกรรม

เมื่อสิ้นเดือนที่ผ่านมา ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้ยื่นหนังสือถึงอัยการสูงสุด ขอให้พิจารณามีคำสั่งชะลอการสั่งฟ้องคดี หรือให้ใช้ดุลพินิจในการสั่งไม่ฟ้องคดีที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง เช่น คดีข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ รวมทั้งเมื่อวันที่ 8 ต.ค. 2567 ก็ได้ยื่นหนังสือดังกล่าวต่อพนักงานอัยการศาลแขวงปทุมวันในคดีนี้ด้วย

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 18 ต.ค. 2567 นี้ พนักงานอัยการยังคงนัดหมายสั่งฟ้องคดีของผู้ต้องหา 9 คน ได้แก่ ณวรรษ, ภาณุพงศ์, ชินวัตร, อรรถพล, ทศพร, สุวรรณา, ชาติชาย, กรกช และ สิรภพ ต่อศาลแขวงปทุมวัน

.

นอกจากนั้นยังมี “ภูมิ” เยาวชน ที่ถูกออกหมายเรียกดำเนินคดีในข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ร้ายแรง, ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน และทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงาน ในเหตุวันชุมนุมดังกล่าว ภายหลังถูกสั่งฟ้องคดีต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ในนัดสอบคำให้การเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.​ 2564 ภูมิได้เปลี่ยนคำให้การเป็นรับสารภาพตามข้อกล่าวหา ศาลจึงมีคำพิพากษาให้รอกำหนดโทษไว้ 1 ปี ซึ่งในปัจจุบันคดีนี้ได้ถึงที่สุดแล้ว

.

ในวันที่มีการสลายการชุมนุมที่แยกปทุมวันดังกล่าว ในต่างจังหวัด ก็มีการแสดงออกจนนำไปสู่การถูกดำเนินคดี ได้แก่ “พนิดา” (สงวนนามสกุล) จำเลยในคดีแรก ถูกสั่งฟ้องในข้อหามาตรา 112 และข้อหาทำให้เสียทรัพย์ซึ่งมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ฯ ตามมาตรา 360 เหตุจากถูกกล่าวหาว่าพ่นสีสเปรย์ใต้ฐานพระบรมฉายาลักษณ์ ร.10 จำนวน 2 แห่ง ในเมืองพัทยา

ภายหลังอัยการมีคำสั่งฟ้องต่อศาลจังหวัดพัทยา ต่อมาศาลมีคำพิพากษาว่ามีความผิดทุกข้อหา ให้ลงโทษตามมาตรา 112 จำคุกกระทงละ 3 ปี 2 กระทง แต่จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษกระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี 12 เดือน แต่ให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี

“สนธยา” (สงวนนามสกุล) จำเลยในคดีที่สอง ถูกสั่งฟ้องในข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จากการทวีตภาพพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 ที่ถูกพ่นสี ภายหลังอัยการสั่งฟ้องคดี ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่อีกครั้ง ต่อมาเมื่อเดือน มี.ค. 2567 ศาลชั้นต้นได้พิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปี ปรับ 20,000 บาท แต่ให้รอการลงโทษจำคุกไว้ 2 ปี ปัจจุบันคดีนี้ยังอยู่ในระหว่างการอุทธรณ์อีกครั้ง

นอกจากนั้นแล้ว ยังมีประชาชนอีกคนหนึ่งที่ถูกสั่งฟ้องในพฤติการณ์คล้ายกันกับสนธยา ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้พิพากษากลับว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ลงโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 10,000 บาท แต่ให้รอการลงโทษจำคุกไว้ 2 ปี ปัจจุบันคดีนี้ถึงที่สุดแล้ว

.

จากเหตุการณ์เจ้าหน้าที่สลายการชุมนุมในคืนวันดังกล่าว ยังทำให้มีผู้ถูกดำเนินคดีจากการโพสต์ข้อความในโลกออนไลน์ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เท่าที่ทราบข้อมูล ได้แก่ ธีระชัย (สงวนนามสกุล) ถูกดำเนินคดีในข้อหา “ดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติตามหน้าที่” เหตุจากโพสต์ความบนเฟซบุ๊กในลักษณะที่ดูหมิ่นประยุทธ์ ที่เกี่ยวเนื่องกับการจับกุมแกนนำการชุมนุม เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2563 โดยมี อภิวัฒน์ ขันทอง เป็นผู้กล่าวหา ต่อมาธีระชัยเข้าไปรับทราบข้อกล่าวหาและให้ตำรวจเปรียบเทียบปรับเป็นเงิน 1,000 บาท จึงทำให้คดีถึงที่สุด

“พรพิมล” (สงวนนามสกุล) ถูกสั่งฟ้องในข้อหามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ กรณีถูกกล่าวหาว่าโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2563  พรพิมลถูกจับกุมตามหมายจับเมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2564 และถูกฝากขัง 23 วัน ก่อนได้รับการประกันตัว ภายหลังพนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้องคดี เธอได้ตัดสินใจลี้ภัยทางการเมืองในเวลาต่อมา

อนิวัต ประทุมถิ่น หรือ “นารา เครปกะเทย” ถูกสั่งฟ้องในข้อหามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จากเหตุคอมเมนต์ข้อความในโพสต์ของตนเองกรณีสืบเนื่องกับการสลายการชุมนุม เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2563

คดีนี้มี อานนท์ กลิ่นแก้ว สมาชิกกลุ่ม ศปปส. เป็นผู้กล่าวหา ต่อมาพนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้องคดีต่อศาลอาญาเมื่อวันที่ 15 มี.ค. 2567 ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดี และมีกำหนดสืบพยานในระหว่างวันที่ 15 – 18 ก.ค. 2568

X