ตร.แจ้ง “ม.112” อานนท์ ส่วนเพนกวินโดน “พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ” กรณีชุมนุม #ม็อบ14ตุลา

วันนี้ (16 ธ.ค. 2563) เวลา 11.30 น. “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์ และอานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชน เข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกที่สน.สำราญราษฎร์ จากเหตุการชุมนุม “ม็อบ 14 ตุลา” บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563 

คดีนี้มี พ.ต.ท.กฤติเดช เข็มเพชร์ รองผู้กำกับสืบสวนสน.สำราญราษฎร์ กับพวก เป็นผู้กล่าวหา มูลเหตุของคดีสืบเนื่องมาจากการชุมนุม #ม็อบ14ตุลา ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 63 เพื่อกดดันให้รัฐบาลทำตามข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ได้แก่ ให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีลาออก 2. เปิดประชุมวิสามัญเพื่อร้องรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ 3. ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ทั้งยังมีการเคลื่อนขบวนไปปักหลักชุมนุมที่บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล โดยอานนท์ นำภา, พริษฐ์ ชิวารักษ์ และปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล เป็นหนึ่งในผู้ปราศรัยด้วย

นอกจากนี้ การชุมนุมครั้งนี้ยังถูกเจ้าหน้าที่รัฐเข้าสลายการชุมนุมในเวลา 04.30 น. ของวันที่ 15 ต.ค. 63 หลังนายกรัฐมนตรีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในท้องที่กรุงเทพฯ และมีผู้ถูกจับกุม ณ สถานที่เกิดเหตุอย่างน้อย 27 ราย 

ภาพชุมนุม 14 ต.ค. 63 ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

ร.ต.อ.อานนท์ ไทรด้วง รองสารวัตร (สอบสวน) สน.สำราญราษฎร์ บรรยายพฤติการณ์การกระทำความผิดว่า เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 63 เวลาประมาณ 08.00 น. กลุ่มผู้ชุมนุมได้นัดหมายมารวมตัวกันที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยที่พริษฐ์ (ผู้ต้องหาที่ 1) ,อานนท์ (ผู้ต้องหาที่ 2) และ “รุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล (ผู้ต้องหาที่ 3) เป็นผู้จัดการชุมนุม 

ในวันดังกล่าว ปรากฏว่ามีกลุ่มผู้ชุมนุมและผู้ต้องหาที่ 1, 2 และ 3 ตั้งเวทีปราศรัย, ตั้งเต็นท์, จอดรถบรรทุกติดตั้งเครื่องขยายเสียงบนถนนราชดําเนินกลาง ทั้งยังมีกลุ่มผู้ชุมนุมจํานวนมากทําการชุมนุมบนถนนราชดําเนินกลางและมีการปิดเส้นทางการจราจรโดยไม่ได้รับอนุญาต 

เจ้าหน้าที่ตํารวจจึงได้แจ้งเตือนให้กลุ่มผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่ผิวทางการจราจร เพื่อให้ประชาชนได้ใช้เส้นทางในการสัญจรไปมาได้สะดวก แต่กลุ่มผู้ชุมนุมไม่ปฏิบัติตามคําสั่งของเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ตามที่กฎหมายกําหนด อีกทั้งผู้ต้องหาและกลุ่มผู้ชุมนุมได้มีการปิดเส้นทางการจราจร

นอกจากนี้ มีการใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต ในเวลาประมาณ 08.40 น. ของวันที่ 14 ต.ค. 63 และอานนท์ได้ขึ้นปราศรัยต่อหน้าผู้เข้าร่วมชุมนุมจํานวนมากบนเวทีขนาดเล็กที่ตั้งอยู่บนถนนราชดําเนินกลาง บริเวณหน้าร้านแมคโดนัลด์ สาขาราชดําเนิน สาระสําคัญของการปราศรัย คือ การกล่าวเชิญชวนกลุ่มผู้ชุมนุมให้ต่อสู้กับเผด็จการ 

นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวข้อความที่ถือเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดง ความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ จํานวน 3 ข้อความ คือ 

  1. “ถ้ามีการสลายการชุมนุมวันนี้ คนที่จะสั่งสลาย การชุมนุมมีเพียงคนเดียว คือในหลวงรัชกาลที่ 10 ถ้ามีการสลายการชุมนุม ไม่ต้องไปหาคนอื่นใด”
  2. “อย่างที่ ผมเรียนไว้ ถ้ามีการสลายการชุมนุม คนอื่นจะสั่งไม่ได้ นอกจากในหลวงรัชกาลที่ 10” 
  3. “อย่างที่บอกถ้าวันนี้มี การสลายการชุมนุม คนที่จะสั่งได้คนเดียว คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ให้รู้ไว้เช่นนั้น” 

อานนท์ในการชุมนุมวันที่ 14 ต.ค. 63

ต่อมาในวันเดียวกัน เวลาประมาณ 13.30 น. ผู้ต้องหาที่ 1, 2 และ 3 ได้ร่วมกันปราศรัย และมีการสั่งให้กลุ่มผู้ชุมนุมเข้าไปรื้อกระถางต้นไว้ที่วางประดับอยู่รอบๆ ฐานอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยออกไป กลุ่มผู้ชุมนุมจึงได้เข้าไปรื้อกระถางต้นไม้ ทําให้ต้นไม้ซึ่งอยู่ในความดูแลของกรุงเทพมหานครได้รับความเสียหาย คิดเป็นเงินจํานวน 223,700 บาท 

รวมถึงมีการตั้งสิ่งของต่างๆ และจอดรถยนต์บรรทุกเครื่องเสียง ลักษณะเป็นการกีดขวางการจราจร เจ้าหน้าที่ตํารวจได้พยายามแจ้งและประกาศเตือนให้เลิกกระทํา แต่ผู้ต้องหาและกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ยอมเลิกกระทําการดังกล่าว 

จากนั้นเวลาประมาณ  14.30 น. ผู้ต้องหาที่ 1, 2 และ 3 พร้อมด้วยกลุ่มผู้ชุมนุมได้เริ่มเคลื่อนขบวนออกจากบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปตามถนนราชดําเนินกลาง มุ่งหน้าสะพานผ่านฟ้าลีลาศ เข้าถนนนครสวรรค์ เพื่อจะเดินขบวนไปปิดล้อมที่หน้าทําเนียบรัฐบาล และกลุ่มผู้ชุมนุมได้เดินทางไปถึงทําเนียบรัฐบาลเมื่อเวลาประมาณ 18.45 น. ของวันเดียวกัน

พนักงานสอบสวนจึงแจ้งข้อกล่าวหาแก่พริษฐ์และอานนท์จำนวน 7 และ 8 ข้อหาตามลำดับ ประกอบด้วย

  1. ฝ่าฝืนประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 385 ร่วมกันกีดขวางทางสาธารณะ จนอาจเป็นอุปสรรค ต่อความปลอดภัยหรือความสะดวกในการจราจร
  2. ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 
    • ร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะไม่ดูแลและรับผิดชอบการชุมนุมสาธารณะไม่ให้เกิดการขัดขวางเกินสมควรต่อประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะ 
    • ดูแลรับผิดชอบให้ผู้ชุมนุมปฏิบัติตามในอันที่จะไม่ก่อให้เกิดความไม่สะดวกแก่ประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะอันเป็นที่ชุมนุมหรือทําให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนเกินที่พึ่งคาดหมายได้ว่าเป็นไปตามเหตุอันควร 
    • บุกรุกหรือทําให้เสียหาย ทําลาย หรือทําด้วยประการใดๆ ให้ใช้การไม่ได้ตามปกติซึ่งทรัพย์สินของผู้อื่น 
    • ขัดขวางหรือกระทําการใดๆ อันเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานดูแลการชุมนุมสาธารณะในการคุ้มครอง ความสะดวกของประชาชนในการใช้ที่สาธารณะ และการดูแลการชุมนุมสาธารณะนั้น 
    • เดินขบวนหรือเคลื่อนย้ายการชุมนุมระหว่างเวลา 18.00 นาฬิกา ถึงเวลา 06.00 นาฬิกาของวันรุ่งขึ้น และต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขหรือคําสั่งของเจ้าพนักงานดูแลการชุมนุมสาธารณะ
  3. พระราชบัญญัติโรคติดต่อฯ
    • ร่วมกันกระทําการหรือดําเนินการใดๆ ซึ่งอาจก่อสภาวะที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ซึ่งอาจเป็นเหตุให้โรคติดต่ออันตรายหรือโรคแพร่ระบาดออกไป ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคําสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ
  4. พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548
    • ร่วมกันจัดให้มีกิจกรรมรวมกลุ่มเพื่อการชุมนุมใดๆ โดยไม่จัดให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคที่ทางราชการกําหนด
  5. พระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535
  6. พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522
  7. มาตรา 4 พระราชบัญญัติควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ.2493 “ร่วมกันโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกําลังไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่”

นอกจากนี้ อานนท์ นำภา ยังถูกแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมอีก 1 ข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากการปราศรัย 3 ข้อความในบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาข้างต้นด้วย

พริษฐ์และอานนท์ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาและจะให้การเป็นหนังสือเพิ่มเติม ด้านพริษฐ์ไม่ยินยอมลงลายมือชื่อในบันทึกแจ้งข้อกล่าวหา พร้อมระบุเหตุผลว่า “ตำรวจขี้ข้าเผด็จการ ศักดินาจงพินาศ ประชาราษฎร์จงเจริญ” 

ผู้ถูกดำเนินคดีในคดีนี้อีก 1 คน คือ “รุ้ง” ปนัสยา ซึ่งจะเดินทางรับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกที่สน.สำราญราษฎร์ ต่อไปในวันที่ 21 ธ.ค. 63 

ดู สถิติผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 “ดูหมิ่นอาฆาตมาดร้ายกษัตริย์” ปี 2563

X