เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2568 ทนายความได้เข้าเยี่ยม เชน ชีวอบัญชา หรือ “ขุนแผน” นักกิจกรรมและผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 วัย 58 ปี ที่ยังคงถูกคุมขังระหว่างอุทธรณ์ที่เรือนจำกลางบางขวาง มาตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคมปี 2567 ซึ่งก็เป็นเวลาเกือบ 1 ปีแล้ว
การเจอกันครั้งนี้ ขุนแผนยังคงมีสุขภาพจิตที่แข็งแกร่ง แม้ร่างกายจะได้รับผลกระทบจากการถูกคุมขัง เขาพบว่าสายตาตัวเองสั้นลงและเริ่มมีอาการต้อเกิดขึ้น ร่างกายสั่นเป็นช่วง ๆ ทำให้รู้สึกก่อกวนใจมากกว่าความเจ็บปวดทางกาย การรักษาพยาบาลในเรือนจำดำเนินไปอย่างล่าช้า แต่เขายังคงจับตาดูสถานการณ์การเมืองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวจากภาคประชาชน ด้วยเชื่อเสมอว่าสักวันจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้
________________________________________________
“ยังสบายดี” คำพูดประโยคแรกจากขุนแผน แม้จะต้องเผชิญกับความเจ็บป่วยที่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย
เรื่องราวของปัญหาสายตาเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ช่วงแรกที่เขาถูกย้ายมายังเรือนจำกลางบางขวาง และได้ตรวจวัดสายตา ทำให้เขาทราบว่าสายตาตัวเองสั้นลงและอาการต้อที่เริ่มก่อตัว แพทย์ในเรือนจำได้สังเกตเห็นอาการดังกล่าว แต่กระบวนการรักษาพยาบาลดำเนินไปอย่างช้า ๆ
“การรักษาพยาบาลของทางเรือนจำค่อนข้างล่าช้า และใช้เวลาเป็นเดือน” อาการสั่นที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเขาจากปัญหาเส้นเลือดในสมองตีบก่อนหน้านี้ ไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาทางกายภาพ แต่เป็นการทดสอบทางจิตใจที่ลึกซึ้งกว่า “ร่างกายผมมันจะสั่นตลอด แต่อาการสั่นก็เป็น ๆ หาย ๆ มันสร้างความก่อกวนภายในจิตใจมากกว่า”
เมื่อได้รับข่าวการเสียชีวิตของพลเอกสุจินดา คราประยูร หนึ่งในผู้นำคณะรัฐประหารยุคคณะความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) และกลายมาเป็นนายรัฐมนตรีภายหลัง ความทรงจำในอดีตก็ถาโถมเข้ามา “ผมจำได้ว่าในปีที่เกิดเหตุตอนนั้น (พฤษภา 2535) บริษัทผมหยุดงานประมาณ 2-3 วันเลยครับ”
ก่อนขุนแผนย้อนภาพความทรงจำที่เขาเล่าให้ฟังเปรียบ “ผมเห็นคราบเลือด เศษผ้า กระดาษต่าง ๆ เต็มถนนไปหมด มองดูก็ให้ความรู้สึกที่หดหู่มาก”
แม้จะอยู่เบื้องหลังกำแพงสูง แต่ขุนแผนยังพยายามติดตามสถานการณ์การเมืองอยู่ตลอด สำหรับเขา รัฐบาลปัจจุบันทำให้ความน่าเชื่อถือของตนเองลดลงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการให้คำสัญญาก่อนเลือกตั้งแล้วกลับเพิกเฉยต่อคำเรียกร้องของประชาชนหลังได้ตำแหน่ง
“แม้ผมจะไม่ได้คาดหวังว่านิรโทษกรรมจะมีการพูดคุยเร็ว ๆ นี้จริงหรือไม่ แต่สำหรับผู้ต้องขังอื่นนั้นเขายังคงเชื่อมั่นว่าจะมีการพูดคุยจริงไง อย่ามาทำเป็นให้ความหวังแก่เขา”
ในช่วงท้ายของการพบกัน เขาได้มอบบทกวีที่เขาใช้เวลา 2-3 วัน ในการคิดขัดเกลา และอยากส่งต่อเนื้อหาออกมาให้โลกภายนอก
ยังแลเห็นเส้นชัยไม่เคยท้อ
ยังก้าวต่อเพื่อวันที่ฝันใฝ่
ยังเหน็บหนาวมีบ้างอยู่ข้างใน
ยังยิ่งใหญ่ยืนหยัดในศรัทธา
จะดีร้ายทางนี้ที่เลือกแล้ว
จะแน่แน่วตัวตนเพื่อค้นหา
การล้มลุกสุขโศกบางเวลา
จะก้าวข้ามโชคชะตาเพื่อคว้าชัย
“ผมยังเชื่อเสมอนะครับว่าประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงได้ และจะได้รับประชาธิปไตยอย่างแท้จริง” คำพูดสุดท้ายที่ขุนแผนฝากไว้ก่อนลาจากครั้งนี้
.
จนถึงปัจจุบัน ( 26 มิ.ย. 2568) ขุนแผนถูกคุมขังที่เรือนจำ มาแล้ว 344 วันหรือ 11 เดือน กับอีก 14 วัน โดยขุนแผนจะครบ 1 ปี ในวันที่ 18 ก.ค. 2568 นี้ ในช่วงแรกเขาถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และต้องถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์เป็นระยะเวลาหนึ่งเนื่องจากอาการเส้นเลือดในสมองตีบ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 ก่อนเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2568 จะถูกบังคับย้ายตัวมายังเรือนจำกลางบางขวาง
ร่วมเขียนจดหมายออนไลน์ถึงขุนแผน และผู้ต้องขังทางการเมือง ผ่านโครงการ Free Ratsadon โดยแอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่ลแนล
.
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
รู้จัก ‘ขุนแผน แสนสะท้าน’: เมื่อผู้ต้องขัง ‘112’ ต้องรักษาวัณโรคในเรือนจำ