เมื่อวันที่ 11 และ 13 พ.ย. 2567 ทนายความเข้าเยี่ยม “ขุนแผน” เชน ชีวอบัญชา ผู้ต้องขังทางการเมือง วัย 57 ปี ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ หลังพบว่าเขามีอาการร่างกายซีกซ้ายอ่อนแรง ควบคุมกล้ามเนื้อซีกซ้ายไม่ได้ มือซ้ายไม่มีเรี่ยวแรง กล้ามเนื้อมือและตาด้านซ้ายตกลง มีอาการลิ้นแข็งเคี้ยวอาหารไม่ได้ กินข้าวเคี้ยวไม่ถนัด พูดไม่ชัด ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2567
ขุนแผน เป็นผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 และดูหมิ่นศาล ซึ่งถูกศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษาจำคุก 3 ปี 6 เดือน จากคดีร่วมกิจกรรมเรียกร้องสิทธิประกันตัวสองนักกิจกรรมทะลุวัง เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2567 โดยเขาถูกคุมขัง โดยไม่ได้รับสิทธิประกันตัวเรื่อยมา
.
มีอาการป่วยตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. แต่ถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ วันที่ 8 พ.ย.
ก่อนหน้านี้ (1 พ.ย. 2567) ขุนแผนเปิดเผยว่า เขารู้สึกไม่มีแรง หยิบขวดน้ำมาจะดื่มก็ทำหล่น ไม่รู้สึกตัวหลายครั้ง และมีอาการชาครึ่งซีกซ้ายทั้งหมด ทั้งหัว ตัว และแขนขา พอผ่านวันแรกไป อาการไม่มีแรงก็เริ่ม ๆ ดีขึ้น แต่อาการชายังคงอยู่เหมือนเดิม ไม่น้อยลงเลย และรู้สึกว่าจะมีอาการมากขึ้นเรื่อย ๆ
วันที่ 4 พ.ย. 2567 ขุนแผนได้ถูกพาตัวไปแดนพยาบาลในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มีเจ้าหน้าที่ถามอาการเบื้องต้น มีการทดสอบกล้ามเนื้อโดยให้หยิบสิ่งของต่าง ๆ และให้วัดความดัน แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่พบอาการผิดปกติ แต่ขอเจาะเลือดไปตรวจเพิ่ม
ต่อมาวันที่ 5 พ.ย. 2567 เขาได้ถูกนำตัวไปแดนพยาบาลอีกครั้ง โดยได้พบกับแพทย์ ซึ่งมีการทดสอบอาการต่าง ๆ ทางร่างกายเช่นเดียวกันกับเมื่อวันที่ 4 พ.ย. แต่ในวันนี้แพทย์ถามเขาว่าอยากไปตรวจละเอียดเพิ่มที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ไหม ซึ่งขุนแผนแจ้งความประสงค์ว่าต้องการให้นำตัวเขาส่งไปโรงพยาบาล แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบจากแพทย์และเจ้าหน้าที่ว่าเขาจะได้ถูกส่งตัวไปเมื่อไหร่
จนกระทั่งในวันที่ 6 พ.ย. 2567 ทนายความได้เดินทางไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อยื่นหนังสือให้เรือนจำพิจารณาส่งตัวขุนแผนไปรักษาที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ทันที แต่ในวันถัดมา (7 พ.ย.) หลังการตรวจอาการแล้ว โรงพยาบาลราชทัณฑ์ก็แจ้งว่าไม่สามารถให้ขุนแผนแอดมิทที่โรงพยาบาลได้ เนื่องจากอาการไม่หนัก และส่งตัวกลับเรือนจำ
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 8 พ.ย.2567 ทนายความได้รับแจ้งจากญาติของขุนแผนว่า ทางเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แจ้งความเปลี่ยนแปลง โดยแพทย์ได้ตัดสินใจย้ายให้ขุนแผนเข้าไปแอดมิทที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์แล้ว
.
แพทย์วินิจฉัยเป็นเส้นเลือดในสมองตีบ และยังต้องรักษาฝ้าในปอด
วันที่ 11 พ.ย. 2567 ทนายความได้เข้าเยี่ยมขุนแผนที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ พบว่าตามแขนของเขามีแผ่นสำลีแปะอยู่ 4 จุด และการให้น้ำเกลือผ่านทางสายยางที่แขนข้างซ้าย ขุนแผนบอกว่าแผลส่วนใหญ่ตามแขนของตัวเองตอนนี้ มาจากเจ้าหน้าที่เจาะแขนกว่า 4 ครั้ง เพื่อใส่สายน้ำเกลือ ทำให้ต้องปิดแผ่นสำลีไว้หลายจุด แต่มี 1 จุดที่ขุนแผนเล่าว่าได้แผลมาจากรอยฉีดสีเพื่อทำการเอ็กซเรย์
เมื่อทนายสอบถามถึงอาการและโรคที่แพทย์วินิจฉัย เขาบอกว่าผลสรุปคือเขาเป็นเส้นเลือดในสมองตีบ แต่ในรายละเอียดของอาการและโรคเขาฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่จำได้ว่าแพทย์สั่งยาละลายลิ่มเลือดกับยาต้านเกล็ดเลือดให้ทาน
“เมื่อวานหมอบอกว่าให้กินยารักษา มันจะช่วยทำให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่จะไม่หายไปทันที อาการนี้จะเป็นอยู่อีกหลายเดือน” ขุนแผนบอกว่าได้ยินแล้วก็แปลกใจ เพราะคิดว่าจะเป็นอาการช่วงสั้น ๆ แค่ 1 เดือน ส่วนการจะต้องอยู่ที่โรงพยาบาลอีกนานแค่ไหน แพทย์บอกกับเขาว่าให้รอดูผลตรวจไปก่อน
นอกจากอาการเส้นเลือดสมองตีบแล้ว ขุนแผนยังมีอาการของวัณโรคที่เคยรักษาอยู่ข้างนอก เขาบอกว่าเมื่อเช้าได้ถูกส่งตัวไปเอ็กซ์เรย์ปอด แต่ยังไม่ทราบผล คงจะทราบอีกทีช่วงเย็น
ในวันนี้ ขุนแผนบอกว่าอาการกล้ามเนื้อไม่มีแรงหายดีแล้ว กลับมาเป็นปกติ เหลือเพียงอาการชา ส่วนการกินอาหาร และการพูดก็ดีขึ้นไม่ต้องพยายามเหมือนช่วงแรกแล้ว แต่ก็ยังไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่การกินน้ำยังต้องตั้งใจกินดี ๆ เพราะมีน้ำไหลออกจากมุมปากซ้ายอยู่บ้าง แต่ถือว่าน้อยลงมากแล้ว
ทั้งนี้ แพทย์ได้ขอเบอร์โทรพี่สาวของขุนแผนที่เป็นพยาบาลไว้ โดยขุนแผนบอกว่าตอนนี้พี่สาวคอยมาเยี่ยมและดูแลอยู่ตลอด
วันที่ 13 พ.ย. 2567 ทนายความได้เข้าเยี่ยมอีกครั้ง เพื่ออัปเดตอาการป่วยต่าง ๆ ของขุนแผน โดยพบว่าวันนี้เขารอทนายอยู่ด้วยท่าทีนิ่ง ๆ และเล่าให้ฟังว่าอาการที่เป็นอยู่จากวันที่เข้าเยี่ยมล่าสุดยังมีเหมือนเดิม แพทย์แจ้งว่าต้องรักษาไปอีก 5 – 6 เดือน
ขุนแผนมีอาการท้องเสียร่วมด้วย ในระหว่างที่แอดมิทอยู่โรงพยาบาล แต่ตอนนี้หายแล้ว ส่วนอาการอาเจียนก็ไม่มีแล้ว เขาคิดว่าน่าจะเป็นผลข้างเคียงที่มาจากการไปฉีดสีเพื่อเอ็กซเรย์ตรวจโรคเมื่อวันก่อน
เรื่องอาการวัณโรค ตอนนี้เขาได้ส่งเสมหะไปตรวจเพิ่ม ตอนเย็นถึงจะทราบผล แต่ขุนแผนเปิดเผยว่าตัวเองรักษาตั้งแต่อยู่ข้างนอก ตอนนี้ก็น่าจะเข้าเดือนที่ 6 แล้ว ทุกครั้งที่ตรวจเสมหะ ไม่เคยเจอเชื้อวัณโรคเลย เจอแค่ฝ้าในปอด โดยแพทย์ที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าบอกว่าให้เขาลองกินยารักษาไปก่อน ถ้าไม่ดีขึ้นอาจจะต้องส่องกล้องในปอดดู เพราะตัวเขาอายุมากแล้ว แต่การส่องกล้องก็อันตรายเกินไป จึงอยากให้ทานยารักษาไปก่อน
แต่ตอนนี้เขาอยู่ในเรือนจำ ฝ้าที่ปอดก็ยังไม่หายดี และก็ยังไม่ได้ส่องกล้องตามที่แพทย์ข้างนอกบอก
“เรื่องวัณโรค ถ้าผมต้องเริ่มรักษาใหม่ตั้งแต่ 1 ผมคงจะปฏิเสธการรักษา เพราะไม่อยากเริ่มใหม่แล้ว ยาตัวแรกที่ได้กินมันแรงมาก มีผลข้างเคียงสูง ผิวหนังจะแตกลอก และคันไปทั้งตัว”
“ในโรงพยาบาลมันน่าเบื่อมาก ผมรู้สึกแย่ลง กินข้าวไม่ลง นอนก็ไม่ค่อยหลับ นอนอยู่แต่บนเตียง รอบตัวมีแต่คนป่วย คนร้องโอดโอย เสียสุขภาพจิต”
ขุนแผนเล่าให้ฟังว่า เขาพักรักษาตัวอยู่ที่ชั้น 7 ของโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งเป็นห้องใหญ่ ที่มีห้องเล็กแยกอีก 6 – 7 ห้อง ในแต่ละห้องจะสามารถนอนได้เพียง 2 เตียง ที่โถงทางเดินตรงกลางห้องใหญ่จะมีที่นั่งกินอาหารและดูโทรทัศน์
“ที่นี่มันเดินไปไหนไม่ได้ อยู่ได้แต่ในห้อง เดินเล่นได้แค่ไปตรงโต๊ะกินข้าวกับดูทีวีที่โถงกลาง แต่ผมไม่ได้ดู เพราะไม่ได้เอาแว่นสายตามาด้วย และปกติผมก็ไม่ดูทีวีอยู่แล้ว” ขุนแผนบอกกับทนายว่าตอนนี้เขาเบื่อมาก แต่ก็ไม่จำเป็นต้องส่งแว่นตามาให้เขา เพราะตัวเองคงไม่ได้ใช้ และปกติก็จะทำแค่นอนหลับตา คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
“ที่โรงพยาบาลมีสิ่งเดียวที่พอจะทำให้มีสีสันได้คือการมีคนมาเยี่ยม”