18 ก.ค. 2567 เวลา 09.00 น. ศาลอาญากรุงเทพใต้นัดอ่านคำพิพากษาในคดีของ เชน ชีวอบัญชา สื่ออิสระเพจ ‘ขุนแผน แสนสะท้าน’, “มานี” เงินตา คำแสน ผู้ชุมนุมอิสระ และ “ไบรท์” ชินวัตร จันทร์กระจ่าง นักกิจกรรมในจังหวัดนนทบุรี ซึ่งถูกฟ้องในข้อหาตามมาตรา 112, ดูหมิ่นศาล, หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต
คดีนี้สืบเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2565 ได้มีการจัดกิจกรรม “ยืนบอกเจ้าว่าเราโดนรังแก” บริเวณหน้าศาลอาญากรุงเทพใต้ เรียกร้องให้ประกัน “ใบปอ” และ “บุ้ง” สองนักกิจกรรมทะลุวัง ที่ถูกคุมขังในขณะนั้นจากกรณีทำโพลสำรวจความเดือดร้อนจากขบวนเสด็จ และทั้งสองได้อดอาหารอยู่ในเรือนจำ โดยในกิจกรรมมีการร่วมกันร้องเพลง “โชคดีที่มีคนไทย” รวมทั้งการชูป้ายและติดป้ายวิจารณ์ศาล
สำหรับคดีนี้มี ระพีพงษ์ ชัยยารัตน์ สมาชิกกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) เป็นผู้เข้าแจ้งความให้ดำเนินคดีมาตรา 112 กับเชน, เงินตา และชินวัตร ที่ สน.ยานนาวา นอกจากนั้นยังมี สุรศักดิ์ กิจชาลารัตน์ เป็นผู้รับมอบอำนาจสำนักงานศาลยุติธรรมมาแจ้งความให้ดำเนินคดีทั้งสามในข้อหาดูหมิ่นศาล ก่อนศาลอาญากรุงเทพใต้อนุมัติหมายจับทั้งสามคนในเวลาต่อมา โดยตำรวจได้เข้าจับกุมเชนและเงินตาในวันที่ 9 มี.ค. 2566 ขณะเข้าร่วมกิจกรรมที่หน้าศาลอาญา ส่วนชินวัตรถูกแจ้งข้อหาและดำเนินคดีในภายหลัง
ในชั้นพิจารณาคดีของศาล ก่อนการเริ่มสืบพยานคดีนี้เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 2567 ทั้งสามได้แถลงขอถอนคำให้การเดิมที่ให้การปฏิเสธและให้การใหม่เป็นรับสารภาพตามฟ้อง โดยมีความหวังว่าเมื่อศาลมีคำพิพากษา ตนจะได้รับโอกาสให้รอการลงโทษไว้ ศาลจึงให้งดการสืบพยาน และมีคำสั่งให้สืบเสาะและพินิจพฤติการณ์เพิ่มเติม ก่อนนัดคำพิพากษาในวันที่ 18 ก.ค. 2567
.
เวลา 09.00 น. ที่ห้องพิจารณา 601 ขุนแผน, มานี และทนายความเดินทางมาถึงศาลและเข้าไปนั่งรอในห้องพิจารณา ก่อนที่ไบรท์จะถูกควบคุมตัวมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยมีนักกิจกรรมและญาติมาให้กำลังใจทั้งสามคนเป็นจำนวนมาก ทั้งยังมีสื่อมวลชนและผู้สังเกตการณ์คดีจากองค์กรสิทธิมนุษยชนมาร่วมสังเกตการณ์ด้วย
เวลา 09.30 น. ศาลออกนั่งอ่านคำพิพากษา สรุปใจความได้ว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามฟ้อง ฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จำคุกคนละ 3 ปี, ฐานร่วมกันดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษาในการพิจารณาคดี จำคุกคนละ 2 ปี, ฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา จำคุกคนละ 2 ปี และฐานใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต ปรับคนละ 200 บาท รวมโทษจำคุกคนละ 7 ปี ปรับคนละ 200 บาท
เนื่องจากจำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 3 ปี 6 เดือน ปรับ 100 บาท โดยไม่รอลงอาญา
ทั้งนี้ ศาลให้นับโทษจำคุกมานีและไบรท์ในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกในคดีอื่นที่มีคำพิพากษาแล้วตามคำขอของโจทก์
หลังฟังคำพิพากษาเสร็จสิ้นแล้ว ตำรวจประจำศาลได้ใส่กุญแจมือขุนแผนและมานี ควบคุมตัวไปรอที่ห้องเวรชี้ ขณะที่ทนายความยื่นคำร้องขอประกันในชั้นอุทธรณ์
อย่างไรก็ตาม เวลา 13.06 น. ศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำสั่งให้ส่งคำร้องขอประกันขุนแผนและมานีไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณา ซึ่งโดยปกติศาลอุทธรณ์จะมีคำสั่งออกมาในอีก 2-3 วันข้างหน้า ทำให้ในระหว่างนี้ขุนแผนและมานีต้องถูกนำตัวไปคุมขังไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และทัณฑสถานหญิงกลางก่อน
.
ในส่วนของไบรท์ หลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาในคดีนี้ให้จำคุกอีก 3 ปี 6 เดือน ทำให้ปัจจุบันไบรท์มีโทษจำคุกรวมทั้งสิ้น 14 ปี 18 เดือน แล้ว จากคดีทั้งหมดที่มีคำพิพากษาไป 7 คดี โดยในแต่ละคดียังอยู่ในระหว่างการอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น
มีข้อน่าสังเกตว่า ในคดีนี้ อัยการฟ้องทั้งสามคนรวม 3 กรรม คือ 1. ร่วมกันใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต 2. ร่วมกันดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษาในการพิจารณาคดีและร่วมกันหมิ่นประมาทผู้พิพากษาและศาลโดยการโฆษณา และ 3. ร่วมกันดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์
โดยอัยการบรรยายฟ้องในกรรมที่ 2 ว่า การแสดงแผ่นป้ายข้อความวิจารณ์ศาลที่หน้าศาลอาญากรุงเทพใต้ พร้อมทั้งเผยแพร่ผ่านยูทูบ เป็นความผิดฐานดูหมิ่นศาลฯ และหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ซึ่งโดยปกติศาลจะพิพากษาว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท และให้ลงโทษตามบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แต่ในคดีนี้ ศาลได้ลงโทษจำเลยทั้งสามในทั้ง 3 กรรม รวม 4 กระทงความผิด ทำให้จำเลยทั้งสามอาจจะถูกลงโทษจำคุกมากกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งกรณีนี้ทนายจะได้ปรึกษาหารือกับจำเลยและยื่นอุทธรณ์ต่อไป
ทั้งนี้ นอกจากทั้งสามคนดังกล่าว ยังมีศิลปิน สื่ออิสระ และผู้ชุมนุม ที่ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 จากพฤติการณ์เดียวกันคือ การร้องหรือเล่นดนตรีเพลง “โชคดีที่มีคนไทย” ของวงไฟเย็น ในการชุมนุมครั้งต่าง ๆ อย่างน้อย 4 คดี ได้แก่ คดีของวรัณยา-โชคดี (แยกเป็น 2 คดีถูกพิจารณารวมกัน), คดีของโชคดีคดีที่ 2, คดีของวรินทร์ทิพย์ โดยทั้ง 4 คดีนี้ ศาลอาญาได้พิพากษาว่ามีความผิดตามฟ้อง แต่ให้รอลงอาญาจำเลยในทุกคดี
จากคำพิพากษาดังกล่าว ทำให้จนถึงปัจจุบันนี้ (18 ก.ค. 2567) มีผู้ต้องขังคดีการเมืองถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ อย่างน้อย 45 ราย แบ่งเป็นผู้ถูกคุมขังระหว่างต่อสู้คดี 24 ราย, ผู้ต้องขังในคดีที่สิ้นสุดแล้ว (นักโทษเด็ดขาด) 19 ราย และเยาวชนที่ถูกคุมขังในสถานพินิจฯ ตามคำสั่งใช้มาตรการพิเศษแทนการมีคำพิพากษาอีก 2 คน
.
(เพิ่มเติมข้อมูล)
ต่อมาวันที่ 21 ก.ค. 2567 ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัวทั้งมานีและขุนแผน โดยเห็นว่าจำเลยให้การรับสารภาพ คดีมีอัตราโทษสูง หากปล่อยตัวชั่วคราว เกรงว่าจำเลยจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ประกันตัว
.