เปิดบันทึกสืบพยาน คดี ม.112 “อานนท์-ฮิวโก้” ชุมนุม #2ธันวาไปห้าแยกลาดพร้าว จำเลยยืนยันประชาชนมีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์-ตั้งคำถามกับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์

ในวันที่ 25 มิ.ย. 2568 เวลา 09.00 น. ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาในคดีของ อานนท์ นำภา และ“ฮิวโก้” จิรฐิตา (สงวนนามสกุล) ข้อหาหลักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112, มาตรา 116 และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จากกรณีปราศรัยในการชุมนุม #2ธันวาไปห้าแยกลาดพร้าว เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2563

คดีนี้ผู้กล่าวหา เป็นสมาชิกกลุ่มการเมืองที่เคลื่อนไหวปกป้องสถาบันฯ รวม 6 คน และยังมี ธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความของอดีตพุทธะอิสระ ที่เข้ากล่าวหาเพิ่มเติม

สำหรับการชุมนุมเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2563 มีขึ้นหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ขาดคุณสมบัติความเป็นนายกรัฐมนตรี จากกรณีพักอาศัยในบ้านพักข้าราชการทหารแม้เกษียณอายุไปแล้ว และได้รับสวัสดิการที่เกี่ยวเนื่อง

.

ในวันที่ 2 ธ.ค. 2563 กลุ่มราษฎร นัดหมายชุมนุมโดยมีการเปลี่ยนแปลงสถานที่จากบริเวณศาลรัฐธรรมนูญ มาที่ห้าแยกลาดพร้าว ในเวลา 16.00 น. และประกาศยุติการชุมนุมอย่างสงบในเวลา 00.00 น. โดยมีชื่อการชุมนุมอีกชื่อหนึ่งว่า “ไล่จันทร์โอชาออกไป” 

วัตถุประสงค์ คือ การวิจารณ์การทำงานของสถาบันตุลาการ หลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ พล.อ. ประยุทธ์ ไม่ขาดคุณสมบัติการเป็นนายกฯ ตลอดการชุมนุมมีเวทีปราศรัยหลักบริเวณห้าแยกลาดพร้าว ซึ่งมีแกนนำผลัดเปลี่ยนกันขึ้นปราศรัย รวมไปถึงเน้นย้ำประเด็นข้อเสนอเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์

บนเวทีปราศรัย ยังมีกิจกรรมจำลองบัลลังก์ศาลรัฐธรรมนูญ กิจกรรมพิธีกรรม แจกกล้วยลิง – ทุบศาลพระภูมิที่ทำจากปูน รวมถึงกิจกรรมเผาภาพ และฉีกตำรารัฐศาสตร์ของหนึ่งในตุลาการ บนเวทีปราศรัย

ต่อมา ตำรวจ สน.พหลโยธิน ได้ออกหมายเรียกแกนนำและผู้ปราศรัยในกิจกรรมดังกล่าว รวม 7 ราย ไปแจ้งข้อกล่าวหา โดยกรณีของอานนท์ นำภา, พริษฐ์ ชิวารักษ์, ภาณุพงศ์ จาดนอก และ ชินวัตร จันทร์กระจ่าง ถูกแจ้งข้อหาเมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 2563 ส่วนปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล และ “ฮิวโก้” จิรฐิตา (สงวนนามสกุล) ถูกแจ้งข้อหาเมื่อวันที่ 4 ม.ค. และ 5 ม.ค. 2564 ตามลำดับ 

นอกจากนั้นยังมี คริษฐ์ (สงวนนามสกุล) ในขณะถูกดำเนินคดีเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 อายุ 18 ปี สมาชิกกลุ่ม “คะน้าราดซอส”​ ถูกธีรยุทธ​ สุวรรณเกษร เข้าแจ้งความ จึงได้เดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหา เมื่อวันที่ 15 ก.พ. 2564

ทั้งหมดถูกกล่าวหาใน 9 ข้อกล่าวหา ทั้งข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, มาตรา 116, มาตรา 215, มาตรา 216, ฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะฯ มาตรา 10, กีดขวางทางสาธารณะ ตามมาตรา 385, พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ มาตรา 108 และ 114, ใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต 

ต่อมาพบว่าผู้กล่าวหาในคดีนี้ในมาตรา 112 ทั้งหมด 7 คน โดยกล่าวหาจากคำปราศรัยของผู้ต้องหาแต่ละคน โดยผู้กล่าวหาเป็นกลุ่มที่เคลื่อนไหวในลักษณะปกป้องสถาบันฯ โดยหลายคนกล่าวหาคดีมาตรา 112 อีกหลายคดี ได้แก่ วราวุธ สวาย, นพดล พรหมภาสิต, พรรณทิพย์ ขุนเสวี, ว่าที่ ร.ต.นรินทร์ ศักดิ์เจริญชัยกุล, สุเฑพ ศิลปงาม, ชุติมา เลี่ยมทอง และ ธีรยุทธ สุวรรณเกษตร

วันที่ 19 พ.ย. 2564 พนักงานอัยการได้มีคำสั่งฟ้องคดีชุมนุม #25พฤศจิกาไปSCB ที่บริเวณหน้าสำนักงานใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์ เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2563 และคดีชุมนุม #2ธันวาไปห้าแยกลาดพร้าว เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2563 ซึ่งมีข้อหาหลักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ต่อศาลอาญา พร้อมกันสองคดี

(ภาพบรรยากาศการชุมนุม #ม็อบ2ธันวาไล่จันทร์โอชา ที่บริเวณห้าแยกลาดพร้าว ถ่ายโดย Thai PBS)

.

ในคำฟ้อง โดยสรุปกล่าวหาว่า ก่อนเกิดเหตุ จำเลยทั้ง 7 กับพวก ร่วมกันประกาศชักชวนประชาชนให้มาร่วมการชุมนุม #ม็อบ2ธันวาไล่จันทร์โอชาออกไป ในวันที่ 2 ธ.ค. 63 เวลา 16.00 น. ที่บริเวณห้าแยกลาดพร้าว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเรียกร้องให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกจากตำแหน่งนายกฯ, ให้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขรัฐธรรมนูญ และปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ 

ในวันเกิดเหตุ มีผู้เข้าร่วมชุมนุมประมาณ 3,000 คน โดยมีการปราศรัยผ่านเครื่องขยายเสียง ตะโกน โห่ร้อง ด้วยคำพูดหรือสัญลักษณ์ “หยาบคาย” โจมตีกล่าวหาสถาบันพระมหากษัตริย์ อันมีสาระสำคัญว่าทรงใช้พระราชอำนาจแทรกแซงฝ่ายตุลาการและฝ่ายบริหารจนเกิดความไม่ยุติธรรม มีการขีดเขียนหรือพ่นสีข้อความลงบนกระดาษ ลงบนเสาทางเดินยกระดับของรถไฟฟ้า และลงบนถนนสาธารณะ ตลอดจนเปิดเพลงหรือทำการแสดงดนตรี 

ผู้ชุมนุมยังมีการนำแผงเหล็กวางกั้นปิดการจราจร ตั้งวางเวที จอภาพขนาดใหญ่และเป็ดลมยาง จนเป็นอุปสรรคต่อการจราจรของประชาชนทั่วไป และไม่ได้มีมาตรการในการป้องกันไวรัสโควิด-19 เมื่อเจ้าหน้าที่ประกาศให้ยุติการชุมนุม แต่ก็ยังขัดขืนไม่เลิกไป

คำฟ้องได้ยกคำปราศรัยที่จำเลยแต่ละรายพูดปราศรัยเป็นบางส่วนมาไว้ โดยอัยการระบุว่า เมื่อบุคคลที่ 3 ได้ฟังปราศรัยดังกล่าว ย่อมทำให้เกิดเข้าใจว่า กษัตริย์ทั้ง 10 รัชกาลในราชวงศ์จักรี ทรงใช้พระราชอำนาจเข้าไปแทรกแซงการเมืองการปกครองของฝ่ายบริหารและตุลาการ ทรงอยู่เบื้องหลังการใช้กำลังทรมานกับประชาชน อันเป็นการใส่ความด้วยข้อความหยาบคาย เป็นเท็จและบิดเบือน ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติ เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น และถูกเกลียดชังอย่างร้ายแรง

ดูข้อมูลเพิ่มเติมในฐานข้อมูลคดี: คดี 112 “7 นักกิจกรรม” ปราศรัยม็อบ #2ธันวาไปห้าแยกลาดพร้าว วิจารณ์กระบวนยุติธรรม

.

ในนัดพร้อมเพื่อประชุมคดี สอบคําให้การ และตรวจพยานหลักฐาน นักกิจกรรมทั้งเจ็ด พร้อมทั้งทนายจําเลยเดินทางไปศาล ได้แถลงแนวทางการต่อสู้คดีร่วมกันว่า จําเลยทั้งเจ็ดไม่ได้กระทําความผิด การชุมนุมชอบด้วยกฎหมาย จําเลยทั้งเจ็ดใช้เสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต 

เดิมกำหนดนัดสืบพยานโจทก์ในช่วงปลายปี 2566 แต่ต่อมาชินวัตรได้ขอถอนคำให้การเดิม เป็นรับสารภาพตามฟ้อง ทำให้ศาลสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราว โดยยกเลิกนัดที่เหลือทั้งหมด สำหรับจำเลยที่ยังคงให้การปฏิเสธ ให้อัยการยื่นฟ้องเข้ามาใหม่ หลังจากนั้นจึงได้กำหนดนัดสืบพยานใหม่ 

คดีในส่วนของไบรท์ ชินวัตร ศาลอาญาจะพิพากษาลงโทษจำคุกรวม 6 ปี และปรับรวม 22,200 บาท ก่อนลดโทษลงกึ่งหนึ่ง เนื่องจากให้การรับสารภาพ ลดเหลือจำคุก 3 ปี ปรับ 11,100 บาท โดยไม่รอลงอาญา

ส่วนคดีของผู้ถูกฟ้องเข้ามาใหม่ 6 คน ศาลนัดสืบพยานใหม่รวมทั้งหมด 16 นัด อัยการนำพยานโจทก์เข้าสืบทั้งหมด 27 ปาก ระหว่างวันที่ 28-29 ม.ค., 4-6, 19 ก.พ., 11-14, 18-20 มี.ค., และ 8-9 เม.ย. 2568 ประกอบด้วย พยานผู้กล่าวหา 3 ปากได้แก่ ชุติมา เลี่ยมทอง, ธีรยุทธ สุวรรณเกษร และ พ.ต.ท.ชลากร ปานแดง 

พยานตำรวจฝ่ายสืบสวน 4 ปาก ได้แก่ พ.ต.อ.อรรถวุฒิ นิวาตโสภณ, พ.ต.ท.วิบูลย์ นนทะแสง, ร.ต.อ.พัชรพล กลิ่นจิตโต และ พ.ต.ท.จีรศักดิ์ ผู้ปลื้ม

พยานตำรวจผู้ตรวจบัญชีโซเชียล 1 ปาก ได้แก่ พ.ต.ต.อิสรพงศ์ ทิพย์อาภากุล

พยานตำรวจตรวจพิสูจน์การตัดต่อคลิป 3 ปาก ได้แก่ ร.ต.อ.ธนรัช สุขกาย, ร.ต.ท.สิทธิพงษ์ พรหมแช่ม และ พ.ต.ต.ธัญญสิทธิ์ เกิดโภคทรัพย์

พนักงานสอบสวน 11 ปาก ได้แก่ ร.ต.อ.ประวิทย์ พวงสมบัติ, พ.ต.ท.สราวุธ บุตรดี, พ.ต.ท.นพดล ดรศรีจันทร์, ร.ต.ท.ศรัณย์ สมานบุญวนิช, พ.ต.ท.พิภัสสร์ พูนลั่น, ร.ต.ท.พงศ์พิช สุธาภรณ์, พ.ต.ต.ศักดินาถ หนูฉ้ง, พ.ต.ท.วิโรฒม์ ผลบุญ, ร.ต.อ.หญิง ภัทรกันย์ จันทร์ทรง, ร.ต.ท.คีรีเอก บุญมงคล และ ณัฐวุฒิ ปราบคนชั่ว

เจ้าหน้าที่เขตจตุจักร ได้แก่ พิสมัย เรืองศิลป์, จำลอง ทองพลับ และ อาฤทธิ์ ศรีทอง

พยานผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย 1 ปาก ได้แก่ กิตติพงศ์ กมลธรรมวงศ์ และ พยานผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาไทย 1 ปาก ได้แก่ ปรัชญา ใจภักดี 

ฝ่ายจำเลยนำพยานเข้าสืบทั้งหมด 5 ปาก ในวันที่ 22-23 เม.ย. 2568 ประกอบด้วย พยานผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย 1 ปาก ได้แก่ สมชาย ปรีชาศิลปกุล พยานเรื่องงบประมาณของสถาบันกษัตริย์ 1 ปากได้แก่ เทวฤทธิ์ มณีฉาย พยานเรื่องการดำเนินคดีมาตรา 112 1 ปาก ได้แก่ ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ และ จำเลยขึ้นเบิกความด้วยตนเอง 2 ปาก ได้แก่ อานนท์ นำภา และ “ฮิวโก้” จิรฐิตา

ระหว่างพิจารณา จำเลยอีก 4 คนไม่ได้เดินทางมาศาล ทำให้ถูกศาลออกหมายจับ และจำหน่ายคดีออกจากสารบบ หากจับกุมได้ จึงจะนำคดีขึ้นมาพิจารณาใหม่ ทำให้เหลือจำเลยที่ต่อสู้อยู่ คืออานนท์ นำภา และจิรฐิตา

แม้การสืบพยานตลอด 16 นัด อานนท์ผู้เป็นจำเลยจะถูกคุมขังในเรือนจำ เนื่องจากไม่ได้ประกันตัวในชั้นอุทธรณ์ในคดีอื่น เขายังทำหน้าที่เป็นทนายความในคดีนี้ด้วย ในทุกนัดจะมีประชาชนมาร่วมฟังการสืบพยานและให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง โดยอานนท์เป็นผู้ถามค้านพยานโจทก์ส่วนใหญ่ในคดีนี้ด้วยตนเอง

การนำสืบของโจทก์ พยายามกล่าวหาว่า ข้อความที่จำเลยกล่าวปราศรัย แสดงสัญลักษณ์ ยุยง ปลุกปั่น ให้กลุ่มผู้ชุมนุมและประชาชนอื่นทั่วไปเมื่อได้ยินได้ฟังเกิดความเกลียดชังองค์พระมหากษัตริย์และสถาบันพระมหากษัตริย์ ชักจูงให้ประชาชนแบ่งออกเป็นฝักฝ่าย เกิดความสงสัย เคลือบแคลง เสื่อมศรัทธาในการพิจารณา พิพากษา และคำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญ หรือของศาลรัฐธรรมนูญ และการบริหารงานของฝ่ายบริหาร เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร

ด้านฝ่ายจำเลยต่อสู้ว่า ไม่ได้กระทําความผิดตามฟ้อง การชุมนุมนั้นเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ที่ชุมนุมไม่ใช่สถานที่แออัดและไม่ได้ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 จําเลยใช้เสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตและเหตุการณ์ที่ปราศรัยเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์เป็นเหตุการณ์ที่ปรากฏตามข่าวและตามประวัติศาสตร์ไทยล้วนเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น

ก่อนศาลฟังคำพิพากษาในวันที่ 25 มิ.ย. 2568 นี้ ชวนอ่านใจความสำคัญของคำเบิกความพยานโจทก์และพยานจำเลยในคดีนี้

.

.

ในคดีนี้มี พ.ต.ท.ชลากร ปานแดง สารวัตรสืบสวน สน.พหลโยธิน, ชุติมา เลี่ยมทอง สมาชิกกลุ่มพลังประชาชนปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ (พปปส.) และ ธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความอดีตพุทธะอิสระ

 เป็นผู้กล่าวหา โดยที่มีวราวุธ สวาย เป็นผู้กล่าวหาอานนท์ นำภา แต่ไม่ได้เดินทางมาเบิกความในศาล

สำหรับ พ.ต.ท.ชลากร และ พ.ต.อ.อรรถวุฒิ นิวาตโสภณ ได้เดินทางไปที่ชุมนุมเวลาประมาณ 16.00 น. พยานทั้งสองคนอยู่บริเวณทางเท้าใกล้ห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว โดยมีอรรถวุฒิประกาศให้ผู้ชุมนุมทราบว่าการชุมนุมที่เกิดขึ้น ไม่ได้มีการแจ้งการชุมนุมไว้ ขอให้ยุติการชุมนุม

พยานทั้งสองคนเบิกความสอดคล้องกันว่าในช่วงปี 2563 มีการชุมนุมบ่อยครั้ง โดยพยานได้รับคำสั่งให้จัดชุดสืบสวนสอบสวนติดตามหาข่าว ลงพื้นที่การชุมนุม โดยลำโพงที่เจ้าหน้าที่ใช้ประกาศ มีความดังอยู่ในระยะกว้าง ประมาณ 50 เมตร 

พ.ต.ท.ชลากร เบิกความว่ามีการตั้งเวที และปิดการจราจร โดยใช้แผงเหล็กกั้น และมีการปราศรัยโดยแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุม เช่น อานนท์ พริษฐ์ และปนัสยา โดยใช้เครื่องขยายเสียง จนกระทั่งเวลา 17.00 น. มีผู้ชุมนุมเข้าร่วมชุมนุมจำนวนมาก จนทำให้ต้องการปิดการจราจรฝั่งพหลโยธินทุกช่องทาง 

ส่วนชุติมา พยานผู้กล่าวหาจำเลยที่ 5 (จิรฐิตา) เบิกความว่า ในวันเกิดเหตุมีการรวมกลุ่มกันชุมนุม โดยพยานจำได้ว่าก่อนหน้านั้นในช่วงปลายเดือน พ.ย. 2563 มีการโพสต์เชิญชวนให้ประชาชนเข้าร่วมการชุมนุมในวันที่ 2 ธ.ค. 2563 เพื่อไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี โดยเพจที่เชิญชวนเป็นของกลุ่มคณะราษฎร แต่พยานจำชื่อเพจไม่ได้ แต่จำได้ว่ามีแกนนำ อาทิเช่น รุ้ง, อานนท์, เพนกวิน ได้แชร์โพสต์การชุมนุมด้วยเช่นเดียวกัน 

ชุติมาดูไลฟ์ย้อนหลังเห็นว่าจำเลยที่ 5 ได้ขึ้นพูดปราศรัยทำนองว่า จำเลยไปชุมนุมที่รัฐสภาเกียกกาย มีการสลายการชุมนุมโดยใช้น้ำผสมสารเคมี และพูดทำนองว่าสถาบันกษัตริย์เกี่ยวข้องกับเหตุดังกล่าว และกล่าวเกี่ยวกับถ้อยคำ “เก่งมาก กล้ามาก ขอบใจ” ที่ใช้มาตรา 112 ปิดปากทำให้คนกลัว ซึ่งเป็นถ้อยคำที่ในหลวงรัชกาลที่ 10 เคยตรัสชมพสกนิกรที่เข้าเฝ้า การปราศรัยของจำเลยจึงเชื่อได้ว่าเป็นการว่าร้ายพระมหากษัตริย์

นอกจากนี้ จำเลยยังมีการกล่าวว่าใช้มาตรา 112 ดำเนินคดีกับผู้เห็นต่างทางการเมือง ซึ่งพยานมองว่ามาตรา 112 ไม่เกี่ยวกับการเมือง การกระทำของจำเลยเป็นการหมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย เนื่องจากมาตรา 112 มีไว้ปกป้องสถาบันกษัตริย์ และรัฐธรรมนูญได้บัญญัติว่าพระมหากษัตริย์อยู่ในฐานะอันละเมิดมิได้

พยานยังเบิกความถึงความคิดเห็นของตนว่า คิดว่าจริง ๆ แล้วคนเราไม่เท่าเทียมกันอยู่แล้ว เพราะเรามีสถานะ  อย่างสถานะกษัตริย์ก็ไม่ควรเท่าเทียมกับประชาชนทั่วไป ในฐานะที่พยานเป็นพลเมืองที่เทิดทูนเลย ไปแจ้งความให้ดำเนินคดี และได้ไปให้การกับพนักงานสอบสวนไว้ในคดีนี้

ธีรยุทธ พยานผู้กล่าวหาจำเลยที่ 6 (คริษฐ์) ขึ้นเบิกความให้การว่า ในวันเกิดเหตุ ช่วงที่มีการปราศรัย พยานดูจากการถ่ายทอดสด เป็นการปราศรัยของคะน้าราดซอส ในช่วงแรกจำเลยปราศรัยโดยใช้คำหยาบคายพูดถึงอดีตกษัตริย์ตั้งแต่สมัยรัชกาล ที่ 1 จนถึงรัชกาลที่ 9 โดยพยานเบิกความไล่เรียงถึงเนื้อหาที่จำเลยปราศรัย พร้อมกับยกคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต่อการชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิต ที่เห็นแกนนำสามรายปราศรัยพร้อมข้อเสนอ 10 ข้อ เป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลาย อาจเข้าข่ายการล้มล้างการปกครองฯ

ก่อนเริ่มการถามค้านพยานปาก พ.ต.ท.ชลากร ผู้พิพากษาได้เรียกอานนท์ ในฐานะจำเลยที่ 1 ในคดีนี้เข้าไปคุยที่บริเวณหน้าบัลลังก์ ซึ่งไม่ทราบรายละเอียดการพูดคุยชัดเจน แต่อานนท์ตอบกลับด้วยเสียงที่ดังฟังชัดว่า “ต่อให้สู้แล้วลงหนัก ดีกว่าต้องรับในสิ่งที่ไม่ได้ทำผิด” ซึ่งหลังจากพูดจบ ผู้พิพากษาก็ปรามให้อานนท์พูดด้วยเสียงที่เบาลงกว่านี้ 

จากนั้น ผู้พิพากษาอีกท่านหนึ่งได้เข้ามาพูดคุยด้วยเสียงที่ดังว่า ศาลถามว่าจะรับสารภาพหรือไม่รับ คนที่รับสารภาพไม่ได้กระทบกับคนที่ปฏิเสธข้อกล่าวหา และจะมีการแยกพิจารณาคดีหรือไม่แยกการพิจารณาก็อยู่ที่ดุลยพินิจศาล ทำให้อานนท์เดินไปพูดคุยกับจำเลยที่ 5 (จิรฐิตา) บริเวณที่นั่งฟังของจำเลย เพื่อสรุปให้จำเลยที่ 5 ฟังว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น โดยสุดท้ายจำเลยที่ 5 ก็ยืนยันปฏิเสธข้อกล่าวหาพร้อมกับอานนท์ และขอต่อสู้คดีต่อไป 

พ.ต.ท.ชลากร เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้าน ทราบว่าการชุมนุมที่เกิดขึ้นมีข้อเรียกร้องให้ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และมีข้อเรียกร้องให้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยเห็นว่าในส่วนที่เป็นปัญหาในการชุมนุมนี้คือประเด็นข้อเรียกร้องเรื่องที่มาของ สว. ซึ่งมาจากการแต่งตั้ง ไม่ใช่จากการเลือกตั้งของประชาชน รวมถึงข้อเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ 

ส่วนที่ทนายถามเกี่ยวกับการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ โดยที่ประชาชนจะสามารถเข้าชื่อแก้ไขได้หรือไม่นั้น พยานขอไม่ตอบคำถามนี้ เนื่องจากไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ แต่พยานทั้งสองรับทราบว่าในสภาผู้แทนราษฎรมีการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่ 

ในปากของ ชุติมา อานนท์ได้เป็นทนายถามค้านด้วยตนเองว่า พยานเป็น Active Citizen เคยร่วมการชุมนุมใช่หรือไม่ พยานตอบว่าใช่ เคยเข้าร่วมการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่ม กปปส. เนื่องจากมีความคิดแนวเดียวกันในขณะนั้นคือขับไล่ ทักษิณ ชินวัตร และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

พยานตอบทนายจำเลยว่าเคยแจ้งความจำเลยที่ 5 เป็นครั้งแรก พยานเคยแจ้งความกับกลุ่มแกนนำซึ่งเป็นจำเลยในคดีนี้ เช่น อานนท์ พริษฐ์ ปนัสยา ชินวัตร ภาณุงพงศ์ เพราะเห็นว่าจำเลยทำผิดกฎหมาย พยานไม่ได้มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย

หลังให้พยานดูภาพวันแจ้งความจากเฟซบุ๊กของพยาน ซึ่งมีประเด็นเกี่ยวกับการแจ้งความมาตรา 112 กับกลุ่มแกนนำ ชุติมาดูแล้วชี้ภาพพยานที่สวมหน้ากากอนามัย ส่วน นพดล พรหมภาสิต คือคนสวมหน้ากากอนามัยสีเหลือง แต่พยานยืนยันว่าไม่ได้ไปด้วยกัน พยานไม่ได้อยู่ในกลุ่ม ศูนย์ช่วยเหลือด้านกฎหมายผู้ถูกล่วงละเมิดบนโลกออนไลน์ (ศชอ.) โดยเคยได้ยิน “กลุ่มมินเนี่ยน” แต่ไม่รู้จักและไม่ได้เป็นสมาชิก แต่ยอมรับว่าติดตาม “กลุ่มผู้ชุมนุม 3 นิ้ว” มาโดยตลอด

ทนายจำเลยถามว่าการชุมนุมที่รัฐสภาเกียกกายวันที่ 17 พ.ย. 2563 ได้ไปหรือไม่ พยานตอบว่าได้ไป แต่กลับก่อนเนื่องจากต้องไปรับขบวนเสด็จ ทนายจำเลยให้พยานดูภาพพยานในที่ชุมนุม พยานดูแล้วตอบว่าพยานคือคนสวมหมวกลายธงชาติ

ทนายจำเลยถามว่าแม้พยานจะเห็นต่างทางการเมืองแต่ก็ไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมทั้ง 2 ฝ่าย ใช่หรือไม่ พยานตอบว่า พยานเห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงหากผู้ชุมนุมใช้ความรุนแรง เช่น ปาระเบิด จุดไฟเผา หน่วยงานรัฐก็จำเป็นต้องใช้กำลัง

นอกจากนี้ ชุติมาได้ยอมรับว่าข้อความ “เก่งมาก กล้ามาก ขอบใจ” ในหลวง ร.10 ทรงตรัสกับประชาชนที่ไปชูพระบรมฉายาลักษณ์กลางม็อบ 3 นิ้ว 

ทนายจึงถามต่อว่ากลุ่มคนที่ไปคัดค้านการชุมนุมของเด็ก ๆ และไปรับเสด็จเป็นการใช้สิทธิที่ถูกต้องหรือไม่ พยานตอบว่าเป็นสิทธิของคน ๆ นั้น พยานเห็นว่าเหตุที่ในหลวงตรัสชมคนที่ไปต่อต้านเด็ก ๆ เหมือนการที่มีคนมารักเรา มันก็ดี ไม่ใช่เรื่องของการเมือง

ทั้งนี้ ทนายให้ชุติมาดูโพสต์บนเฟซบุ๊กของพยานแล้วถามว่าหากติชมโดยสุจริตจะผิดมาตรา 112 หรือไม่ พยานไม่ตอบ ส่วนโพสต์สถิติคดีมาตรา 112 พยานได้สืบค้นมาก่อนโพสต์แล้ว พยานตอบว่าในคดีนี้ พยานไม่เห็นเฟซบุ๊กของจำเลยที่ 5 โพสต์เชิญชวน 

ในการตอบคำถามค้านของทนายจำเลยที่ 1 ในปากของ ธีรยุทธ โดยพยานไม่ได้ไปที่เกิดเหตุ แต่ติดตามกลุ่มบุคคลที่ออกมาแสดงความเห็นในที่สาธารณะเป็นระยะ ๆ พยานจำไม่ได้ว่าเหตุในคดีนี้มีการเชิญชวนให้ไปร่วมชุมนุมหรือไม่ เมื่อถูกถามถึงข้อเรียกร้อง พยานตอบว่าจำเลยต้องการให้ยกเลิกมาตรา 112 และยกเลิกมาตรา 6 แห่งรัฐธรรมนูญ 

แต่พยานไม่ทราบว่าโทษมาตรา 112 สูงขึ้นหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 หรือไม่ พยานเคยได้ยินชื่อ อ.คณิต ณ นคร แต่ไม่ทราบว่าท่านเคยเป็นคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย หรือมีการเรียกร้องให้แก้ไขกฎหมายให้ผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษในคดีมาตรา 112 เป็นหน่วยงานหรือผู้แทนพระองค์

พยานยอมรับว่ามีการเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ แต่ไม่ขอตอบคำถามเกี่ยวกับการที่จำเลยเรียกร้องให้พลเอกประยุทธ์ลาออกเพราะมาจากการรัฐประหาร หรือการที่พลเอกประยุทธ์แต่งตั้งวุฒิสภา 250 คน พยานไม่ตอบคำถามเกี่ยวกับคำว่า “นายกฯ คนนอก” โดยระบุว่าไม่เกี่ยวกับประเด็น พยานเบิกความเพิ่มเติมว่า คริษฐ์ใช้สิทธิเสรีภาพนอกขอบเขตรัฐธรรมนูญ ก้าวล่วงสถาบันกษัตริย์ และกรณีนี้เคยมีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วว่าเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลาย

พยานยอมรับว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูปประเทศไทยและเป็นยุทธศาสตร์ชาติ แต่การปฏิรูปไม่ได้รวมถึงการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ พยานตอบไม่ได้ว่าการปฏิรูปทำให้ดีขึ้นหรือไม่ ต้องดูจากสิ่งที่นำเสนอ

เมื่อถูกถามถึงประวัติศาสตร์ไทย พยานตอบว่าประเทศไทยเปลี่ยนการปกครองเป็นการโค่นอำนาจพระมหากษัตริย์และไม่มีการดำเนินคดีกับผู้ดำเนินการดังกล่าว เนื่องจากมีการนิรโทษกรรม พยานระบุว่าการปกครองจะเป็นแบบใดก็ได้ แต่ขอแค่มีสถาบันกษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจ 

อาานท์ได้ถามค้าน ธีรยุทธ เบิกความตอบว่า ไม่ได้ศึกษาว่าข้อความที่ปราศรัยเป็นความจริงหรือเท็จก่อนแจ้งความดำเนินคดี พยานไม่เชื่อว่ารัชกาลที่ 7 เคยถูกกระทรวงการคลังฟ้อง และถึงแม้อานนท์จะมีการแสดงคำพิพากษาศาลแพ่งระหว่างกระทรวงการคลัง และรัชกาลที่ 7 พยานก็ยังยืนยันว่าไม่เชื่อว่าที่จำเลยที่ 6 ปราศรัยเป็นเรื่องจริง

พยานเคยเป็นทนายให้พระพุทธอิสระและเคยแจ้งความกลุ่มคณะก้าวหน้า นักเรียน ม.6 และกลุ่มแกนนำราษฎร รวมถึงเคยยื่นเรื่องให้ กกต. ยุบพรรคไทยรักษาชาติ กรณีเสนอฟ้าหญิงอุบลรัตน์ฯ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

พยานไม่ตอบคำถามว่าเคยมีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญวางหลักว่าทรงปกเกล้ามิใช่ปกครองหรือไม่ พยานตอบว่าคำปราศรัยของจำเลยที่ 6 ไม่ได้ดูหมิ่นอดีตกษัตริย์ที่สวรรคตแล้วทั้งหมด เพราะคำว่า “สถาบันกษัตริย์” รวมถึงผู้ที่มีชีวิตอยู่ด้วย 

ในตอนแจ้งความ พยานไม่ได้ระบุกษัตริย์องค์ใดเป็นพิเศษ แต่ฟังการปราศรัยทั้งหมดและเห็นว่าเจตนาจำเลยคือการลดทอนสถานะกษัตริย์ พยานไม่แน่ใจว่าจำเลยที่ 6 ยืนอยู่บนพื้นหรือเวทีย่อย พยานไปแจ้งความคนเดียวและมอบคลิปเป็นหลักฐาน ในคลิปไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 6 พูดคุยกับจำเลยอื่น พยานเคยได้ยินชื่อกลุ่ม ศปปส. แต่ไม่เคยเห็น “กลุ่มมินเนี่ยน” 

อัยการโจทก์ไม่ถามติง

.

พ.ต.อ.อรรถวุฒิ นิวาตโสภณ ตำรวจชุดสืบสวนจาก สน.พหลโยธิน ลงพื้นที่ระหว่างชุมนุม, พ.ต.ท.วิบูลย์ นนทะแสง สารวัตรสืบสวนจากกองกำกับการสืบสวนนครบาล 4 ลงพื้นที่ระหว่างชุมนุม, ร.ต.อ.พัชรพล กลิ่นจิตโต ฝ่ายสืบสวนจาก สน.พหลโยธิน ประจำอยู่ที่สถานีตำรวจเพื่อรวบรวมข้อมูล และ พ.ต.ท.จีรศักดิ์ ผู้ปลื้ม กองพิสูจน์หลักฐานกลาง ลงพื้นที่ตรวจสอบหลังการชุมนุมยุติ 

พยานทั้งสี่ปากเบิกความตอบอัยการทำนองเดียวกันว่าในช่วงปี 2563 มีการชุมนุมบ่อยครั้ง และทราบว่าเพจแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ เป็นผู้นัดชุมนุมในวันเกิดเหตุ มีเพียง พ.ต.ท.วิบูลย์ เบิกความว่าผู้จัดการชุมนุม คือ อานนท์ นำภา โดยพิจารณาจากการที่อานนท์เคยแถลงข่าวและประวัติการเข้าชุมนุม

พ.ต.อ.อรรถวุฒิ ได้เบิกความตอบอัยการว่าตนได้ลงพื้นที่พร้อม พ.ต.ท.ชลากร ปานแดง ตำรวจผู้กล่าวหา และได้ประกาศให้ผู้ชุมนุมทราบว่าการชุมนุมไม่ได้แจ้งการชุมนุม ขอให้ยุติการชุมนุม แต่ขณะนั้นมีเสียงผู้ชุมนุมพูดผ่านลำโพง พยานจึงแจกสำเนาคำสั่งเป็นกระดาษด้วยประมาณ 50 ชุด 

จนกระทั่งเวลา 17.00 น. ได้ปิดการจราจรฝั่งพหลโยธินทุกช่องทาง ส่วนใหญ่แล้วการปิดช่องทางสัญจรมาจากฝั่งผู้ชุมนุมที่เอาแผงเหล็กของเจ้าหน้าที่ไปปิดถนน พ.ต.ท.วิบูลย์ ชุดสอบสวนที่ลงพื้นที่ ได้เบิกความทำนองเดียวกันว่า ตนเห็นกลุ่มการ์ดสวมชุดเกราะ ชุดดำ เดินมาปิดถนน และมีการพ่นสีสเปรย์เขียนข้อความลงพื้นถนน

ร.ต.อ.พัชรพล เบิกความตอบอัยการว่าในวันเกิดเหตุ ตนอยู่ที่สถานีตำรวจกำลังรวบรวมข้อมูลที่ได้มาจากตำรวจที่ไปสังเกตการณ์ชุมนุม พบว่ามีตำรวจประกาศให้เลิกการชุมนุม แต่ผู้ชุมนุมไม่เลิก เป็นการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ มีการขีดเขียนพื้นถนน เป็นการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ความสะอาดฯ จากนั้นมีการปราศรัยโดยแกนนำหลายราย โดยไม่ได้ขออนุญาตใช้เครื่องขยายเสียง 

ประมาณ 23.00 น. หลังเสร็จสิ้น ผู้ชุมนุมก็ทยอยกันเดินทางกลับ โดยไม่มีความวุ่นวายในที่ชุมนุม ผู้ชุมนุมต่างกันเก็บข้าวของ และเก็บเวที

พ.ต.ท.จีรศักดิ์ เบิกความตอบอัยการว่าตนเข้าเวรปฏิบัติหน้าที่เวลา 22.35 น. และได้รับแจ้งให้ไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ เก็บวัตถุพยาน โดยเดินทางไปพร้อมพวก ถึงห้าแยกลาดพร้าวเวลาประมาณ 01.00 น. ของวันที่ 3 ธ.ค. ตนได้ถ่ายภาพที่เกิดเหตุภาพข้อความและภาพสัญลักษณ์ตามเสา และสะพาน รวมทั้งพบเจอกระป๋องสเปรย์ 1 ชิ้นบนถนน จึงได้ตรวจลายนิ้วมือแฝง และจัดทำรายงานส่งพนักงานสอบสวน

ในช่วงทนายจำเลยถามค้าน พยานทุกปากเบิกความในทำนองเดียวกันว่า ทราบว่าผู้ชุมนุมมีข้อเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออก ให้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์

ในปาก พ.ต.อ.อรรถวุฒิ ทนายจำเลยที่ 1 ได้ให้ดู พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ มาตรา 3 (6) บัญญัติว่าไม่บังคับใช้ พ.ร.บ. นี้ในระหว่างประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินใช่หรือไม่ พยานดูแล้วตอบว่า ไม่สามารถตอบได้ว่า พ.ร.บ.ชุมนุมฯ จะมีผลบังคับใช้ในช่วงประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ หรือไม่

ส่วนคำถามว่าปัญหาของสมาขิกวุฒิสภา คือสามารถมีอำนาจเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งนายกฯ ด้วยใช่หรือไม่ พยานตอบว่าใช่ เป็นสิทธิที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ และพยานทราบว่ารัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวมีขึ้นหลังการรัฐประหาร และ สว. ก็มาจากการแต่งตั้งโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

พยานทราบว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาจากการรัฐประหาร และต่อมาก็ได้ดำรงตำแหน่งเนื่องจากชนะการเลือกตั้ง พยานทราบว่าในปี 2557 มีการใช้มาตรา 44 แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่ามีการใช้กฎหมายดังกล่าวสั่งให้ปลด ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร พ้นจากตําแหน่ง ผู้ว่าฯ กทม. และให้ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง รองผู้ว่าฯกทม. เป็นผู้ว่าฯ กทม. แทนหรือไม่

ทนายจำเลยที่ 1 ให้พยานดูรูปการชุมนุม ถามว่าพบผู้ชุมนุมพกอาวุธหรือไม่ พยานดูแล้วตอบว่าไม่มี เห็นว่าการชุมนุมทำโดยสงบ และพยานทราบว่าบุคคลมีเสรีภาพในการพูด การเขียน ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด

พยานทราบว่ามีการพยายามปฏิรูปด้านต่าง ๆ เช่น การศึกษา กฎหมาย เศรษฐกิจ ตำรวจ และทราบว่าปฏิรูปหมายถึงปรับปรุง ทำให้ดีขึ้น โดยเห็นว่าการถวายความเห็น การเสนอแนะ อาจทำโดยองคมนตรีหรือผู้ใกล้ชิดได้ โดยไม่เป็นการหมิ่นประมาท หยาบคาย หรือสร้างความเกลียดชัง การวิพากษ์วิจารณ์ก็สามารถทำได้ ถ้าไม่เป็นการหมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย

พยานทราบว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จไปต่างจังหวัดบ่อยครั้ง ส่วนสมัยรัชกาลที่ 10 มีการออกกฎหมายและระเบียบหลายอย่าง เช่น การรวมทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ พยานทราบว่ามีนักวิชาการ เช่น ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ เคยออกมาแสดงความเห็นว่าสามารถกระทำได้

ทนายจำเลยที่ 1 ถามพยานว่าหากกรณีที่กษัตริย์สวรรคต ทรัพย์สินจะตกทอดตามกฎหมายมรดกหรือไม่ พยานตอบว่าไม่ทราบ แต่พยานเคยเรียนกฎหมายมรดก ทราบว่ามรดกสามารถตกได้ตามทายาทโดยธรรมและทายาทตามพินัยกรรม

พยานตอบทนายจำเลยที่ 1 ว่าไม่ขอยืนยันว่าการปราศรัยของอานนท์ไม่หยาบคายและปราศรัยตามหลักการหรือไม่ แต่เท่าที่จำได้ไม่หยาบคาย ส่วนหลักการที่ปราศรัยไม่ทราบว่าจะถูกต้องหรือไม่

พยานเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ว่าหลังไปปฏิบัติงาน พยานไม่ได้ติดเชื้อโควิด – 19 แต่เห็นว่าที่ชุมนุมมีคนเยอะ มีตึกล้อม ถนนทางเท้ามีขนาดกว้างประมาณ 5 – 6 เมตร ถนนพหลโยธินมีช่องสัญจร 6 ช่องทาง ผู้ชุมนุมสวมหน้ากากอนามัยบางส่วน ส่วนบริเวณใกล้เคียงมีสวนสาธารณะ

พ.ต.อ.อรรถวุฒิ ตอบอานนท์ถามค้าน ว่าที่เบิกความว่าเคยฟังความเห็นของ ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ จำได้ไหมว่าฟังจากที่ไหน พยานตอบว่าจำไม่ได้ อานนท์ถามต่อว่าพยานทราบหรือไม่ว่า ผศ.ดร.อานนท์ ไม่ได้จบการศึกษานิติศาสตร์ แต่จบด้านสถิติประยุกต์ พยานตอบว่าทราบเนื่องจากจบการศึกษาปริญญาโทจากสถาบันเดียวกัน แต่ไม่ทราบว่าจะมีความเห็นทางการเมืองต่างกับผู้ชุมนุม พยานไม่เคยดูเฟซบุ๊กของบุคคลดังกล่าว จึงไม่ทราบว่าจะมีการโพสต์ด่าผู้ชุมนุมว่า “สามกีบ” หรือ “ชังชาติ” หรือไม่ ไม่ทราบว่าจะเคยมีผลงานวิชาการด้านทรัพย์สินพระมหากษัตริย์หรือไม่

พยานไม่ได้เรียก ผศ.ดร.อานนท์ มาเป็นพยาน เนื่องจากหลังจากนั้นพยานก็หมดหน้าที่ ในคำให้การของพยานลงวันที่ 8 ธ.ค. 2563 พยานไม่ได้ให้การกับพนักงานสอบสวน ถึงเหตุผลที่ไม่ได้เชิญ ผศ.ดร.อานนท์ มาเป็นพยาน  ไม่ได้ให้การเรื่องสภาพการชุมนุม ไม่ได้ให้การเรื่องที่พยานแจกสำเนาคำสั่งให้ยุติการชุมนุมและไม่มีภาพถ่ายขณะแจกสำเนาคำสั่ง  อานนท์ถามต่อว่าพยานได้อ้างสื่อมวลชนมาเป็นพยานหรือไม่ พยานตอบว่าไม่ได้อ้าง

ในปาก พ.ต.ท.วิบูลย์ นนทะแสง และ ร.ต.อ.พัชรพล กลิ่นจิตโต อานนท์ได้ถามค้านด้วยตนเอง ได้ความว่าในรายงานการสืบสวน พ.ต.ท.วิบูลย์ ไม่พบว่าจำเลยที่ 6 เป็นผู้ปราศรัยและเป็นแกนนำ และในวันที่ 8 ต.ค. 2563 ที่อานนท์ได้แถลงข่าวร่วมกับแกนนำอื่น ก็ไม่พบจำเลยที่ 5 และ 6 ในภาพวันแถลงข่าว ซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความของ ร.ต.อ.พัชรพล ซึ่งเบิกความว่าไม่พบชื่อจำเลยที่ 6 ในรายงานการสืบสวนเช่นเดียวกัน

อานนท์ถามต่อว่าในคำให้การของพยาน ระบุว่าตนเองเห็นจำเลยตลอด คนที่พยานไม่เห็นตลอดก็จะให้การว่าไม่เห็นตลอดใช่หรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น ชื่อบุคคลอันดับที่ 17 และชื่อจำเลยที่ 6 พยานไม่ได้ระบุว่าเห็นตลอด  พยานตอบว่าใช่

พยานทราบว่าจำเลยบางรายเคยศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทราบว่าจำเลยที่ 5 จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จ.นครศรีธรรมราช

ร.ต.อ.พัชรพล ยังเบิกความตอบอานนท์เพิ่มเติมว่าในการปราศรัยของจำเลยที่ 1 – 5 ไม่ได้ใช้ให้ใครขีดเขียนข้อความลงบนถนน 

ในปาก พ.ต.ท.จีรศักดิ์ ผู้ปลื้ม ได้ตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้าน ว่าในทีมที่ลงพื้นที่มี 2 ทีม ทีมละ 3 นาย คนที่ถ่ายภาพ คือ ร.ต.อ.ปิยนุช สวัสดี แต่พยานไม่ทราบว่าได้ส่งลายนิ้วมือไปตรวจสอบด้วยหรือไม่ 

พยานตอบทนายจำเลยที่ 1 ว่าเคยได้รับแจ้งว่าผู้ชุมนุมมีกี่คน แต่จำไม่ได้ พยานดูภาพตามสื่อบ้าง แต่ไม่ได้ติดตามตลอด ทราบว่ามีคนเยอะ ข้อความที่ถูกเขียนที่จุดต่าง ๆ น่าจะทำโดยหลายคน พยานไม่ได้ตั้งใจฟังการปราศรัยว่าจะมีการสั่งให้ขีดเขียนหรือไม่

ทนายจำเลยที่ 1 ถามว่าข้อความที่พ่นนั้นเกี่ยวกับพลเอกประยุทธ์ใช่หรือไม่ พยานตอบว่าใช่ ทนายจำเลยที่ 1 ได้ให้พยานดูภาพข้อความบนถนนหลายภาพ ที่มีข้อความต่าง ๆ เกี่ยวกับศาล เลข 112 หรือภาพคนชูสามนิ้ว

ทนายจำเลยที่ 1 ถามว่าพยานเคยเรียนลูกเสือสามัญหรือไม่ รู้จักการชู 3 นิ้วหรือไม่ พยานตอบว่าตนเรียนลูกเสือสำรองชู 2 นิ้ว ไม่ทราบลูกเสือสามัญชูกี่นิ้ว ทนายจำเลยถามว่า การชู 3 นิ้ว มาจากหนัง Hunger Games ทราบหรือไม่ พยานตอบว่า ไม่เคยดู แต่เคยได้ยิน

ตอบทนายจำเลยที่ 3, 4, และ 5 ถามค้านได้ความว่า หลังยุติการชุมนุมพยานไม่ได้รับแจ้งว่ามีทรัพย์สินเสียหาย ไม่พบอาวุธ หรือปลอกกระสุน พยานไม่ได้ลงลายมือชื่อในรับรองภาพถ่ายหลักฐานไว้ หลักฐานตัวจริง รายงาน และภาพต่าง ๆ อยู่ที่พนักงานสอบสวน

.

พ.ต.ต.อิสรพงศ์ ทิพย์อาภากุล ผู้ตรวจบัญชีโซเชียล เบิกความว่าในช่วงเดือน ม.ค. 2564 มีคำสั่งให้พยานตรวจสอบบัญชีสื่อโซเชียล กับข้อความที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมว่ามีความเกี่ยวข้องอย่างไร พยานได้ตรวจสอบโซเชียลของกลุ่ม “แนวร่วมธรรมศาสตร์เพื่อการชุมนุม”, เยาวชนปลดแอก, เพนกวิน พริษฐ์, รุ้ง ปนัสยา, อานนท์ นำภา, ไมค์ ภาณุพงศ์ ทั้งบนเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์

จากการตรวจสอบไม่พบเจ้าของเพจแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ แต่พบบัญชีบริจาค, บัญชีเยาวชนปลดแอก ไม่พบว่าใครเป็นเจ้าของ แต่พบว่ามีเจ้าของ 3 บัญชี 

ส่วนของอานนท์และคนอื่น ๆ ยังไม่พบหลักฐานที่ยืนยันว่าใครเป็นเจ้าของบัญชี ในเฟซบุ๊กอานนท์พบว่ามีโพสต์เกี่ยวกับการชุมนุมวันที่ 2 ธ.ค. 2563 แต่พยานจำรายละเอียดไม่ได้ จากนั้นพยานได้ทำรายงานการสืบสวนส่งผู้บังคับบัญชา

ตอบทนายอานน์ถามค้านได้ความว่า พยานทำรายงานการสืบสวนด้วยตนเอง และไม่พบเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ของจำเลยที่ 5

.

ตำรวจจากกองพิสูจน์หลักฐานกลาง ได้แก่ ร.ต.อ.ธนรัช สุขกาย, ร.ต.ท.สิทธิพงษ์ พรหมแช่ม และ พ.ต.ต.ธัญญสิทธิ์ เกิดโภคทรัพย์ เบิกความลักษณะเดียวกันว่า ตำรวจแต่ละรายได้รับหนังสือจาก สน.พหลโยธิน ให้ตรวจการตัดต่อคลิป ทั้งสามได้ทำสำเนาข้อมูลไว้เพื่อตรวจสอบ และไม่พบว่ามีการตัดต่อ จากนั้นจึงได้ทำรายงานการตรวจพิสูจน์ตอบกลับไป

ร.ต.อ.ธนรัช สุขกาย เบิกความตอบอัยการโจทก์ว่า ในช่วงปี 2564 สน.พหลโยธิน ได้ส่งแผ่นซีดีบันทึกข้อมูลให้แก่กองพิสูจน์หลักฐานกลาง เพื่อตรวจการตัดต่อ พยานทำสำเนาคลิปวิดีโอในแผ่นซีดีไว้ และได้ตรวจพิสูจน์ดูว่าไฟล์สร้างขึ้นเมื่อไรแก้ไขตอนไหน แต่ไฟล์ที่ถูกบันทึกไว้ในแผ่นซีดี วันเวลาที่ถ่ายกับวันที่บันทึกไม่ตรงกัน จึงตรวจไม่ได้ว่าถ่ายวันไหน

อัยการโจทก์ได้เปิดคลิปการปราศรัยให้พยานดู แล้วยืนยันว่าเป็นคลิปที่พยานตรวจ แต่ไม่ทราบว่าผู้ใดปราศรัย ไฟล์ระบุว่าสร้างขึ้นจาก Google คาดว่าเป็นการดาวน์โหลดมาจาก YouTube ไม่ใช่ไฟล์ต้นฉบับ ได้ตรวจสอบคลิปใน YouTube พบว่ามีต้นฉบับอยู่จริง 

ส่วนอีกไฟล์เป็นคลิปการปราศรัยของจำเลยที่ 5 พบว่ามาจาก Video handle ซึ่งเป็นนามสกุลไฟล์ที่พบจากกล้องหรือวิดีโอบันทึกภาพถ่าย ไม่พบร่องรอยการตัดต่อ แต่ภาพมีความกระตุกมาก 

ด้าน ร.ต.ท.สิทธิพงษ์ พรหมแช่ม เบิกความว่า พยานตรวจแฟลชไดรฟ์ซึ่งมีไฟล์ข้างใน 5 รายการ เมื่อตรวจสอบพบว่ามีไฟล์มากกว่าที่ได้รับแจ้ง จึงตรวจเฉพาะไฟล์ที่ลงท้ายว่า 2 ธ.ค. 63 เนื่องจากพยานได้สอบถามพนักงานสอบสวน และได้รับการตอบกลับว่าให้ตรวจแค่ไฟล์ที่ลงท้ายว่า 2 ธ.ค. 63 ภายในโฟลเดอร์มีไฟล์ 5 รายการตรงตามที่ได้รับแจ้ง

อัยการโจทก์ได้ให้พยานดูเอกสารและคลิป แต่อัยการเปิดคลิปไม่ได้ พยานดูและเบิกความถึงเอกสารบันทึกรายงานการตรวจพิสูจน์คลิป มีการระบุชื่อไฟล์และผลการตรวจไว้ ส่วนคลิปที่เปิดไม่ได้ พยานเข้าใจว่าเป็นคลิปจากโฟลเดอร์ที่พยานตรวจ โดยพยานจำได้ว่าโฟลเดอร์นั้นมีทั้งหมด 3 โฟลเดอร์ย่อย  ส่วนโฟลเดอร์ที่พยานตรวจชื่อโฟลเดอร์ชุมนุมห้าแยกลาดพร้าววันที่ 2 ธ.ค. 2563 ภายในโฟลเดอร์มีคลิป 5 รายการ

พยานตรวจโดยใช้หลักนิติวิทยาศาสตร์มาตรฐานเดียวกันกับ FBI (Federal Bureau of Investigation) ตรวจความต่อเนื่องของคลิป ตรวจสอบว่าคลิปถูกบันทึกด้วยอุปกรณ์อะไร โปรแกรมได้แปลงข้อมูลเป็นสเปกตรัม ถ้ามีการตัดต่อ สเปกตรัมจะมีความแตกต่างกัน 

ผลการตรวจ ทราบว่าคลิปถูกบันทึกด้วยกล้อง แต่ไม่ทราบว่าเป็นกล้องอุปกรณ์ใด ไม่พบว่ามีการตัดต่อ จากนั้นได้ทำรายงานส่งให้พนักงานสอบสวน พร้อมส่งของกลางคืน

ส่วน พ.ต.ต.ธัญญสิทธิ์ เกิดโภคทรัพย์ เบิกความว่า พยานได้อบรมหลักสูตร Digital Expert Group ที่ประเทศสเปน ด้าน Computer forensics อบรม Fiber Crime Investigation จากออสเตรเลีย โดยได้ไปเรียนที่ประเทศอินโดนีเซีย พยานตรวจแผ่นซีดี การปราศรัยของจำเลยที่ 5 มีไฟล์ข้างใน 2 รายการ “Video1” ยาว 1.08 นาที และ “ Video2” ยาว 29.28 นาที ตรวจแล้วไม่พบการตัดต่อ 

ในช่วงการถามค้านพยานทั้งสามปาก อานนท์ได้ถามค้านด้วยตนเอง ร.ต.อ.ธนรัช ตอบอานนท์ถามค้านว่า ซีดีที่รับมาคือยี่ห้อ Princo และ Kodak ไฟล์ที่พยานตรวจไม่ได้มาจากซีดีแผ่นเดียวกัน อานนท์ถามว่าไฟล์มีผลว่าตัดต่อหรือไม่ พยานตอบว่าไม่ยืนยัน ยืนยันได้แค่ว่ามีไฟล์เสียงที่กระตุก การบันทึกยังดำเนินต่อ แต่เสียงหายไปหลายนาที

อานนท์ถามว่าหากตรวจจากซิมการ์ดกับไฟล์ในการ์ดอันไหนน่าเชื่อถือกว่า พยานตอบว่าพื้นฐานแล้วทั้งสองเป็นไฟล์เดียวกัน แต่หากตรวจจากการ์ดอาจจะไม่กระตุก พยานไม่ได้เรียกหลักฐานมาตรวจเพิ่ม เนื่องจากไม่มีอำนาจ ส่วนคนหรือบัญชีที่เอาคลิปลง Youtube พยานก็ไม่ได้ตรวจสอบ เนื่องจากไม่มีอำนาจ

การตรวจของพยานใช้ทั้งโปรแกรมและสายตา อานนท์ได้ถามว่าหากเรานำฉากหลายฉากมารวมเป็นไฟล์ จะนับว่าตัดต่อหรือไม่ พยานตอบว่าไฟล์หนังเป็นไฟล์ที่ตัดต่อมาแล้ว พยานไม่รับตรวจ อานนท์ถามต่อว่าคลิปที่ผ่านการตัดต่อมาแล้ว แล้วนำกล้องไปถ่ายคลิปจะถือว่าคลิปที่ถ่ายจากกล้องมีการตัดต่อหรือไม่ พยานตอบว่าโปรแกรมไม่สามารถบอกได้ว่ามีการตัดต่อหรือไม่ ต้องอาศัยการวินิจฉัยของผู้ตรวจ ส่วนที่อานนท์ถามไม่นับถือว่าเป็นไฟล์ต้นฉบับ เพราะเป็นการถ่ายอีกครั้ง

พยานไม่ยืนยันข้อความที่ถอดเทปเนื่องจากไม่ได้ถอดเทปข้อความจากวิดีโอ โดยรับว่าช่วงสัญญาณขาดหายบางคำก็ฟังไม่รู้เรื่อง

ในช่วงถามติง พ.ต.ต.ธัญญสิทธิ์ ตอบอัยการโจทก์ว่า แผ่น Princo มีเลขรายงานการตรวจ แต่จำไม่ได้ว่าหลักฐานนี้ส่งไปในคดีไหนบ้าง

ในปาก ร.ต.ท.สิทธิพงษ์ ตอบอานนท์ถามค้านว่า ตนเคยได้รับการอบรมการใช้โปรแกรมจากหน่วยงานของสหรัฐอเมริกา โดยโปรแกรมดังกล่าวไม่มีความคลาดเคลื่อน อุปกรณ์ที่ส่งคืนพนักงานสอบสวน คือแฟลชไดรฟ์ ไม่ใช่แผ่นซีดี แผ่นซีดีตามคลิปหลักฐาน พยานไม่ได้ตรวจสอบ ไฟล์ที่พยานตรวจสอบเป็นไฟล์จาก Youtube 

พยานรู้จักกับ ร.ต.อ.ธนรัช สุขกาย เนื่องจากไปอบรมด้วยกัน มีหลักการพิสูจน์เดียวกันว่าถ้าไม่ใช่ต้นฉบับจะไม่ตรวจ แต่ไฟล์ที่ตรวจ พยานไม่ทราบว่าจะเป็นต้นฉบับหรือไม่ ผลการตรวจไม่พบว่าบันทึกด้วยอุปกรณ์อะไร ปกติถ้าบันทึกด้วยกล้องจะระบุว่าบันทึกด้วยกล้อง แต่ถ้าไม่ใช่ไฟล์ต้นฉบับจะไม่ปรากฏว่าบันทึกด้วยอะไร ไฟล์ที่ตรวจไม่พบว่าบันทึกจากอุปกรณ์ใด แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่พบว่าไฟล์ที่ตรวจไม่ใช่ต้นฉบับ

อานนท์ถามว่า ถ้านำฉากหลายฉากมารวมเป็นไฟล์ จะนับว่าตัดต่อหรือไม่ แล้วถ้าคลิปที่ผ่านการตัดต่อมาแล้วเรานำกล้องไปถ่ายคลิป จะถือว่าคลิปที่ถ่ายจากกล้องมีการตัดต่อหรือไม่ พยานตอบว่าโปรแกรมจะระบุว่าเป็นคลิปต้นฉบับ ไม่มีการตัดต่อ ต้องใช้วิจารณญาณผู้ตรวจควบคู่

การตรวจของพยานตรวจจากสเปกตรัม พยานไม่ได้พิมพ์ภาพสเปกตรัมมา แต่ได้จัดเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ สเปกตรัมของคลิปที่มีการตัดต่อกับไม่มีการตัดต่อจะมีความแตกต่างกัน เช่น เสียงรบกวนถ้ามีก็จะอยู่ระดับเดียวกัน ถ้าเสียงไม่ต่อเนื่อง อาจจะหมายถึงมีการตัดต่อ

อานนท์ถามว่าหากต้นฉบับมีการตัดต่อ แล้วเรานำกล้องไปถ่ายอีกครั้งสเปรกตรัมจะออกมาว่าต่อเนื่องใช่หรือไม่ พยานตอบว่าใช่ อานนท์ถามว่าหากการชุมนุมยาวนานแต่ตัดมาเหลือ 30 นาที เป็นการตัดวิดีโอ แต่ไม่ใช่การตัดต่อใช่หรือไม่ พยานตอบว่าใช่ อานนท์ให้พยานดูชื่อไฟล์ที่ 4 เขียนว่ายาว 6 ชั่วโมง พยานดูแล้วตอบว่าเมื่อตรวจจริง ๆ ยาวเพียง 3 ชั่วโมง

อัยการโจทก์ถามติงปาก ร.ต.ท.สิทธิพงษ์ ว่าไฟล์ในแฟลชไดรฟ์ กับไฟล์ในซีดี เป็นไฟล์เดียวกันหรือไม่ พยานตอบว่าไม่แน่ใจจะต้องตรวจสอบจากคอมพิวเตอร์อีกครั้ง แม้ชื่อไฟล์ตรงกัน แต่ไม่ขอยืนยันว่าไฟล์เดียวกัน

ในปาก พ.ต.ต.ธัญญสิทธิ์ ตอบอานนท์ถามค้านว่า ซีดีที่ได้รับคือยี่ห้อ Princo อานนท์ถามว่าแผ่นซีดีในพยานหลักฐานคดีนี้ใช่ยี่ห้อเดียวกับที่พยานตรวจหรือไม่ พยานตอบว่าไม่ใช่ อานนท์ถามว่าพยานใช้โปรแกรมใดตรวจ พยานตอบว่าเป็นความลับราชการ แต่ทุกคนมีมาตรฐานเดียวกันในการตรวจ ทั้งนี้ก็ขึ้นกับความชำนาญและประสบการณ์แต่ละคน

อานนท์ถามว่าหากไม่ใช่ต้นฉบับพยานตรวจได้หรือไม่ พยานตอบว่าไม่เสมอไป บางคนอาจจะมองว่าไม่ใช่ต้นฉบับไม่ตรวจ แต่พยานมองว่าเป็นการอำนวยความยุติธรรม ตามหลักการก็จะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจ สำหรับพยาน จะดูพฤติการณ์อื่นร่วม เช่น จังหวะการพูดกับปาก

อานนท์ถามว่าแต่ถ้าหากไฟล์ไม่ใช่ต้นฉบับ ก็ไม่สามารถยืนยันการตัดต่อได้ใช่หรือไม่ หากเอาไฟล์ต้นฉบับมาตรวจย่อมดีกว่า พยานตอบว่าใช่ อานนท์ถามต่อว่าไฟล์ที่พยานตรวจใช่ไฟล์ต้นฉบับหรือไม่ พยานตอบว่าไม่ใช่

อานนท์ถามว่าไฟล์ที่พยานตรวจจากแผ่นซีดี คือไฟล์ต้นฉบับใช่หรือไม่ พยานตอบว่าไม่ยืนยันว่าแผ่นซีดีเป็นต้นฉบับ เพราะไม่ได้เทียบอุปกรณ์ที่ถ่ายกับแผ่นซีดี ไม่ทราบว่าคลิปจะถูกตัดหรือเติมอย่างไร เพราะได้รับมาจากพนักงานสอบสวนอีกที

ในช่วงอัยการโจทก์ถามติง พยานไม่ทราบว่าซีดีที่พยานตรวจ พนักงานสอบสวนจะนำมาใช้ในคดีหรือไม่เพราะเป็นเรื่องของพนักงานสอบสวน

.

เกี่ยวกับคดีนี้ มีพนักงานสอบสวนที่ร่วมกันแจ้งข้อกล่าวหากับจำเลยในคดีนี้รวม 3 สถานีตำรวจ ประกอบไปด้วย สน.พหลโยธิน, สน.บางซื่อ และ สน.บางเขน ซึ่งร่วมกันสอบปากคำจำเลยและพยานโจทก์ในคดีนี้

คดีนี้มีพนักงานสอบสวนขึ้นเบิกความเป็นพยานโจทก์รวม 11 ปาก ได้แก่ พ.ต.ท.นพดล ดรศรีจันทร์, ร.ต.ท.ศรัณย์ สมานบุญวนิช, พ.ต.ท.พิภัสสร์ พูนลั่น, พ.ต.ต.ศักดินาถ หนูฉ้ง, พ.ต.ท.วิโรฒน์ ผลบุญ, ร.ต.อ.หญิง ภัทรกันย์ จันทร์ทรง, พ.ต.ต.ณัฐวุฒิ ปราบคนชั่ว จาก สน.พหลโยธิน, ร.ต.อ.พงศ์พิช สุธาภรณ์ จาก สน.บางซื่อ และ ร.ต.ท.คีรีเอก บุญมงคล จาก สน.บางเขน

จากการเบิกความของพนักงานสอบสวน มีใจความสำคัญระบุว่า พ.ต.ต.ณัฐวุฒิ พนักงานสอบสวน จาก สน.พหลโยธิน เป็นผู้รับแจ้งความจาก พ.ต.ท.ชลากร สารวัตรสืบสวน สน.พหลโยธิน โดยเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2563 มี พ.ต.ท.ชลากร ปานแดง สารวัตรสืบสวน สน.พหลโยธิน มาแจ้งความดำเนินคดีกับ พริษฐ์กับพวกรวม 5 คน จัดการชุมนุมโดยไม่ได้รับอนุญาต บริเวณห้าแยกลาดพร้าว

พยานรับแจ้งความ และได้รับไฟล์วิดีโอการปราศรัย จำไม่ได้ว่ากี่ไฟล์ และได้รับมอบหมายให้ทำการถอดเทป โดยพยานได้รับมอบหมายให้ถอดเทปคำปราศรัยของ พริษฐ์ และภาณุพงศ์ โดยเป็นการถอดเทปเนื้อหาของการกล่าวปราศรัย จำรายละเอียดไม่ได้ แต่ยืนยันตามบันทึกเอกสารที่มีลายมือชื่อของพยาน

ต่อมามี วราวุธ สวาย กับพวกรวม 6 คน มาแจ้งความ เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2563 ในข้อหาดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ กับพริษฐ์และพวก แต่กี่คนจำไม่ได้ ทั้งนี้ วราวุธกับพวกมาแจ้งความ พร้อมมอบแผ่นซีดีประกอบ จึงได้จัดทำเป็นบัญชีของกลาง โดยไม่ได้เปิดดูว่าเป็นบันทึกการชุมนุมหรือไม่

ด้าน พ.ต.ท.พิภัสสร์ เบิกความให้ความเห็นในส่วนเนื้อหาคำฟ้องว่าหากพูดความจริงเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ก็อาจผิดตามมาตรา 112 ได้ พยานไม่รู้จักกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) และความเห็นส่วนตัวพยานเห็นว่าต่างชาติไม่ควรมายุ่งกิจการภายในประเทศ

ตอบทนายจำเลยที่ 1 และ 5 ถามค้าน

พ.ต.ต.ณัฐวุฒิ ตอบทนายถามค้านว่าในประเด็นตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ มาตรา 3 (6) ว่ากฎหมายฉบับนี้ไม่สามารถบังคับใช้ในสถานการณ์ที่มีการประกาศบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พยานทราบหรือไม่ พยานตอบว่า ทราบข้อกฎหมายตามที่ทนายถาม แต่ไม่ทราบในรายละเอียด 

จากการเบิกความข้างต้น พ.ต.ต.ณัฐวุฒิ เบิกความว่า วราวุธกับพวก รวมตัวกันมาแจ้งความเป็นผู้กล่าวหาจำเลยในคดีนี้ จะเข้ามาแจ้งความพร้อมกันหรือไม่ พยานไม่ทราบ และยอมรับว่าในการรับแจ้งความในข้อหามาตรา 112 พยานไม่ได้สอบคำให้การผู้กล่าวหาทั้ง 6 ราย และไม่ได้แสวงหาข้อเท็จจริงในการแจ้งความของผู้กล่าวหากลุ่มดังกล่าวอีกด้วย

แต่พยานรับว่า จำเนื้อหาหรือจุดประสงค์ของการปราศรัยได้ว่า เป็นการปราศรัยวิพากษ์วิจารณ์การทำงาน และเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออก โดยรวมเป็นการปราศรัยวิจารณ์การทำงานของประยุทธ์

นอกจากนี้ พ.ต.ต.ณัฐวุฒิ ยังเบิกความยอมรับว่าพยานจำไม่ได้ว่าแผ่นซีดีที่ได้รับมอบจากวราวุธและพวก เป็นแผ่นซีดียี่ห้อใด และยอมรับว่าเนื้อหาในแผ่นซีดี พยานขอไม่รับรองเนื้อหา และจำไม่ได้ว่าข้อเรียกร้องในคำปราศรัยของจำเลยจะมีการเรียกร้องเรื่องใดบ้าง

ทนายจำเลยจึงถามกับพยานต่อว่า พยานได้สอบสวน แสวงหาข้อเท็จจริงในเรื่องการปราศรัยไม่ตรงกับความเป็นจริงหรือไม่ เช่น การโอนทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ พยานได้เสาะแสวงหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมหรือไม่ พยานตอบว่า หลังจากรับแจ้งความ และทำการสอบสวน พยานก็ถูกย้าย จึงไม่ได้หาพยานหลักฐานเพิ่มเติมว่าที่จำเลยในคดีนี้พูดเป็นความจริงหรือไม่ เพราะถูกย้ายไปในเดือนมกราคม 2564

ส่วน ร.ต.อ.หญิง ภัทรกันย์ ตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า เป็นผู้สอบปากคำของชุติมาและนพดล ผู้แจ้งความ  ซึ่งเข้ามาให้การพร้อมกัน โดยทนายให้ดูเฟซบุ๊กของชุติมา และผู้กล่าวหาคนนี้มีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างจากกลุ่มของจำเลยในคดีนี้ใช่หรือไม่ พยานดูเอกสารแล้วตอบว่าใช่  

ส่วน พ.ต.ต.ศักดินาถ ตอบทนายถามค้านไม่สอดคล้องกับ ร.ต.อ.หญิง ภัทรกันย์ ว่าไม่ทราบแนวคิดทางการเมืองของกลุ่มผู้แจ้งความ และไม่เคยตรวจสอบทัศนคติของกลุ่มพยานปากผู้กล่าวหามาก่อน 

ทนายถามต่อว่าตอนแจ้งความตำรวจแบ่งให้ผู้ที่มาแจ้งความแบ่งกันแจ้งหรือผู้ที่มาแบ่งกันเอง พยานตอบว่าจำไม่ได้ แต่ตำรวจไม่ได้แบ่งให้ พยานทราบว่ามากันเป็นกลุ่ม แต่ไม่ทราบว่าจะแบ่งหน้าที่กันหรือไม่ พยานตอบทนายจำเลยว่า ชุติมาไม่ได้มอบอะไรให้ นอกจากแจ้งความตามข้อความปราศรัย 

อัยการโจทก์ถามติง 

อัยการถามกับ พ.ต.ต.ณัฐวุฒิ ว่าพยานเป็นผู้สอบคำให้การผู้กล่าวหาทั้ง 6 คน ตามเอกสารในสำนวน พยานยอมรับว่าใช่ ตามเอกสาร 

ด้าน พ.ต.ท.พิภัสสร์ ให้อธิบายที่พยานเบิกความเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์เพิ่มเติมว่า หากความจริงเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ เป็นการดูหมิ่น อาฆาตมาดร้าย เหยียบย่ำ กดขี่ ดูถูก ทำไปในทางลบ แต่ถ้าเป็นความจริงในเชิงยกย่อง ไม่ถือว่าผิดตามมาตรา 112

.

อาฤทธิ์ ศรีทอง ผู้อำนวยการเขตจตุจักรในขณะเกิดเหตุ เบิกความว่า พยานได้ลงพื้นที่ช่วง 15.00 น. ยืนอยู่บริเวณห้าแยกลาดพร้าวและเดินไปในที่ชุมนุม ขณะนั้นที่ชุมนุมมีจุดคัดกรอง มีคนของผู้ชุมนุมคอยตรวจ คาดว่าน่าจะตรวจความปลอดภัย พอเข้าไปในที่ชุมนุมเห็นว่ามีผู้ชุมนุมหลายพันคน มีทั้งคนที่สวมและไม่สวมหน้ากากอนามัย มีการปราศรัยโดยใช้เครื่องขยายเสียง พยานไม่ทราบว่าผู้ปราศรัยเป็นใคร

พยานอยู่จนเลิกการชุมนุม จนถึงช่วง 01.00 – 02.00 น. ของวันที่ 3 ธ.ค. 2563 รอจนสว่าง จนเจ้าหน้าที่เคลียร์พื้นที่ เข้าทำความสะอาดเก็บกวาดขยะและสีที่ถูกพ่นตามบริเวณต่าง ๆ 

พยานจำได้ว่าช่วงนั้นมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และขยายต่อไปเรื่อย ๆ โดยมีข้อกำหนดเพื่อให้รัฐบาลมีอำนาจยับยั้งป้องกันการแพร่ระบาด เช่น ห้ามออกพื้นที่ ห้ามชุมนุม ห้ามทำกิจกรรม 

สำหรับสำนักงานเขตมีหน้าที่เข้าไปจัดการให้มีการปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ออกในมาตรา 9 ของประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เช่น การสวมหน้ากากอนามัย การทำจุดคัดกรองโรค การเว้นระยะห่าง  แต่ที่เกิดเหตุไม่มีการเว้นระยะห่าง ไม่มีจุดคัดกรองโรค แม้จะสวมหน้ากากอนามัย ก็มีโอกาสแพร่โรค

ถ้าหากผู้ปราศรัยไม่สวมหน้ากากอนามัยก็เสี่ยงแพร่โรค แต่ถ้าปราศรัยบนเวทีอาจเสียงน้อยกว่า ถ้าก่อนปราศรัยได้เดินผ่านคนก็เสี่ยงแพร่โรคมาก ตอนพยานไปลงพื้นที่ก็ทราบว่ามีความเบียดเสียด หนาแน่น และพยานได้ไปให้การกับพนักงานสอบสวนด้วย

ส่วน พิสมัย เรืองศิลป์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขตจตุจักรในขณะเกิดเหตุ เบิกความว่าตนหน้าที่พิจารณาอนุญาตการขอใช้เสียง ถ้ามีผู้มาขอใช้เสียงต้องไปขออนุญาตที่สถานีตำรวจเพื่อขอความเห็นและมายื่นที่สำนักงานเขต การใช้เสียงที่ต้องขออนุญาต เช่น กรณีรถวิ่งทั่วไป การใช้ไมโครโฟนในสถานที่ต่าง ๆ การจัดงานต่าง ๆ จากการตรวจสอบกับฝ่ายสารบัญ พบว่าช่วงวันที่ 1-2 ธ.ค. 2563 ไม่มีผู้มาแจ้งขอใช้เสียง พยานได้ลงลายมือชื่อในหนังสือตอบกลับไปยัง สน.พหลโยธิน ว่าการชุมนุมไม่มีการขออนุญาตใช้เสียง

ด้าน จำลอง ทองพลับ เจ้าหน้าที่เทศกิจ เขตจตุจักร เบิกความว่า ตนไปในที่ชุมนุมประมาณ 01.00 น. ของวันที่ 3 ธ.ค. 2563 พบว่าพื้นถนน ป้ายจราจร ตอม่อ มีการขีดเขียน แต่พยานจำข้อความไม่ได้ ไม่ทราบว่าใครขีดเขียน จากนั้นมีตำรวจและเจ้าหน้าที่ตรวจวัตถุระเบิด EOD มาตรวจพื้นที่ และเจ้าหน้าที่จากสำนักงานเขตจตุจักรได้ล้างทำความสะอาดพื้นที่ จากนั้นก็เสร็จหน้าที่

ในปาก อาฤทธิ์ ศรีทอง ตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้าน โดยให้พยานดูคำให้การของพยานในชั้นตำรวจที่ว่าผู้ชุมนุมมีมาตรการป้องกันโรคและมาตรการความปลอดภัย ผู้ชุมนุมมีบางส่วนไม่สวมหน้ากากอนามัย ใช่ตามคำให้การหรือไม่ พยานตอบว่าใช่

พยานตอบทนายจำเลยที่ 1 ว่า ชุดปฏิบัติการที่ไปลงพื้นที่มีพยานและเทศกิจอีก 30 – 40 คน ฝ่ายสิ่งแวดล้อมอีก 10 คน ฝ่ายโยธา อีก 10 คน รวมแล้วมีเจ้าหน้าที่ประมาณ 100 คน หลังปฏิบัติงานไม่มีใครติดโควิด-19

พยานตอบว่าบริเวณห้าแยกลาดพร้าวมีสิ่งปลูกสร้างเป็นสะพานคนเดิน สะพานยกระดับ สะพาน BTS  พยานไม่ทราบว่าสะพานจะสูงเท่าไหร่ แต่ทราบว่าสูง

พยานไม่ได้ฟังการปราศรัยของกลุ่มย่อย ๆ ไม่ได้ตรวจสอบความดังของการใช้เครื่องขยายเสียง หลังการชุมนุมจบ พยานไม่ได้ตรวจสอบว่ามีการรายงานผู้ติดเชื้อหรือไม่ 

ตอบทนายจำเลยที่ 3 – 5 ถามค้าน ได้ความว่าพยานจบการศึกษานิติศาสตร์ทั้ง ป.ตรี และ ป.โท ทนายจำเลยให้พยานดูหมายประกาศห้ามการชุมนุม และถามว่าในประกาศกำหนดว่าห้ามการชุมนุมที่แออัดและไม่สงบใช่หรือไม่ พยานตอบว่าตามที่ประกาศระบุ 

ให้พยานดูข้อกำหนดฉบับที่ 5 ข้อ 2 (2) ข้อกำหนดดังกล่าวบังคับเฉพาะผู้จัดการชุมนุมใช่หรือไม่ พยานตอบว่าใช่ และให้พยานดูคำพิพากษาคดีที่วินิจฉัยว่าการออกข้อกำหนดตามประกาศดังกล่าว เป็นการออกข้อกำหนดเกินเขตอำนาจ พยานดูแล้วเบิกความว่าเป็นไปตามคำพิพากษา

พยานเบิกความเพิ่มเติมว่า ตนไม่ได้ศึกษา พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ แต่จำได้ว่ามีบัญญัติว่าไม่ใช้ พ.ร.บ.ดังกล่าวในช่วงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ

พยานเบิกความตอบทนายจำเลยว่า ในที่ชุมนุมมีการค้าขายด้วย แต่พยานไม่เห็นกิจกรรมที่ให้คนโดนตัวกัน ตลอดการชุมนุมพยานไม่ได้รับรายงานว่าเกิดความวุ่นวาย และไม่ได้ฟังว่าการปราศรัยมีการยุยงหรือไม่

ทนายจำเลยถามว่า ถนนลาดพร้าวแออัดหรือไม่ พยานตอบว่าสถานที่ไม่แออัด แต่การกระทำที่มีคนจำนวนมากไปชุมนุมเป็นการแออัด

พยานตอบอัยการโจทก์ถามติง ขอยืนยันว่าส่วนใหญ่ผู้ชุมนุมไม่สวมหน้ากากอนามัย มาตรการของผู้ชุมนุมมีไม่ครบ พอผู้ชุมนุมจำนวนมากขึ้นก็ไม่ดำเนินมาตรการ

ในปาก พิสมัย เรืองศิลป์ เบิกความตอบคำถามค้าน ว่าในวันเกิดเหตุพยานไม่ได้ไปลงพื้นที่ แต่มีเจ้าหน้าที่อื่นไป จำไม่ได้ว่าใครและไปกี่คน การลงพื้นที่วันเกิดเหตุไม่มีหนังสือสั่งการ

พยานเบิกความตอบว่า ในช่วงเวลาเกิดเหตุประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและมีการประชุมรับมือสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ปกติแล้วหากมีการชุมนุมจะมีเจ้าหน้าที่ไปดูความสงบเรียบร้อยอยู่แล้ว รวมถึงคัดกรองโรคด้วย แต่อาจจะไม่ได้มีเจ้าหน้าที่ทุกกรณี พยานจำไม่ได้ว่าในวันเกิดเหตุจะมีเจ้าหน้าที่ไปดำเนินการหรือไม่

ทนายจำเลยถามว่า ทราบหรือไม่ว่าใครคือผู้จัดการชุมนุม พยานตอบว่าเคยทราบ แต่ตอนนี้จำไม่ได้แล้ว จะใช่กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์เพื่อการชุมนุมหรือไม่ พยานจำไม่ได้ และจำไม่ได้ว่าจะมีเจ้าหน้าที่ไปวัดความดังการใช้เสียงหรือไม่ ไม่แน่ใจว่าที่สำนักงานเขตจตุจักรจะมีเครื่องวัดระดับเสียงหรือไม่ ปกติแล้วจะยืมเครื่องวัดจากสำนักอนามัย

พยานไม่ได้นำบันทึกการขอใช้เสียงจากฝ่ายสารบัญให้ตำรวจ เพราะไม่ใช่หน้าที่ของพยาน ผู้ตรวจสารบัญคือเจ้าหน้าที่ฝ่ายสิ่งแวดล้อม แต่พยานจำไม่ได้ว่าเป็นใคร 

ในปาก จำลอง ทองพลับ เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ช่วงปี 2563 – 64 มีการชุมนุมบ่อยครั้ง ทราบว่าบางครั้งผู้ชุมนุมจะพกป้ายข้อความ พกสีมาเขียนแสดงความเห็น แต่ไม่ทราบว่าจะมีคนสั่งการให้แสดงความเห็นหรือไม่ เนื่องจากพยานสังเกตการณ์รอบนอก แต่หลังการชุมนุมก็ได้ทาสีทับข้อความเหล่านั้น

พยานเบิกความเพิ่มเติมว่าบริเวณห้าแยกลาดพร้าวเป็นที่โล่งกว้าง การชุมนุมก็เป็นการชุมนุมทั่วไป เห็นคนเดินไปซื้อข้าวซื้ออาหารได้ มีคนมาขายสินค้า คนเดินกันได้ไม่ได้ตัวติดกัน การชุมนุมเป็นไปโดยสงบ ไม่มีความรุนแรง ตอนลงพื้นที่มีเทศกิจประมาณ 10 นาย และมีตำรวจนอกเครื่องแบบ หลังจบภารกิจไม่มีคนติดเชื้อโควิด-19 

.

ปรัชญา ใจภักดี พยานผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา ประกอบอาชีพอาจารย์มหาวิทยาลัยที่วิทยาลัยการฝึกหัดครู มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร สอนภาควิชาภาษาไทย เป็นพนักงานมหาวิทยาลัยตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปัจจุบัน โดยปัจจุบันเป็นประธานหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต ภาคภาษาไทย

ประมาณปี 2564 มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พหลโยธิน ติดต่อให้พยานมาอ่านข้อความ พยานจึงมาอ่านข้อความถอดเทปคำพูดจากแผ่นกระดาษ ซึ่งเป็นข้อความที่มีการถอดเทปมาแล้ว พยานให้ความเห็นจากใจความแวดล้อมและบริบทประกอบกัน และได้วิเคราะห์ข้อความไว้ตามบันทึกคำให้การ

พยานเบิกความว่าจากข้อความคำปราศรัยที่อัยการอ่านให้ฟังทั้งหมด ตามความเห็นของพยานเป็นการพาดพิงเกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ หรือพระมหากษัตริย์โดยตรง ในลักษณะที่ให้คนฟังเกิดความคิดคล้อยตามในประเด็นที่พูดถึงในด้านลบ

จากนั้นอัยการอ่านคำฟ้องในส่วนคำพูดของจำเลยที่ 1 ให้พยานฟัง พยานเบิกความตอบว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ถึงพระราชอำนาจ พระราชจริยวัตร พระราชอัธยาศัยของในหลวงที่พูดคุยกับราษฎร เป็นการก้าวล่วงว่ากษัตริย์จะทำอะไรต้องอาศัยคณะผู้ปฏิบัติงานคนอื่น แต่พยานเห็นว่าเป็นเรื่องตามพระราชอัธยาศัยในการพูดคุย ไม่เกี่ยวกับการเมือง เนื่องจากสถาบันกษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน ส่วนเบื้องหลังจะเป็นอย่างไรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ควรพูดในที่ประชุมที่มีคนจำนวนมาก มิเช่นนั้นจะเป็นการชักจูงให้คนคล้อยตาม และตั้งข้อสงสัยกับสถาบันกษัตริย์

อัยการแถลงต่อศาลว่าขอถามถึงคำปราศรัยในส่วนที่อยู่ตามท้ายคำฟ้องได้หรือไม่ เนื่องจากพยานปากนี้ให้ความเห็นไว้ในทุกข้อความจึงจำเป็นต้องถามถึงท้ายคำฟ้อง ทนายจำเลยทักท้วงว่าที่ผ่านมานั้นเป็นการสืบพยานหักล้างคำฟ้องมาตลอด และต้องต่อสู้กันตามคำฟ้องของโจทก์ที่กล่าวถึงเหตุและคำขอให้ลงโทษ ส่วนท้ายคำฟ้องไม่ได้มีประสงค์ให้ลงโทษ การยกเอาท้ายฟ้องมากล่าวอ้างเป็นการเสียเปรียบแก่ฝ่ายจำเลย 

ศาลแถลงว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) “ … ในคดีหมิ่นประมาท ถ้อยคำพูด หนังสือ ภาพขีดเขียนหรือสิ่งอื่นอันเกี่ยวกับข้อหมิ่นประมาท ให้กล่าวไว้โดยบริบูรณ์หรือติดมาท้ายฟ้อง” อนุญาตให้ถามท้ายคำฟ้องได้ และให้โอกาสฝ่ายจำเลยถามค้านได้เต็มที่

จากนั้นอัยการจึงอ่านคำปราศรัยท้ายคำฟ้อง พยานเบิกความว่า มีการกล่าวพาดพิงเรื่องการใช้พระราชอำนาจของกษัตริย์โดยตรง เช่น การรับรองรัฐประหาร, การใช้ภาษีประชาชน, การใช้อำนาจแต่งตั้ง หรือปลดใครก็ได้ โดยเปรียบเทียบกับราชินีของประเทศอังกฤษ และการใช้เงินที่ได้รับทูลเกล้าฯ ถวาย ซึ่งพยานเห็นว่า เป็นเรื่องของการใช้พระราชอำนาจส่วนพระองค์

ในส่วนที่จำเลยที่ 5 กล่าว พยานมีความเห็นว่าเป็นการที่กล่าวถึงรัชกาลที่ 10 โดยตรง เพราะใช้คำว่าวชิราลงกรณ์ ซึ่งหมายถึงพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยไม่มีความยำเกรง เพราะเรียกพระนามโดยตรงเหมือนชื่อคนสามัญชนทั่วไป ซึ่งประชาชนทั่วไปจะเรียกว่าในหลวง, หลวง หรือรัชกาลที่ 10 แต่กลับเรียกชื่อพระมหากษัตริย์โดยตรง และยังวิพากษ์วิจารณ์ รวมถึงชี้นำให้ผู้ฟังคล้อยตาม

จากนั้นจึงให้พยานอ่านคำฟ้อง พยานจึงให้ความเห็นว่าเป็นความหมายเชิงวิพากษ์วิจารณ์ว่ากษัตริย์เกี่ยวข้องกับการเมือง และไม่มีกษัตริย์ที่ไหนในโลกทำกัน เป็นการแสดงความเห็นต่อธารกำนัลในลักษณะให้คนตั้งข้อสังเกต และข้อสงสัยต่อพระราชจริยวัตร พระราชอำนาจ และพระราชอัธยาศัย

ปรัชญา ตอบทนายจำเลยถามค้านว่า พยานเคยเป็นพยานโจทก์ในคดีทางการเมืองมาก่อน ซึ่งขณะนั้นได้เข้าไปให้การตามคำเชิญของตำรวจ และไม่ได้รู้จักกับตำรวจเป็นการส่วนตัว โดยพยานไม่ได้ติดตามข่าวเกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ โดยส่วนตัวแล้วพยานไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมทางการเมืองในปี 2563 เพราะทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย การวิพากษ์วิจารณ์ถือเป็นการก้าวล่วง เพราะด้วยรากฐานแล้วกษัตริย์เป็นดั่งสมมติเทพ

พยานรู้จักคำว่า “แม้องค์พระปฏิมายังราคิน คนเดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา” หมายความว่า ไม่ว่าใครก็ถูกนินทาตามปกติ และพยานก็รู้จักคำว่า “ติเพื่อก่อ” ว่าหมายถึงติเพื่อเสริมสร้างให้ดีขึ้น และคำว่า “ปฏิรูป” หมายถึง การเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น ซึ่งพยานรับว่าการให้ความเห็นทางภาษาต้องให้ตามบริบทและรู้ข้อเท็จจริงครบถ้วน

พยานรับว่า ไม่ทราบเกี่ยวกับบริบทและข้อเท็จจริงที่ปราศรัยจะเป็นอย่างไร พยานเพียงตีความตามข้อความจากคำปราศรัย และอธิบายต่อว่าภาษาเป็นเรื่องของเจตนา แบ่งออกเป็น 5 ระดับ ได้แก่ พิธีการ ทางการ กึ่งทางการ สนทนา กันเอง ซึ่งภาษาที่ปรากฏในการปราศรัย จัดเป็นภาษาพูดหรือภาษากันเอง มีความเฉพาะกลุ่ม เพราะใช้คำหยาบคายปะปน ใช้ภาษาอย่างไม่ระมัดระวัง

.

พยานทราบจากข่าวว่ารัชกาลที่ 10 เคยกล่าว “เก่งมาก กล้ามาก ขอบใจ” ทนายจึงถามว่าการแสดงออกที่ทรงชื่นชมคนที่ชูภาพท่ามกลางการชุมนุมของกลุ่มราษฎร ถือว่าเป็นกลางทางการเมืองหรือไม่ พยานตอบว่า แล้วแต่พระราชอำนาจ และพระราชอัธยาศัยของพระองค์ท่าน ตามบริบทและสถานการณ์

ส่วนภาพที่พระราชินีเซ็นข้อความให้กับกลุ่มคนเสื้อเหลืองที่เคยมาแจ้งความ ม.112 ว่า “ขอบคุณที่มาเป็นกำลังให้..” พยานไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งไม่ทราบว่าการกระทำดังกล่าวจะเป็นกลางทางการเมืองหรือไม่ เพราะเป็นพระราชอัธยาศัยส่วนพระองค์ และไม่สามารถบอกได้ว่าเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองเกิดขึ้นหลังการแสดงออกทั้งสองเหตุการณ์ดังกล่าว 

จากคำปราศรัยของจำเลยที่ 1 เปรียบเทียบว่าการที่พระราชินีอลิซาเบธ จะพูดคุยกับราษฎรต้องมีการร่างเอกสารให้อ่านตาม ในส่วนนี้พยานไม่ทราบว่าการห้ามกษัตริย์สนทนาสดด้วยตนเอง จะเป็นหนึ่งในหลักการประชาธิปไตยหรือไม่ และพยานไม่ทราบในหลักการ The King Can Do No Wrong และไม่เคยได้ยินคำว่า “ปกเกล้าแต่ไม่ปกครอง” มาก่อน

พยานไม่ทราบว่ารัชกาลที่ 10 ได้สั่งแก้ไขรัฐธรรมนูญภายหลังการลงประชามติแล้ว และไม่ทราบเรื่องการโอนกำลังทหารบางส่วนไปเป็นส่วนราชการในพระองค์ และไม่ทราบรายละเอียดใน พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ และไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการรับเงินจากบริษัทเอกชน และยังไม่ทราบเกี่ยวกับการไปประทับที่ประเทศเยอรมัน และการใช้จ่ายเงิน  อีกทั้งไม่ทราบว่าในรัฐธรรมนูญเคยกำหนดว่าหากกษัตริย์ไม่อยู่ในประเทศจะต้องตั้งผู้สำเร็จราชการแทน

พยานรู้ว่าตามหลักการประชาธิปไตย กษัตริย์ไม่มีอำนาจในการปกครองหรืออำนาจบริหาร และพยานไม่แน่ใจว่าหากกษัตริย์มีอำนาจบริหารจะมีผลเป็นอย่างไร ซึ่งการออก พ.ร.บ.โยกย้ายกำลังพลฯ ไปให้พระมหากษัตริย์บริหารจะเป็นการขัดต่อระบอบการปกครองหรือไม่ พยานไม่ทราบ 

พยานไม่แน่ใจว่าการโยกย้ายข้าราชการโดยไม่มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการจะทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ไปถึงกษัตริย์โดยตรงหรือไม่ ทั้งนี้พยานทราบว่าการที่ย้ายราชการถูกโยกย้ายโดยไม่เป็นธรรม สามารถฟ้องร้องกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ แต่ไม่ทราบว่าการโยกย้ายข้าราชการส่วนพระองค์ จะไม่สามารถฟ้องร้องหน่วยงานใดได้

ทนายถามพยานว่าจากข้อความปราศรัยที่ว่า “ตั้งแล้วปลด ปลดแล้วตั้ง” (ประกาศแต่งตั้งดำรงตำแหน่ง และประกาศปลดจากตำแหน่ง แล้วภายหลังประกาศแต่งตั้งใหม่) นั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ และนำประกาศดังกล่าวให้พยานอ่าน พยานตอบว่าเป็นไปตามเอกสาร

จากข้อความ “ปลดใครก็ได้ ตั้งแล้วปลดปลดแล้วตั้ง นี่คือเขาเรียกว่าปกครองไม่ใช่ปกเกล้า” พยานเห็นว่าเป็นเรื่องของพระราชอำนาจ

พยานรับว่าเรื่องการโอนกำลังพล การตั้งแล้วปลด ปลดแล้วตั้ง การไปประทับต่างประเทศ ไม่เคยเกิดขึ้นในรัชกาลก่อน และพยานเห็นว่าช่วงที่มีการเปลี่ยนรัชกาล มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกิดขึ้นจริง เช่น การเปลี่ยนแปลงพระราชอำนาจ การเปลี่ยนแปลงเรื่องส่วนพระองค์ มีความแตกต่างกันระหว่างสองรัชกาล 

พยานทราบข่าวว่า มีการโอนหุ้นที่เป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มาเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ แต่ไม่ทราบรายละเอียดและไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องที่ควรหรือไม่ เพราะไม่ทราบกระบวนการจำแนกทรัพย์สิน แต่ทราบว่าหากทรัพย์สินไม่ถูกโอนเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ จะสามารถตกทอดต่อผู้สืบราชบัลลังก์ต่อไปได้ ซึ่งพยานไม่ทราบว่าหากสวรรคต แล้วทรัพย์สินกระจายไปตกทอดทางมรดก จะกระทบต่อทรัพย์สินของราชบัลลังก์หรือไม่

พยานทราบว่าประธานบริษัทซีพี ได้ถวายเงินให้รัชกาลที่ 10 เพื่อให้พระองค์ใช้ตามพระราชอัธยาศัย แต่ไม่ทราบเกี่ยวกับสภาคกไค (kokkai : สภานิติบัญญัติแห่งชาติของประเทศญี่ปุ่น) ที่มีกฎหมายห้ามสถาบันกษัตริย์รับเงินจากเอกชนก่อนได้รับอนุญาตจากสภา เพื่อเป็นการปกป้องสถาบันกษัตริย์เอง และพยานไม่แน่ใจว่าการที่รัฐธรรมนูญญี่ปุ่นบัญญัติเช่นนี้ จะเป็นการปกป้องสถาบันกษัตริย์หรือไม่ 

พยานตอบทนายว่า เคยเห็นภาพข่าวในอินเทอร์เน็ตที่รัชกาลที่ 10 ทรงเสื้อครอปท็อปเสด็จขึ้นรถ แต่ไม่ทราบว่าที่ใด คาดว่าไม่ใช่ประเทศไทย ซึ่งส่วนตัวของพยานก็จะไม่วิจารณ์และเก็บเป็นเรื่องส่วนตัว เพราะแม้แต่คนทั่วไปก็ไม่ควรวิจารณ์ จากนั้นทนายถามพยานต่อว่า ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์สมควรถูกดำเนินคดีหรือไม่ พยานตอบว่า ตามความเห็นส่วนตัวคิดว่าไม่เหมาะสม แต่ไม่ทราบว่าควรจะถูกดำเนินคดีหรือไม่

พยานเห็นว่าในกรณีที่สถาบันกษัตริย์ทำไม่ดี เป็นเรื่องที่แต่ละคนจะคิด แต่พยานเห็นว่าไม่ควรพูดติติงสถาบันกษัตริย์ เพราะเป็นเรื่องเกินกว่าที่ประชาชนจะทำได้ และคนสามัญชนไม่อยู่ในสถานะที่จะทำได้ 

.

คำว่า “เอาความจริงออกมา กลับใช้มาตรา 112 ปิดปาก” พยานมีความเห็นว่า เป็นการกล่าวหรืออ้างอิงโดยไม่มีเอกสาร คนทั่วไปไม่ทราบ แม้พยานเองก็ทราบวันนี้จากเอกสาร พยานเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนพระองค์ ทนายถามต่อว่า แม้พูดความจริงจะต้องโดนกฎหมายมาตรา 112 ปิดปากหรือไม่ พยานตอบว่า ก็ขึ้นอยู่กับการพูด บริบท คู่สนทนา และสภาพแวดล้อมว่าเป็นแบบใด

พยานเห็นด้วยว่า คนที่ออกมาเคลื่อนไหวให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนวัยรุ่น (Gen Z) และกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ แต่ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดที่ผ่านมา พรรคที่ชนะการเลือกตั้งเป็นอันดับ 1 คือพรรคก้าวไกล ซึ่งมีนโยบายเกี่ยวกับการแก้ไขมาตรา 112 

พยานทราบว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองตั้งแต่ปี 2563 ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากองค์การสหประชาชาติ (UN) และจากสหภาพยุโรป พยานทราบด้วยว่ามีความเห็น เรื่องไม่เห็นด้วยกับการดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 และเห็นด้วยว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองควรเปลี่ยนโดยการพูดคุย หรือสันติวิธี

จากข้อความ “ถ้าสถาบันตุลาการ เป็นเสาหลักลอย เป็นอะไรที่มันเชื่อไม่ได้ บ้านเมืองเราเผชิญกับวิกฤต บ้านเมืองเราล่มจมแน่” พยานเห็นว่าเป็นทรรศนะส่วนตัวของผู้ปราศรัย พยานไม่เห็นด้วยกับข้อความดังกล่าว เพราะมองว่าน่าจะมีกระบวนการนอกเหนือจากนี้ที่ช่วยได้ ซึ่งสถาบันตุลาการในความหมายนี้ หมายถึง ศาลรัฐธรรมนูญ และศาลยุติธรรม

ตามบันทึกคำให้การของพยาน คำว่า “นายเขาใหญ่” พยานยืนยืนว่าเคยให้ความเห็นว่ากษัตริย์มีสถานะและพระราชอำนาจเหนือศาลรัฐธรรมนูญ หรือมีบารมีเป็นที่เคารพเกรงใจของศาลรัฐธรรมนูญ

พยานให้ความเห็นต่อข้อความของจำเลยที่ 5 ว่าเป็นการตั้งคำถามต่อมวลชน และสร้างข้อสังเกต ข้อสงสัย แต่ก็มีข้อความว่าต้องไปพิสูจน์ในกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งมีการเอ่ยพระนามกษัตริย์โดยตรง ด้วยพระนามทั่วไปนั้นไม่เหมาะสม แต่ไม่ทราบว่าจะผิดกฎหมายหรือไม่

ทนายจึงถามพยานว่าในอดีตที่ผ่านมา การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีการเรียกชื่อพระเจ้าอยู่หัวด้วยชื่อเล่น เช่น พระเจ้าตาก ขุนหลวงขี้เรือน หรือไม่ พยานตอบว่ามี แต่เป็นการเรียกภายหลัง และเป็นการเรียกในการสนทนาเฉพาะกลุ่ม

ทนายถามว่าในกรณีที่หลวงพ่อคูณยังมีชีวิตอยู่ เคยพูดกับสมเด็จพระเทพฯ ว่า “พ่อมึงไม่มาหรือ” การใช้คำพูดเช่นนี้โดยไม่ใช้ราชาศัพท์ทำได้หรือไม่ พยานตอบว่าเมื่อดูจากบริบทแล้ว หลวงพ่อคูณไม่ได้อาศัยในเมืองที่จะคุ้นชินกับการใช้คำราชาศัพท์ เห็นว่าแม้จะหยาบคายและไม่เหมาะสม แต่เป็นเรื่องพระราชอัธยาศัย และพระเทพฯ ทรงเป็นนักอักษรทรงเข้าพระทัยดีและไม่ถืออารมณ์ แต่ในส่วนของเหตุในคดีนี้ พยานไม่ทราบว่ารัชกาลที่ 10 ติดใจหรือไม่ แต่เท่าที่พยานทราบ ก็เห็นว่าทรงไม่ติดใจเอาความคนที่เรียกชื่อพระองค์โดยตรง

พยานทราบว่า ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 กษัตริย์ต้องอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ พยานไม่แน่ใจว่าหากกระทำผิดรัฐธรรมนูญจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้หรือไม่ แต่พยานเห็นด้วยว่ากษัตริย์ต้องเป็นกลางทางการเมือง

พยานรับว่าไม่เข้าใจเกี่ยวกับกฎหมาย หรือประวัติศาสตร์ทางการเมือง จึงไม่ทราบว่าสิ่งที่จำเลยที่ 5 พูดจะเป็นความจริงหรือไม่ พยานเพียงดูตามข้อความแล้วเห็นว่าไม่เหมาะสม และการให้การของพยานเป็นไปตามบันทึกคำให้การ ซึ่งเป็นความเห็นทางภาษาเท่านั้น ไม่ได้เป็นการให้ความเห็นทางกฎหมาย ว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายหรือไม่ 

พยานตอบอัยการโจทก์ถามติงว่า การแสดงความคิดเห็นของพยาน เป็นการตีความตามตัวอักษรและแสดงความคิดเห็นโดยบริสุทธิ์ ไม่ได้มีอคติหรือเอนเอียง 

.

กิตติพงศ์ กมลธรรมวงศ์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์สาขากฎหมายมหาชน ในคดีนี้พยานได้รับการติดต่อจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้มาเป็นพยานความเห็นว่าการกระทำเข้าข่ายผิดตามมาตรา 112 หรือไม่ 

พยานได้ดูเอกสารถอดเทปคำปราศรัยของจำเลยที่ 1 แล้วเห็นว่า มีการกล่าวทำนองว่ากษัตริย์รับรองการรัฐประหาร ตั้งหน่วยงานของตนเอง ปลดใครก็ได้ เอาทรัพย์สินสาธารณะมาเป็นของตน ขยายพระราชอำนาจ เป็นการปราศรัยถึงรัชกาลที่ 10 เพราะเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นในสมัยปัจจุบัน

พยานเห็นว่าเป็นการใส่ความผู้อื่น กล่าวหาว่าทรงใช้พระราชอำนาจนอกรัฐธรรมนูญ ทำให้เสียหาย และมีการกล่าวว่าถ้าอยากให้เคารพ ไม่ก้าวล่วง ต้องอยู่ใต้รัฐธรรมนูญเหมือนสากลโลก การออกไปให้สัมภาษณ์สด ๆ กรณีชื่นชมพสกนิกรที่เข้าเฝ้าและให้สัมภาษณ์ ควรได้รับการยินยอม จำเลยกล่าวว่าการกระทำเช่นนี้แสดงถึงความไม่เป็นกลาง

จำเลยยังกล่าวอีกว่าสถาบันกษัตริย์รับเงินจากบริษัทไม่ได้ จะทำให้รัฐบาลเกรงใจ และได้ยกตัวอย่างประเทศญี่ปุ่นมาเปรียบเทียบ กล่าวหาว่าท่านไปเยอรมนีและใช้เงินฟุ่มเฟือย สุรุ่ยสุร่าย โดยที่ไม่มีหลักฐานมายืนยัน ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติ มีความผิดตามมาตรา 112

อัยการโจทก์ให้พยานดูข้อความถอดเทปคำปราศรัยของจำเลยที่ 5 ปราศรัยทำนองว่ากษัตริย์ต้องรับผิดชอบกรณีการสลายการชุมนุมโดยใช้กำลังที่หน้ารัฐสภาเกียกกาย และรับรู้ถึงคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญ พยานเห็นว่าไม่เป็นความจริงเพราะการตัดสินคดีเป็นอำนาจตุลาการ

พยานเบิกความต่อว่า เกี่ยวกับข้อเรียกร้องเรื่องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ภายหลังพยานเขียนบทความแสดงความคิดเห็นไม่เห็นด้วยกับ 10 ข้อเรียกร้อง มีทั้งประเด็นตามมาตรา 6 ในรัฐธรรมนูญ, งบประมาณสถาบันกษัตริย์ ทำให้สถาบันกษัตริย์เสียหาย และเขียนบทความประกอบกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 19/2564 ว่าการกระทำดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ

พยานตอบทนายจำเลยถามค้านว่า พยานให้การตามหลักวิชาการ ไม่ใช่เพราะรักสถาบันกษัตริย์ พยานทราบว่าในปี 2557 ในการชุมนุมของคนเสื้อแดง – เสื้อเหลือง มีฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ฯ สวมเสื้อลายธงชาติคล้ายสัญลักษณ์กลุ่ม กปปส. แต่พยานเห็นว่าสัญลักษณ์ธงชาติตีความได้หลายอย่าง ที่ตีความว่าเข้าข้างฝ่ายใดก็ตีความกันไปเอง ส่วนพระองค์จะแสดงออกทางการเมืองหรือไม่เป็นเรื่องส่วนพระองค์

พยานไม่เคยเห็นแถลงการณ์ของสำนักพระราชวังกรณีการแสดงออกทางการเมืองของฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ฯ และไม่ใช่หน้าที่ของสำนักพระราชวังที่ต้องออกแถลงการณ์ ในขณะเดียวกันพยานก็ไม่เคยเห็นว่าพระองค์อื่นจะแสดงความเห็นทางการเมือง

พยานทราบว่าในปี 2563 รัชกาลที่ 10 ได้ตรัสชมบุคคลที่ไปชูรูปพระบรมฉายาลักษณ์ในการชุมนุม พยานไม่ทราบว่าพระองค์จะมีนัยใด และไม่ได้กังวลว่าการตรัสชมจะนำมาสู่การปราบปรามการชุมนุมอย่างรุนแรงหรือไม่ แต่กรณีที่พระราชินีมอบลายพระหัตถ์พร้อมข้อความทำนองว่า ขอบคุณที่เป็นกำลังที่เข้มแข็งในการปกป้องสถาบันกษัตริย์กับผู้ที่ไปแจ้งความมาตรา 112 มีความเหมาะสมหรือไม่ พยานไม่ตอบ และเห็นว่าการว่าที่สถาบันกษัตริย์มีการกระทำดังกล่าว เป็นการให้กำลังใจสามารถกระทำได้ ไม่ใช่เรื่องทางการเมือง

พยานยอมรับว่าเมื่อช่วงปี 2549-2550 พยานได้รับการแต่งตั้งจากคณะรัฐประหาร และพยานเคยแสดงออกต่อต้านรัฐประหารในปี 2534 และพยานทราบว่าการรัฐประหารเป็นเรื่องที่ไม่ชอบอยู่แล้ว แต่เห็นว่าการรัฐประหารปี 2557 เป็นการกระทำที่มีเหตุผล

พยานทราบว่าขณะเกิดเหตุในคดีนี้ พริษฐ์ และปนัสยา ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมูลเหตุมาจากการปราศรัยข้อเรียกร้อง 10 ข้อ ซึ่งมีคณาจารย์ทั่วประเทศลงชื่อเรียกร้อง 105 คน แต่พยานไม่เห็นด้วย มองว่าเป็นการทำร้ายลูกศิษย์ พยานจึงประสงค์ดีต่อลูกศิษย์มาเป็นพยานในคดีมาตรา 112

ทนายจำเลยถามพยานว่า ทราบหรือไม่ว่าผลของการหวังดีของพยานทำให้เด็กต้องเข้าคุกและลี้ภัย พยานตอบว่าเป็นไปตามข้อเท็จจริง ทุกคนเท่าเทียมกันต่อหน้ากฎหมาย พยานได้เข้ามาเป็นพยานเพราะพนักงานสอบสวนเรียก

พยานเห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญกรณี พล.อ.ประยุทธ์ สามารถพักในบ้านพักหลวง เนื่องจากมีการแจกแจงรายละเอียดข้อกฎหมาย และพยานทราบว่าในปัจจุบัน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นองคมนตรี แต่ไม่ทราบว่าเป็นการแต่งตั้งโดยไม่มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ และไม่ตอบว่าการแต่งตั้งโดยไม่มีผู้รับสนองฯ จะขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่

สำหรับหลัก King Can Do No Wrong พยานอธิบายว่าพระองค์ไม่ได้เป็นผู้บริหารประเทศ มีฝ่ายบริหารดูแล พระองค์ทรงเป็นกลางทางการเมือง และเมื่ออยู่ภายใต้หลักการนี้ก็จะถูกละเมิดไม่ได้ ส่วนตามหลักการการจะทำอะไรต้องมีผู้รับสนองหรือไม่ พยานเห็นว่าต้องดูเป็นรายกรณีว่าเป็นเรื่องส่วนพระองค์หรือไม่ ทนายจำเลยถามว่าถ้าหากมีกฎหมายระบุไว้ต้องมีผู้รับสนองฯ หรือไม่ พยานตอบว่าขอไม่ตอบ ก็เป็นไปตามกฎหมาย

พยานเคยได้ยินว่ารัฐสภาเยอรมนีอภิปรายเรื่องการใช้อำนาจนอกราชอาณาจักรของรัชกาลที่ 10 แต่ก็ไม่มีหลักฐาน พยานทราบข่าวที่พระองค์ประทับที่แคว้นบาวาเรียพร้อมข้าราชบริวาร แต่ก็ไม่ทราบรายละเอียด

พยานเคยเห็นภาพของรัชกาลที่ 10 ในต่างประเทศ โดยไม่เชื่อว่าเป็นภาพจริง พยานไม่เคยแจ้งความดำเนินคดีกับคนที่ตัดต่อภาพ เพราะไม่ใช่หน้าที่และไม่ได้พิสูจน์ อีกทั้งพยานไม่เคยพิสูจน์ว่าจะใช้เงินส่วนใดในการประทับต่างประเทศ ไม่เห็นว่าการนำข้าราชบริพารไปด้วยจะเป็นการฟุ่มเฟือย พยานทราบว่ารัฐบาลมีงบประมาณให้สถาบันกษัตริย์ แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูรายละเอียดงบประมาณด้วย 

ทนายจำเลยถามว่าเดิมพระมหากษัตริย์ไปประทับต่างประเทศต้องมีผู้สำเร็จราชการแทนฯ ต่อมามีดำรัสให้แก้ว่าไม่ต้องแต่งตั้งใช่หรือไม่ พยานตอบว่าเนื่องจากมีการแก้รัฐธรรมนูญหลายเรื่อง แต่หลังจากนั้นก็ตามที่ปรากฏว่ามีการแก้ไข แต่พระราชดำรัสก็ไม่ได้เจาะจงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

เกี่ยวกับการตีความคุณค่าของบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ พยานตอบว่าเห็นด้วยว่าต้องตีความรัฐธรรมนูญแต่ละบทให้มีคุณค่าพร้อม ๆ กัน แต่ก็ไม่สามารถตีความแคบมองด้านเดียว การตีความเรื่องความมั่นคงกับสิทธิเสรีภาพต้องตีความได้พร้อมกัน การวิพากษ์วิจารณ์กษัตริย์สามารถทำได้ตราบเท่าที่ไม่ขัดมาตรา 112

ทนายจำเลยถามว่าการเสนอข้อห้ามกษัตริย์รับรองการทำรัฐประหารไม่ขัดกับระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยใช่หรือไม่ พยานเห็นว่าเป็นการกระทำทางการเมือง ข้อเสนอดังกล่าวเป็นการเข้าใจผิดว่ากษัตริย์รับรองการทำรัฐประหาร ตามหลักการแล้วก็สามารถเสนอข้อเสนอได้ แต่จะเข้าองค์ประกอบหรือไม่เป็นอีกเรื่อง แต่พยานทราบว่าเคยมีกรณีกษัตริย์สเปนไม่รับรองการทำรัฐประหาร

พยานรู้จัก อ.หยุด แสงอุทัย ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญกฎหมายอาญาและรัฐธรรมนูญ และทราบว่าท่านเคยให้ความเห็นว่ากษัตริย์ไม่ควรแสดงออกทางการเมือง และพยานเองเคยใช้ความเห็นนี้ในหนังสือของพยาน แต่พยานเห็นว่าก็ต้องดูสถานการณ์อื่นประกอบด้วย

พยานเห็นว่าตามมาตรา 8 ของรัฐธรรมนูญประเทศญี่ปุ่น ห้ามไม่สถาบันกษัตริย์รับทรัพย์สิน แต่รัฐธรรมนูญของประเทศญี่ปุ่นทำขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถูกสหรัฐอเมริกาจำกัดสิทธิ ทำให้สถาบันกษัตริย์อยู่ในสถานะสัญลักษณ์ ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับประเทศไทยได้

พยานเห็นว่าบริษัทซีพี สามารถบริจาคเงินให้สถาบันกษัตริย์ได้และไม่ผิดกฎหมาย ส่วนกรณีบริษัทในเครือมักได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐนั้นเป็นเรื่องปกติ และทราบว่าผู้บริหารซีพีเคยเข้าเฝ้าหลายครั้ง

พยานเห็นว่าข้อเสนอในการปรับงบสถาบันกษัตริย์ให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจทำได้ แต่ผู้ชุมนุมใช้คำว่าสถาบันกษัตริย์ใช้เงินฟุ่มเฟือย และพยานทราบว่าในช่วงที่รัชกาลที่ 10 ประทับที่ประเทศเยอรมนีเป็นช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 แต่ไม่ทราบช่วงเวลาแน่ชัด

ทนายจำเลยถามว่าการแต่งตั้งปลดโยกย้ายหน่วยงานในพระองค์ทำโดยพระราชอัธยาศัยใช่หรือไม่ พยานตอบว่าเป็นไปตามกฎหมาย เป็นการบริหาร แต่ไม่เรียกว่าทรงกระทำโดยพระองค์เอง ไม่ขัดกับหลักปกเกล้าไม่ปกครอง ซึ่งพยานเห็นด้วยกับที่ทนายจำเลยถามว่าตามหลัก The King Can Do No Wrong การจะทำอะไรต้องมีผู้รับสนองฯ

พยานเห็นว่าหากข้าราชบริพารในพระองค์ถูกสั่งปลด ก็จะไม่สามารถฟ้องร้องในหลวงได้ เนื่องจากขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 6 ทนายจึงถามต่อว่าถือว่าข้าราชบริพารในพระองค์จะไม่ได้รับความเป็นธรรมทางกฎหมายเท่าเทียมกับข้าราชการอื่นหรือไม่ พยานตอบว่าไม่

พยานตอบทนายจำเลยว่าการบริหารทรัพย์สินกษัตริย์เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย ซึ่งเดิมจะตกทอดรุ่นต่อรุ่น ส่วนกฎหมายใหม่ที่ใช้อำนาจโอนหุ้นต่าง ๆ มาเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์และการจำหน่ายจ่ายแจก พยานเห็นว่าเป็นการทำตามกฎหมาย แต่หลังจากโอนให้คนนอกแล้ว พยานไม่ทราบว่าทรัพย์สินนั้นจะตกทอดต่ออย่างไร ซึ่งในสมัย ร.9 ไม่มีลักษณะการโอนเช่นนี้ เนื่องจากกฎหมายไม่อนุญาต

พยานไม่ได้ให้การว่าจำเลยที่ 5 ปราศรัยถ้อยคำใดผิดตามมาตรา 112 เพราะไม่ได้บันทึกว่าถ้อยคำใดมีลักษณะอย่างไร แต่เบิกความว่าจำเลยมีความผิดครั้งแรกในศาลนี้ แม้จำได้ว่าเคยให้การในชั้นสอบสวน

พยานยอมรับว่าเคยให้การในคดีของพริษฐ์ว่าการเรียกในหลวงว่า ‘วชิราลงกรณ์’ ไม่ผิดกฎหมาย แต่ไม่เหมาะสม เคยให้การว่าหากรัชกาลที่ 10 สวมเสื้อครอปท็อปจะเกิดความเสียหายไม่เป็นไปตามครรลอง ประชาชนสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ และเคยให้การว่าหากกษัตริย์ใช้เงินฟุ่มเฟือยและมีหลักฐานก็สามารถวิจารณ์ได้ อีกทั้งเคยให้การว่ากรณีมาตรา 112 ถ้ากระทำผิดโดยสุจริต ก็ไม่ต้องรับโทษ 

ทนายจำเลยถามว่าหากพระองค์ประทับต่างประเทศจริง ถือว่าเป็นการกล่าวโดยสุจริตหรือไม่ มีสำนักข่าวถูกดำเนินคดีจากการนำเสนอข่าวการประทับต่างประเทศหรือไม่ พยานตอบว่าหากประทับจริง ต้องดูองค์ประกอบอื่นร่วม แต่พยานไม่เคยเห็นสำนักข่าวถูกดำเนินคดี

ทนายจำเลยถามว่าคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับข้อเรียกร้อง 10 ข้อ ไม่ส่งผลต่อการดำเนินคดีอาญาใช่หรือไม่ พยานตอบว่าไม่เกี่ยว อยู่ที่ศาลจะพิจารณา และทราบว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวไม่ได้ระบุลงรายละเอียดในเนื้อหาข้อเรียกร้อง แต่วินิจฉัยว่าพฤติการณ์เป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลาย ซึ่งพยานเห็นว่าสามารถนำเสนอข้อเรียกร้องได้ ไม่ว่าจะผ่านรัฐสภา ผ่านประชาชนเข้าชื่อ แต่ก็ห้ามเป็นการกระทำที่ขัดต่อคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ

.

อานนท์ นำภา จำเลยที่ 1 อ้างตนเป็นพยาน เบิกความว่า พยานจบการศึกษาระดับปริญญาตรี นิติศาสตรบัณฑิต และเนติบัณฑิตยไทย ประกอบอาชีพเป็นทนายความตั้งแต่ปี 2551 โดยทำคดีที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชน ช่วยเหลือชาวบ้านที่ถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม และคดีเกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมือง

เกี่ยวกับคดีนี้ พยานให้การปฏิเสธมาโดยตลอด พยานไม่ใช่ผู้จัดการชุมนุมและไม่ใช่สมาชิกของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมซึ่งเป็นผู้จัด แต่เข้าร่วมการชุมนุมเนื่องจากกลุ่มแนวร่วมฯ ได้เชิญพยานไปปราศรัย 

พยานเบิกความเพิ่มเติมว่า การที่พยานกล่าวว่าจะไปชุมนุม ไม่ได้หมายความว่าพยานเป็นผู้จัด เช่น หากมีคอนเสิร์ตของเบิร์ด ธงชัย การที่พยานชวนคนไปดูคอนเสิร์ต ไม่ได้หมายความว่าพยานเป็นผู้จัด

พยานทราบว่า ในช่วงเวลาเกิดเหตุ มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะจะไม่มีผลใช้บังคับหากมีการประกาศประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ มาตรา 3 (6)  สอดคล้องกับคำพิพากษาของศาลอาญาในอีกคดีหนึ่ง

ข้อเรียกร้อง 3 ข้อของการชุมนุม คือ พลเอกประยุทธ์ลาออกหรือยุบสภา, แก้ไขรัฐธรรมนูญ และปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ซึ่งข้อเรียกร้องดังกล่าวไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ส่วนข้อเสนอของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมที่เคยได้เสนอไว้เมื่อการชุมนุมในวันที่ 10 ส.ค. 2563 มี 10 ข้อ 

พยานต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องสิทธิเสรีภาพและส่วนที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ให้เหมือนสมัยรัชกาลที่ 9 เป็นอย่างน้อย ไม่ให้มีการขยายพระราชอำนาจ ซึ่งปัจจุบันในรัฐสภาก็มีการพูดคุยเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ส่วนการปฏิรูปที่พยานกล่าวถึง คือการทำให้ดีขึ้น และทำให้สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 

พยานรับว่า ได้ปราศรัยข้อความตามฟ้องจริง โดยคำปราศรัยส่วนแรกเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญกรณีมีคำตัดสินเรื่องการอยู่ในบ้านพักข้าราชการของพลเอกประยุทธ์ ทั้งที่พ้นจากตำแหน่งผู้บังคับบัญชาทหารบกแล้ว 

นอกจากนี้ พยานยังเรียกร้องให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญโดยเปิดเผย เนื่องจากอำนาจอธิปไตยของประชาชนถูกแบ่งเป็น 3 ส่วน ทำให้ประชาชนมีความชอบธรรมในการวิพากษ์วิจารณ์ แต่เมื่อเป็นชาวบ้านก็อาจจะไม่ได้ใช้ถ้อยคำที่สวยหรู

อานนท์เบิกความว่า พระมหากษัตริย์ต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางการเมือง โดยจากการศึกษาประวัติศาสตร์ทางการเมืองและจากประสบการณ์ทำงาน พยานเห็นว่าในหลายครั้งเมื่อสถาบันกษัตริย์มีข้อท้วงติง ก็ทำให้ผู้มีอำนาจตีความเข้าข้างฝ่ายตน  

พยานเบิกความต่อไปว่า ในช่วงปี 2549 – 2553 เกิดความขัดแย้งทางการเมือง โดยบุคคลในสถาบันกษัตริย์ก็แสดงออกอย่างไม่เป็นกลาง เช่น กรณีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งเป็นประธานองคมนตรีในขณะนั้นกล่าวในทำนองว่า เจ้าของคอกม้าไม่ใช่รัฐบาล รัฐบาลเป็นแค่จ๊อกกี้ 

หรือกรณีที่มีการอนุญาตให้นำเทปอัดเสียงของพระพันปีหลวงไปเปิดในการปราศรัยแอบอ้างถึงการแต่งกายโดยใช้ผ้าพันคอสีฟ้า เรียกร้องให้มีการรัฐประหาร เกิดการปะทะกันของกลุ่มคนเสื้อเหลือง และกลุ่มคนเสื้อแดง จนนำไปสู่การเสียชีวิตของ “โบว์” (อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ สมาชิกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย) ซึ่งพระพันปีหลวงและเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ได้ไปร่วมงานศพและตรัสชม จากนั้นกองทัพจึงได้ออกวาทกรรมว่า ‘ล้มเจ้า’ และทำผังล้มเจ้าออกมา ทำให้มีการล้อมปราบและสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งต่อมาพลเอกประยุทธ์ก็ได้ทำการรัฐประหารรัฐบาลยิ่งลักษณ์

พยานเห็นว่า เหตุการณ์ทางการเมืองทั้งสามเหตุการณ์ข้างต้นเป็นโศกนาฏกรรมในอดีตที่อาจทำให้เกิดการซ้ำรอยทางประวัติศาสตร์ได้ จากกรณีที่ในหลวงได้ตรัสชมเชยชายคนหนึ่งที่ชูรูปพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 9 ในการชุมนุมของกลุ่มราษฎรว่า “กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจ” ในการเข้ารับเสด็จวันที่ 23 ต.ค. 2563 

ในฐานะที่พยานเป็นแกนนำกลุ่มราษฎร พยานกังวลว่า การกระทำดังกล่าวจะถูกนำตีความว่าทรงอยู่ตรงข้ามกับกลุ่มราษฎร และกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์เพื่อการชุมนุม ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2563 กลุ่มราษฎรได้ชุมนุมกันที่หน้ารัฐสภาและถูกสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรง มีทั้งแก๊สน้ำตา และมีคนถูกยิงด้วยกระสุนยาง

พยานเห็นว่า บทบาทของพระมหากษัตริย์จึงไม่เป็นไปตามหลักการ ‘The King Can Do No Wrong’ หรือ ‘ปกเกล้า ไม่ปกครอง’ จึงไม่พ้นการวิพากษ์วิจารณ์เพื่อให้กลับไปเป็นตามหลักการที่รัฐธรรมนูญวางไว้

นอกจากนี้ พยานยังไม่เห็นด้วยกับการรับรองการแต่งตั้งหัวหน้าผู้ทำการรัฐประหารเป็นนายกฯ เนื่องจากเป็นการสร้างความชอบธรรมให้การรัฐประหาร ซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย โดยผู้ที่ออกมาชุมนุมต่อต้านการรัฐประหารก็ถูกดำเนินคดีและถูกจับกุม

พยานจำได้ว่า ร่างรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2559 ซึ่งผ่านประชามติแล้วในวันที่ 7 ส.ค. 2559 อยู่ระหว่างทูลเกล้าฯ ถวายรัชกาลที่ 9 ซึ่งประชวรหนัก และต่อมาพระองค์สวรรคตในวันที่ 13 ต.ค. 2559 จึงได้ทูลเกล้าฯ ให้รัชกาลที่ 10 ในช่วงปลายปี แต่ไม่มีการลงพระปรมาภิไธยและพระองค์ได้รับสั่งให้กลับมาแก้ไขเรื่องการขยายพระราชอำนาจใน 2 – 3 ประเด็น ได้แก่ ตั้งหน่วยงานในพระองค์ และการประทับอยู่ต่างประเทศสามารถทำได้โดยไม่ต้องตั้งผู้สำเร็จราชการแทน นอกจากนี้ ยังมีภาพที่ไม่เหมาะสมหลุดออกมาในอินเทอร์เน็ตบ่อยครั้ง

ทำให้เกิดการชุมนุมของคนรุ่นใหม่ในปี 2563 ซึ่งไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์โดยตรง แต่มีการซุบซิบนินทา พยานและกลุ่มราษฎรไม่เห็นด้วยกับการซุบซิบนินทา และมองว่าการวิพากษ์วิจารณ์ควรทำอย่างตรงไปตรงมา

รัฐสภาของเยอรมนีเองก็มีการประชุมเนื่องจากเกรงว่าจะมีการใช้พระราชอำนาจนอกราชอาณาจักร ไทยซึ่งอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เช่น การลงพระปรมาภิไธย หลังจากการปราศรัย รัชกาลที่ 10 ก็ได้กลับมาประทับที่ประเทศไทยเป็นการถาวร

เรื่องการแต่งตั้งหน่วยงานในพระองค์ พยานเบิกความว่า หลังมีการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ ก็มีการโอนกองทหารราบที่ 1 และราบที่ 11 ไปเป็นหน่วยงานในพระองค์ ขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์โดยตรง และยังมีการแต่งตั้งทหารเป็นหน่วยงานในพระองค์อีกหลายท่าน ซึ่งเมื่อมีการแต่งตั้งพลทหารหญิงก็เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ โดยรัฐบาลและสำนักข่าวแก้ปัญหาด้วยการปิดคอมเมนต์ คำปราศรัยที่พยานพูดถึงการปลดแล้วตั้ง ตั้งแล้วปลด พยานหมายถึงเจ้าคุณพระสินีนาถฯ ซึ่งมีการแต่งตั้งเมื่อปี 2562 และถูกปลดในปีเดียวกัน ก่อนจะถูกแต่งตั้งอีกครั้งในปี 2563

การแต่งตั้งดังกล่าวโดยไม่มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดการวิพากษ์วิจารณ์พระมหากษัตริย์โดยตรง เพราะเป็นการกระทำที่ขัดกับหลักการ The King Can Do No Wrong โดยเป็นการบริหารโดยตรงของพระองค์เอง ไม่ผ่านฝ่ายบริหาร และการกระทำเช่นนี้ยังทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างทหารในพระองค์กับทหารทั่วไปที่สังกัดกองทัพบก

การออกกฎหมายเกี่ยวกับทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ทำให้สาธารณสมบัติของแผ่นดิน เช่น พระราชวัง หุ้น รวมถึงทรัพย์สินของราชบัลลังก์ที่กษัตริย์สืบทอดทรัพย์ต่อกันมา กลายเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ การจำหน่าย จ่าย โอนเป็นไปตามพระราชอัธยาศัย ซึ่งพยานมีข้อกังวลว่าหากทรัพย์สินเหล่านี้ถูกแจกจ่ายออกไป ก็อาจทำให้รัชกาลต่อไปไม่มีทรัพย์สิน เช่น หุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ หุ้นบริษัทปูนซีเมนต์ไทย และอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ 

นอกจากนี้ เมื่อเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ก็ทำให้ทรัพย์สินตกสู่ทายาทโดยธรรมตามกฎหมายมรดกหรือตามพินัยกรรม ซึ่งอาจทำให้พระมหากษัตริย์รัชกาลต่อไปไม่มีพระราชวังประทับได้

คำปราศรัยได้มีการเปรียบเทียบกับประเทศอื่น เช่น ประเทศอังกฤษ ที่ห้ามมิให้ราชวงศ์มีการแสดงความเห็นทางการเมืองแบบสด ๆ และประเทศญี่ปุ่น ที่ห้ามราชวงศ์รับเงินจากการบริจาค ซึ่งป้องกันไม่ให้นายทุนสามารถใช้อ้างผลประโยชน์ได้ โดยในคำปราศรัยพยานพูดถึงบริษัทซีพี

คำปราศรัยยังกล่าวถึงข้อกังวลต่อการใช้มาตรา 112 เนื่องจากพลเอกประยุทธ์ได้ออกมาแถลงข่าวว่าจะบังคับใช้กฎหมายทุกมาตรา หลังเคยให้สัมภาษณ์ว่า รัชกาลที่ 10 ทรงมีพระเมตตาไม่ให้ใช้มาตรา 112 ซึ่งต่อมาก็มีผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 หลังเกิดเหตุการชุมนุม พระราชินีสุทิดาฯ ได้ให้กลุ่ม ‘มินเนี่ยน’ เข้าเฝ้าและให้กำลังใจด้วย

พยานเบิกความว่า เคยได้รางวัลในปี 2563 จากนิตยสาร TIME ซึ่งจัดอันดับให้พยานเป็นบุคคล 1 ใน 100 หมวดผู้ทรงอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงอนาคต และได้รับรางวัลกวางจูเพื่อสิทธิมนุษยชน (GPHR) ประจำปี 2021

ช่วงตอบพนักงานอัยการถามค้าน

พยานเบิกความตอบว่า ข้อความคำปราศรัยปรากฏในท้ายฟ้องตรงกับที่พยานปราศรัยจริง

พนักงานอัยการถามว่า จากข้อความตามฟ้องว่า “ประยุทธ์รอดคดีเพราะนายเขาใหญ่” คำว่า “นาย” ที่พยานปราศรัยหมายถึงใคร พยานเท้าความว่า พลเอกประยุทธ์สนิทกับพระพันปีหลวงเนื่องจากเคยเป็นทหารเสือพระราชินี ต่อมาในช่วงเปลี่ยนผ่านจากรัชกาลที่ 9 เป็นรัชกาลที่ 10 อาจทรงไม่มั่นใจในตัวพลเอกประยุทธ์  “นายใหญ่” จริง ๆ จึงเป็น พล.อ.ประวิทย์ วงษ์สุวรรณ ส่วนคนที่มีอำนาจในทางที่ไม่ดีนั้น พยานหมายถึงคณะรัฐประหาร

พยานเบิกความต่อไปว่า ในปี 2557 หลังการรัฐประหาร มีการยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 2550 ยกเว้นหมวด 2 แสดงว่า คณะรัฐประหารซึ่งมีอำนาจมากที่สุดอนุญาตให้มีสถาบันกษัตริย์ “นาย” จึงหมายถึงกลุ่มคนที่มีอิทธิพลในการเมืองไทยที่หนุนหลังอยู่ ซึ่งรัชกาลที่ 10 ไม่ได้อยู่ในความคิดของพยาน  โดยพยานหมายถึงกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่เป็นผู้เลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่มาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหาร

ทนายความจำเลยไม่ถามติง

.

รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตำแหน่งรองศาสตราจารย์ เบิกความว่า พยานจบการศึกษาระดับปริญญาโท คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ด้านกฎหมายมหาชน พยานรับผิดชอบสอนวิชานิติปรัชญา และวิจัยกฎหมายเชิงเปรียบเทียบ

พยานมีผลงานทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ คือ งานวิจัยเรื่องเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย, รายงานการศึกษาวิจัยเรื่องข้อถกเถียงว่าด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์ในรัฐธรรมนูญไทย ตั้งแต่ปี 2475–2550 และบทความเรื่องอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ บนเว็บไซต์ 101 world

พยานได้อ่านคำฟ้องแล้ว เห็นว่าประเด็นเรื่องสถานะของพระมหากษัตริย์ซึ่งไม่สามารถล่วงละเมิดได้ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 ซึ่งบทบัญญัตินี้มีที่มาจากหลักการของรัฐธรรมนูญ ปี 2475 และถูกแก้ไขในรัฐธรรมนูญ ปี 2492 ซึ่งมีการโต้เถียงว่าสถานะเคารพสักการะเป็นสถานะใด จึงได้ข้อสรุปว่หมายถึงประชาชนไม่สามารถฟ้องร้องกล่าวหาพระมหากษัตริย์ได้ในทางแพ่งหรือทางอาญา แต่ไม่รวมการใช้เสรีภาพในการแสดงความเห็น

หลักการดังกล่าวจะสอดคล้องกับหลัก The King Can Do No Wrong กล่าวคือ พระมหากษัตริย์จะทำการใดต้องมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ เพราะไม่ได้กระทำด้วยตนเอง เมื่อพระมหากษัตริย์ไม่ได้ทำการใด ๆ ด้วยความประสงค์ของพระองค์เอง ประชาชนจึงไม่สามารถฟ้องร้องได้ เช่น การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี หรือในอีกแง่หนึ่ง คือ การวางให้พระมหากษัตริย์เป็นกลางทางการเมือง 

อีกประเด็นที่เกี่ยวข้อง คือ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 34 ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของระบอบเสรีประชาธิปไตย จึงไม่สามารถตีความให้คุณค่าอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่เหนืออีกคุณค่าโดยสิ้นเชิง เช่น รัฐธรรมนูญรับรองเสรีภาพในการแสดงความเห็นไว้ แต่การแสดงความเห็นนั้นต้องไม่ใช่การล้มล้าง

เช่นเดียวกัน สถานะอันล่วงละเมิดมิได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าห้ามประชาชนแสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์พระมหากษัตริย์ รวมถึงสถาบันกษัตริย์ แต่ต้องไม่เป็นการล้มล้าง

พยานดูคำฟ้องคดีนี้ในข้อหาตามมาตรา 112 แล้ว เห็นว่า คำปราศรัยตามฟ้องเป็นการใช้เสรีภาพในการแสดงความเห็น เนื่องจากเป็นการอธิบายหลักการของการดำรงเป็นกลางทางการเมืองของพระมหากษัตริย์ และอธิบายหลักกฎหมายเรื่องการขยายพระราชอำนาจ

พยานเบิกความต่อไปว่า ในช่วงเวลาดังกล่าว มีการออกกฎหมายที่สร้างความเคลือบแคลงใจ คือกฎหมายเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ โดยก่อนปี 2560 มีการแบ่งทรัพย์สินเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ทรัพย์สินส่วนพระองค์, ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และสาธารณสมบัติของแผ่นดิน

ต่อมารัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ได้ออกกฎหมายมา 2 ฉบับ ที่เปลี่ยนสาระสำคัญ คือ พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ฯ ซึ่งทำให้ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ซึ่งการจัดการให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย ทำให้มีข้อสงสัยว่าทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พระมหากษัตริย์อาจจะยกให้ใครก็ได้หรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดคำถามและยังไม่มีหน่วยงานใดออกมาชี้แจง

ในส่วนคำฟ้องในข้อหาตามมาตรา 116 พยานเห็นว่า การกระทำของอานนท์ไม่เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 116 เนื่องจากไม่ใช่การข่มขู่หรือใช้กำลังเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง โดยหลังการชุมนุมก็ไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น 

ช่วงตอบพนักงานอัยการถามค้าน

พยานตอบว่า การแสดงความเห็นที่จะเข้าข่ายผิดตามมาตรา 112 จะต้องเป็นความผิดโดยชัดเจน

พยานรับว่า เคยอ่านแค่คำฟ้อง ไม่เคยเห็นท้ายฟ้อง พนักงานอัยการให้พยานดูท้ายฟ้องที่มีข้อความปราศรัยว่า “ประยุทธ์รอดคดีเพราะนายเขาใหญ่” อัยการโจทก์ถามว่า “นาย” หมายถึงรัชกาลที่ 10 ใช่หรือไม่ พยานตอบว่า ไม่ทราบว่าจะหมายถึงกษัตริย์หรือไม่ แต่เห็นว่า มีการกล่าวถึงพลเอกประยุทธ์ และสถาบันกษัตริย์

พยานเบิกความว่า อ่านเฉพาะคำฟ้องเพราะเป็นหัวใจหลัก และจากคำฟ้อง พยานยังไม่เห็นว่าเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 112 อาจมีประชาชนบางส่วนมองว่าไม่เหมาะสม แต่ความไม่เหมาะสมไม่ได้เท่ากับว่าผิดกฎหมาย 

พยานขอยกตัวอย่างกรณีต่างประเทศซึ่งเกี่ยวกับการใช้สิทธิและเสรีภาพเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ เช่น กรณีการเผาธงชาติสหรัฐอเมริกา ซึ่งโดยปกติแล้ว การเผาธงชาติจะผิดกฎหมาย แต่มีคำพิพากษาของศาลออกมายอมรับว่าการเผาธงเพื่อแสดงความเห็นทางการเมืองสามารถกระทำได้ 

ดังนั้น หากมองแยกส่วนว่าเป็นการเผาธงชาติกับการใช้เสรีภาพในการแสดงออก แม้การเผาธงชาติจะผิด แต่เมื่อพิจารณารวมแล้วก็จะเห็นคุณค่าของหลักการใช้เสรีภาพในการแสดงออก เราจึงไม่สามารถตีความหลักคุณค่าใดด้อยกว่าคุณค่าอื่นได้ เช่น เห็นว่าการชุมนุมผิดกฎหมายจราจรโดยไม่คำนึงถึงคุณค่าของหลักการใช้เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ

พนักงานอัยการถามอีกครั้งว่า ถ้า “นาย” หมายถึงพระมหากษัตริย์ จะถือว่าการแสดงออกของจำเลยลดทอนคุณค่าพระมหากษัตริย์หรือไม่ เนื่องจากคนที่ฟังอาจเข้าใจว่าพระมหากษัตริย์ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง พยานตอบว่า ไม่ทราบว่านายหมายถึงใคร จึงขอไม่ตอบ

ทนายความจำเลยไม่ถามติง

.

“ฮิวโก้” จิรฐิตา (สงวนนามสกุล) จำเลยที่ 5 อ้างตนเป็นพยาน เบิกความว่า พยานอายุ 28 ปี ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป จบการศึกษาระดับปริญาตรี คณะศิลปศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ 

พยานเริ่มสนใจการเมืองในปี 2557 ช่วงศึกษาอยู่ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เนื่องจากมีการรัฐประหารโดยพลเอกประยุทธ์ พยานได้รับผลกระทบจากการรัฐประหาร โดยมีม็อบมาปิดธนาคารละลามมาปิดบริเวณโรงเรียนของพยานเพราะตั้งใกล้กัน พยานเห็นความวุ่นวายของม็อบ จากนั้นเมื่อมีการรัฐประหาร พยานเข้าใจว่าทหารทำให้บ้านเมืองสงบ

หลังจากเข้ามหาวิทยาลัย พยานเข้าใจอะไรมากขึ้น โดยได้ไปทำกิจกรรมอาสาเกี่ยวกับสิทธินักศึกษา และหลังเรียนจบก็ได้สมัครเป็นอาสาสมัครนักสิทธิมนุษยชน โดยในระหว่างนั้น พยานจึงได้มีเวลาไปฟังปราศรัยในการชุมนุม

ในวันที่เกิดเหตุ พยานไปร่วมฟังการปราศรัยและจากประสบการณ์ที่เคยทำงานอาสาสมัคร ทำให้ได้เดินทางไปมาระหว่าง กรุงเทพฯ – ภาคอีสาน และเรียนรู้สิทธิของชาวบ้านเรื่องที่ดินทำกิน 

ก่อนวันเกิดเหตุ ช่วงเดือน พ.ย. 2563 พยานได้ไปร่วมการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธหน้ารัฐสภา แต่ถูกเจ้าหน้าที่สลายการชุมนุมด้วยแก๊สน้ำตา น้ำผสมสารเคมี และพยานโดนน้ำดังกล่าว ทำให้ที่ขามีแผลพุพอง

ในวันที่เกิดเหตุ เพื่อนที่พยานรู้จักชวนไปร่วมชุมนุมและขึ้นปราศรัยในหัวข้อคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในการพักอาศัยในบ้านพักข้าราชการของพลเอกประยุทธ์ พยานจึงมาถึงที่ชุมนุมตั้งแต่เวลา 16.00 – 17.00 น. และไปนั่งที่ร้านอาหารในละแวกนั้นเหมือนผู้ชุมนุมทั่วไป

พยานรับว่า ปราศรัยตามเนื้อหาในคำฟ้องจริง แต่ไม่รับรองว่าเป็นคำพูดแบบเดียวกัน โดยที่พยานปราศรัยเพราะเป็นผู้เข้าร่วมการชุมนุมที่ถูกสลายการชุมนุม 

นอกจากนี้ พยานได้อ่านข่าวจากโซเชียลมีเดียเห็นว่ามีเหตุการณ์ที่ในหลวงและพระราชินีตรัสชมผู้ชุมนุมที่ไปชูพระบรมฉายาลักษณ์ในม็อบว่า “กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจ” และทราบเหตุการณ์ที่พลเอกประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ว่า “ในหลวงกำชับไม่ให้ใช้มาตรา 112” และต่อมาได้ให้สัมภาษณ์ว่า “จะใช้กฎหมายทุกฉบับกับผู้ชุมนุม” ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้พยานตั้งคำถามถึงความเป็นกลางของสถาบันกษัตริย์

ส่วนที่พยานปราศรัยว่า การกระทำหรือคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญหรือของเจ้าหน้าที่ กระทำภายใต้พระปรมาภิไธยนั้น เป็นการตั้งคำถามถึงคำตัดสิน และการกระทำต่าง ๆ ว่าอยู่ในพระเนตรพระกรรณหรือไม่ พระมหากษัตริย์รับรู้รับทราบความเป็นไปของคำตัดสินหรือไม่

เหตุที่พยานใช้คำว่า ‘กษัตริย์วชิราลงกรณ์’ ไม่ได้เรียกชื่อเต็มนั้น เพราะพยานเรียนด้านภาษาอังกฤษซึ่งเวลาอ่านข่าวจะเรียกชื่อโดยตรงว่า King Rama, King Vajiralongkorn, หรือ Queen Elizabeth ตามความเข้าใจของพยาน ไม่คิดว่าเป็นการไม่ถูกต้อง แต่อาจไม่ถูกใจบางคน

พยานไม่เคยถูกดำเนินคดีในข้อหาตามมาตรา 112 และ 116 มาก่อน และก่อนเกิดเหตุคดีนี้ พยานเคยขึ้นปราศรัยที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และห้าแยกลาดพร้าวซึ่งเป็นเหตุแห่งคดีนี้ ไม่มีที่อื่นอีก

ช่วงตอบพนักงานอัยการถามค้าน

พยานเบิกความตอบว่า คำปราศรัยว่า “การที่คุณเลือกข้างทางการเมือง ไม่มีกษัตริย์ที่ไหนทำแบบนี้นะคะ” เป็นการตั้งคำถามว่ามีการเลือกข้างทางการเมืองหรือไม่ ไม่ได้มีเจตนาที่จะปรักปรำ เพราะพยานอ่านข่าวข้างต้นตามที่เบิกความ จึงเกิดคำถาม

ทนายความจำเลยไม่ถามติง

.

เทวฤทธิ์ มณีฉาย  สมาชิกวุฒิสภา จากกลุ่มสื่อสารมวลชนและผู้สร้างสรรค์วรรณกรรม เบิกความว่า พยานจบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เมื่อปี 2548 ปัจจุบันเป็นกรรมาธิการการเมืองและกรรมาธิการแรงงาน เคยทำงานเป็นบรรณาธิการที่สำนักข่าวประชาไท

พยานสนใจเรื่องการเมืองตั้งแต่สมัยเรียนในปี 2548 – 2549 จำได้ว่ามีความขัดแย้งระหว่างกลุ่มพันธมิตรฯ หรือกลุ่มเสื้อเหลืองกับรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร จนเกิดการรัฐประหารในปี 2549 นำโดยพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน และมีกลุ่มที่ต่อต้านการรัฐประหารหรือกลุ่มเสื้อแดงซึ่งประกอบด้วยแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ภายหลังเปลี่ยนเป็นกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และเครือข่าย 19 กันยาต่อต้านรัฐประหาร

ต่อมามีการใช้รัฐธรรมนูญปี 2550 ในช่วงปี 2551 – 2552 ความขัดแย้งกลุ่มเสื้อเหลืองและเสื้อแดงยังคงมีอยู่ พยานทราบว่าในปี 2551 มีผู้ชุมนุมเสื้อเหลือง ในการนำเสนอข่าวชื่อว่า “โบว์” เสียชีวิต โดยพระพันปีหลวงและเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ เสด็จไปงานศพ 

การชุมนุมระหว่างกลุ่มคนเสื้อเหลืองและเสื้อแดงยังคงดำเนินต่อไปจนต่อมาทางศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) โดยพลเอกสรรเสริญได้เปิดเผย “ผังล้มเจ้า” ซึ่งบุคคลในผังส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักเคลื่อนไหวเสื้อแดง นักวิชาการ ต่อมา อาจารย์สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ได้ยื่นฟ้องในข้อหาหมิ่นประมาทต่อศาลอาญา ซึ่งในชั้นศาล พลเอกสรรเสริญได้เบิกความว่าผังดังกล่าวเขียนขึ้นมาด้วยตนเอง

ในปี 2553 มีการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงช่วงวันที่ 13 – 19 พ.ค. บริเวณแยกราชประสงค์ โดยในขณะนั้น ศอฉ. ประกอบด้วย พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา, พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา, พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ และอีกหลายราย ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งฝั่งทหารและผู้ชุมนุมรวมกัน 94 คน

หลังเหตุการณ์ดังกล่าว ได้มีการเลือกตั้งใหม่โดยผู้ชนะการเลือกตั้งคือยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่อมาช่วงปี 2556 มีกลุ่ม กปปส. นำโดยสุเทพ เทือกสุบรรณ ออกมาต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเมื่อย้อนไปปี 2553 สุเทพคือผู้อำนวยการ ศอฉ. 

กลุ่ม กปปส. จะแต่งกายโดยใช้สัญลักษณ์ธงชาติไทย ในปี 2556 – 2557 เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ก็ได้แต่งกายโดยใช้สัญลักษณ์ธงชาติไทย เป็นภาพปรากฏตามสำนักข่าวผู้จัดการสุดสัปดาห์ ต่อมาเมื่อการเลือกตั้งใหม่ในปี 2557 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ พยานไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นผู้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ

จากนั้นฝ่าย กปปส. ได้มีการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง การเรียกร้องมีการปิดคูหาการเลือกตั้ง  ต่อมาเดือน พ.ค. 2557 พลเอกประยุทธ์ได้ประกาศกฎอัยการศึกและตั้งจุดตรวจหลายแห่ง ในวันที่ 22 พ.ค. 2557 มีการเชิญผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องมาประชุมที่สโมสรทหารบก มีรัฐบาล ฝ่ายค้าน ผู้ชุมนุม และองค์กรอิสระ โดยในตอนนั้น พยานไม่ได้ไปรายงานข่าว แต่ทราบจากเพื่อนนักข่าวว่ามีการควบคุมตัว ยกเลิกรัฐธรรมนูญทั้งหมด ยกเว้นหมวด 1, 2 และหมวดที่เกี่ยวกับองค์กรอิสระ  

ต่อมา 7 ส.ค. 2559 หลังร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ และได้มีการทูลเกล้าฯ ถวาย แต่มีข่าวว่าทรงพระราชทานคำแนะนำให้เอาไปปรับแก้ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญจึงได้ปรับแก้และมีการประกาศใช้ จากที่ตรวจสอบ พยานเห็นว่ามีประมาณอย่างน้อย 7 มาตราที่ถูกแก้ไข ส่วนที่ถูกแก้ไขส่วนใหญ่คือหมวด 2 เรื่องการประทับต่างประเทศ และมี พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลฯ, พ.ร.ฎ.จัดระเบียบราชการและการบริหารงานบุคคลของราชการในพระองค์ฯ และมีการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เช่น ชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทปูนซีเมนต์ไทยและธนาคารไทยพาณิชย์

รัฐธรรมนูญปี 2562 ให้อำนาจสมาชิกวุฒิสภาใน 5 ปีแรกสามารถเลือกรัฐมนตรีได้ ต่อมาในปี 2562 พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคอันดับหนึ่ง ส่วนพรรคอนาคตใหม่เป็นพรรคอันดับ 3 แต่สุดท้ายพรรคพลังประชารัฐกลับได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ในปี 2562 สื่อเยอรมนีมีข่าวว่ารัชกาลที่ 10 ไปประทับที่ประเทศเยอรมนี แคว้นบาวาเรีย และมีนักการเมืองท้องถิ่นตั้งกระทู้ถามในสภาเรื่องการประทับของท่าน ในปีเดียวกันนั้นก็มีการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้มีการตั้งคำถามถึงการประทับอยู่ต่างประเทศ และการช่วยเหลือภายใต้สถานการณ์โรคระบาด

ในปี 2563 มีการชุมนุมหลังจากมีการยุบพรรคอนาคตใหม่ จนกระทั่งมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ห้ามการชุมนุม ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ตั้งแต่มัธยมปลายถึงวัยทำงาน การชุมนุมมีการพูดถึงสถาบันกษัตริย์แบบอ้อม ๆ และเริ่มมีการพูดตรง ๆ เมื่อการชุมนุมวันที่ 3 ส.ค. 2563 ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

ในปี 2563 ช่วงต้นปี พลเอกประยุทธ์ได้ให้สัมภาษณ์ประมาณกลางเดือน มิ.ย. ว่า “ทรงเมตตาไม่ให้ใช้มาตรา 112” พยานเข้าใจว่าจะไม่มีคดี 112 เพิ่ม จะเป็นการเซ็นต์ข้อตกลงมากกว่าการดำเนินคดี หลังจากการชุมนุมวันที่ 3 ส.ค. 2563 มีการชุมนุมในวันที่ 10 ส.ค. 2563 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีการชุมนุมย่อยให้พลเอกประยุทธ์ลาออก และการชุมนุมที่แยกปทุมวันก็ถูกสลายโดยน้ำและแก๊สน้ำตา

ในการชุมนุมวันที่ 17 พ.ย. 2563 ที่รัฐสภาเกียกกาย พยานได้ไปทำข่าว มีผู้ชุมนุมกลุ่มราษฎรที่เรียกให้แก้รัฐธรรมนูญ กับฝ่ายตรงข้ามที่เป็นกลุ่มเสื้อเหลือง มีการสลายการชุมนุมโดยใช้น้ำและแก๊สน้ำตา เป็นน้ำผสมสารเคมี มีการใช้กระสุนยาง โล่ และกระบอง และหลังจากการชุมนุมวันดังกล่าว พลเอกประยุทธ์ได้ให้สัมภาษณ์ว่าจะใช้กฎหมายทุกมาตรา

พยานทราบว่า ก่อนหน้าการชุมนุมวันที่ 17 พ.ย. 2563 มีคนไปชูป้ายพระบรมฉายาลักษณ์ในการชุมนุม จากนั้นคนดังกล่าวได้เข้าเฝ้ารับเสด็จ ในหลวงมีพระราชดำรัสพูดคุยด้วย และชายคนนั้นเป็น “กลุ่มมินเนี่ยน” ซึ่งเป็นกลุ่มที่แจ้งความมาตรา 112 กับฝั่งตรงข้าม 

จากการที่พยานเคยค้นหาเอกสารที่รัชกาลที่ 10 ทรงลงพระปรมาภิไธย แต่ไม่มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ที่หน้าเว็บไซต์ของราชกิจจานุเบกษา มีประมาณ 112 ฉบับ แต่น่าจะมีมากกว่านี้

พยานเป็นผู้มีส่วนร่วมในการค้นหางบประมาณของสถาบันกษัตริย์ พบว่างบประมาณมีประมาณ 12,000 – 30,000 ล้านบาทในช่วงปี 2563 – 2567

ขณะที่พยานดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา มีหลายหน่วยงานและองค์กรระหว่างประเทศแสดงความเห็นเกี่ยวกับการดำเนินคดีมาตรา 112 และเสนอให้มีการแก้ไขมาตรา 112 เช่น รัฐสภายุโรป

พนักงานอัยการไม่ถามค้าน

.

ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้อำนวยการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) เบิกความว่า จบการศึกษาระดับปริญญาตรี นิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อปี 2551 และจบการศึกษาเนติบัณฑิตเมื่อปี 2552 ทำงานที่ iLaw ตั้งแต่ปี 2552 และดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการตั้งแต่ปี 2566 

พยานเบิกความว่า งานของพยานเป็นการสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในด้านเป็นแหล่งข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพ รวมถึงข้อมูลที่รัฐดำเนินคดีกับประชาชนจากการใช้เสรีภาพ เช่น การดำเนินคดีมาตรา 112 และการฟ้องปิดปาก

พยานทราบว่า พลเอกประยุทธ์ได้ให้สัมภาษณ์ว่า “ทรงมีพระเมตตาไม่ให้ใช้มาตรา 112” ทำให้มีจำนวนคดีลดลงเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ ในช่วงปี 2553 – 2554 จะมีผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 มากในกลุ่มคนเสื้อแดง ในช่วงรัฐประหารมีการดำเนินคดีอีกรอบ แต่ต่อมาในช่วงปี 2561 ไม่มีการดำเนินคดีเพิ่ม

หลังจากนั้น ในปี 2563 พลเอกประยุทธ์ได้ให้สัมภาษณ์ว่าจะใช้กฎหมายทุกมาตราทุกฉบับ จากนั้นเพียง 2 วัน เริ่มมีการเรียกรับทราบข้อกล่าวหาในคดีมาตรา 112 ปัจจุบันถือเป็นระลอกที่ 3 ของการใช้มาตรา 112 โดยเป็นระลอกที่มีผู้ถูกดำเนินคดีเกือบ 300 คน มากกว่า 300 คดี

พยานพบว่า ผู้แจ้งความกล่าวหาครึ่งหนึ่งเป็นประชาชน คดีส่วนใหญ่มีเหตุมาจากการชุมนุม โดยมีตำรวจไปสังเกตการณ์ชุมนุมและค่อยดำเนินคดี ส่วนบางคดีที่ตำรวจไม่ดำเนินคดี ก็จะมีประชาชนมาร้องทุกข์กล่าวโทษ โดยเป็นกลุ่มที่มีการจัดตั้งและจะมีการโพสต์เผยแพร่ผลงาน เช่น กลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) และ ศชอ. 

พยานเบิกความต่อว่า การดำเนินงานของกลุ่มข้างต้นมีลักษณะกลั่นแกล้งแจ้งความในพื้นที่ห่างไกลเพื่อให้ไปเดินทางรับทราบข้อกล่าวหาและถูกดำเนินคดีไกลจากภูมิลำเนา โดยจะมี 1 คน ในกลุ่มที่มีบ้านอยู่ในพื้นที่ห่างไกลรับหน้าที่ไปแจ้งความ ซึ่งปัจจุบันมีการแจ้งความเช่นนี้เยอะมาก

องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน และรัฐบาลต่างประเทศ ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการใช้มาตรา 112 ไว้หลายครั้งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เช่น ผู้รายงานพิเศษของสหประชาชาติ และที่ประชุมสหประชาชาติ แสดงความเห็นว่าเป็นการลิดรอนสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ในที่ประชุมทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนเมื่อต้นปี 2568 ที่ผ่านมาก็มีคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญสหประชาชาติในหลายด้านเสนอให้ยกเลิกมาตรา 112 และสภายุโรปก็มีความเห็นให้ยกเลิกเช่นเดียวกัน

พยานทราบถึงคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคก้าวไกล ซึ่งในแวดวงนักวิชาการมีคณาจารย์ 134 คน แสดงความไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ โดยเห็นว่าการเสนอแก้กฎหมายเป็นอำนาจที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสามารถกระทำได้ และตุลาการไม่ควรใช้อำนาจแทรกแซงฝ่ายนิติบัญญัติ นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกาและผู้รายงานพิเศษของสหประชาชาติก็ได้แสดงความไม่เห็นด้วยกับการยุบพรรคเช่นกัน

.

หลังเสร็จสิ้นการสืบพยาน ฝ่ายจำเลยขอยื่นคำแถลงปิดคดีภายใน 30 วัน และศาลได้นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 25 มิ.ย. 2568

ทั้งนี้ คดีนี้จะเป็นคดีมาตรา 112 ที่คดีที่ 9 ของอานนท์ นำภา (จากทั้งหมด 14 คดี)  ซึ่งศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษา โดยจากคดีการเมืองทั้งหมดของอานนท์ เขาถูกลงโทษจำคุกรวมในทุกคดีสูงถึง 22 ปี 25 เดือน 20 วัน แต่ทุกคดียังอยู่ระหว่างอุทธรณ์คำพิพากษา ยังไม่สิ้นสุดลง

ขณะที่จิรฐิตา ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 และมาตรา 116 คดีนี้เพียงคดีเดียว แต่เธอถูกกล่าวหาในคดีจากการชุมนุมทางการเมืองตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ อีก 2 คดี ซึ่งศาลพิพากษายกฟ้องและสิ้นสุดไปแล้ว ได้แก่ คดีจากการชุมนุม “เยาวชนปลดแอก” ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2563 และ คดี “หมู่บ้านทะลุฟ้า” เมื่อปี 2564

X