วันที่ 19 มิถุนายน 2568 เวลา 09.00 น. ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาในคดีของ “นรินทร์” (สงวนนามสกุล) นักกิจกรรมวัย 35 ปี จากกรณีถูกกล่าวหา เป็นแอดมินเพจเฟซบุ๊ก “กูKult” เพจมีมล้อเลียนการเมือง เผยแพร่รูปภาพ รวมถึงข้อความอันมีลักษณะเนื้อหาเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ จำนวน 12 โพสต์ ในช่วงตั้งแต่วันที่ 25 มิ.ย.–11 ก.ย. 2563
เกี่ยวกับคดีนี้ นรินทร์ถูกกล่าวหาที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (5) ตั้งแต่วันที่ 22 มี.ค. 2564 ก่อนถูกแจ้งข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) เพิ่มเติมอีกในวันที่ 15 มิ.ย. 2564
นรินทร์ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 คดีนี้เป็นคดีที่ 2 ต่อจากคดีแรกที่เขาถูกกล่าวหาว่า ติดสติกเกอร์ กูKult บนรูปภาพของรัชกาลที่ 10 ที่ตั้งไว้บริเวณประตูทางเข้าของศาลฎีกาในระหว่างการชุมนุม #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ปี 2563 ซึ่งศาลอาญามีคำพิพากษาให้จำคุก 2 ปี ต่อมา ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างศาลฎีกาพิจารณา หลังอัยการยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์
อย่างไรก็ตาม รูปภาพและข้อความตามโพสต์ที่ถูกกล่าวหาในคดีนี้นั้น มีเนื้อหาในเชิงล้อเลียนเสียดสี และจำนวน 5 โพสต์เกี่ยวกับอดีตพระมหากษัตริย์ ซึ่งโดยหลักการแล้ว ไม่ควรเข้าองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 112
.
ภาพรวมการสืบพยาน: เพจ “กูKult” มีหลายเพจ มีการเปิดตามกันจำนวนมาก โจทก์ไม่สามารถเชื่อมโยงชี้ชัดได้ว่านรินทร์เป็นแอดมินเพจ
คดีนี้มีการสืบพยานโจทก์ไประหว่างวันที่ 22-23 เมษายน 2568 ที่ห้องพิจารณาคดี 804 โดยโจทก์นำพยานเข้าเบิกความทั้งหมด 5 ปาก ได้แก่ พ.ต.ท.ชยกฤต จันหา พนักงานสืบสวนและผู้กล่าวหา พ.ต.ต.หญิง ณัฐชยา วงศ์รุจิไพโรจน์, พ.ต.ต.อิสรพงศ์ ทิพย์อาภากุล และ ร.ต.อ.หญิง รัฐฐานนท์ คชนนท์ รองสารวัตร (สอบสวน) กก.3 บก.ปอท. ส่วนฝั่งจำเลยไม่ติดใจนำสืบพยาน
การสืบพยานในคดีนี้เป็นไปอย่างรวดเร็ว เดิมทีกำหนดการณ์สืบพยานในคดีนี้ คือ 22-24 เมษายน 2568 แต่เนื่องจากการสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นในครึ่งเช้าวันที่ 23 และจำเลยและทนายไม่ติดใจนำสืบพยาน ขอยื่นคำแถลงการณ์ปิดคดีเป็นหนังสือภายใน 45 วัน คดีจึงเสร็จสิ้นการพิจารณาในวันที่ 23 และศาลยกเลิกนัดสืบพยานจำเลยในช่วงบ่ายวันที่ 23 และวันที่ 24 เมษายน 2568
ทั้งนี้ ในการสืบพยานวันที่ 22-23 เม.ย. 2568 ศาลได้บันทึกในรายงานกระบวนพิจารณาด้วยว่า “ห้ามมิให้บุคคลใดนำเหตุการณ์ในห้องพิจารณาคดีและในศาลอาญาถ่ายทอดเผยแพร่สู่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต มิฉะนั้น ศาลจะดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาลต่อไป”
.
ผู้กล่าวหาระบุว่าพบความเชื่อมโยงของนรินทร์ผ่านการจัดทำเสื้อลาย “กูKult” – พบบุคคลสวมเสื้อลาย “กูKult” เล่นว่าวที่สนามหลวง เชื่อว่าเป็นจำเลย แม้ไม่เห็นหน้า
พ.ต.ท.ชยกฤต จันหา เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวน สน.บางเขน ผู้กล่าวหา เบิกความว่าได้รับมอบหมายจากผู้บัญชาการให้ดำเนินการสืบสวนเพจเฟซบุ๊ก “กูKult” โดยก่อนหน้านี้กองกำกับการที่ 2 พบว่ามีการโพสต์ภาพและข้อความที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ พยานตรวจสอบแล้วพบว่าเพจ “กูKult” มีการโพสต์ภาพและข้อความเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 112 จำนวน 12 ครั้ง
พยานเบิกความว่า โพสต์ดังกล่าวทั้ง 12 ครั้งมาจากเพจ “กูKult” ชื่อเต็ม @GuKultredemption มีการโพสต์ในลักษณะเป็นสาธารณะ ที่ทำให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ เมื่อพยานพบโพสต์ทั้ง 12 โพสต์ จึงทำการถ่ายภาพหน้าจอ และทำการสืบสวนแล้วพบว่า “นรินทร์” เป็นผู้ดูแลเพจ
เหตุที่พยานเชื่อว่าจำเลยเป็นผู้ดูแลเพจดังกล่าว เพราะว่าตนเป็นหนึ่งในคณะทำงานผู้ร่วมสืบสวนในคดี ติดสติกเกอร์ “กูkult” ลงบนรูปของรัชกาลที่ 10 หน้าศาลฎีกา ในระหว่างการชุมนุม #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2563 เหตุที่เชื่อว่าจำเลยเป็นผู้ดูแลเพราะว่าในเพจ “กูKult” มีการขายขายเสื้อยืด ลาย “กูKult” ทางตำรวจได้ทำการล่อซื้อ โดยได้ทำการโอนเงินเพื่อสั่งซื้อกับบริษัทผู้ผลิตเสื้อ พบว่าจำเลยเป็นผู้สั่งผลิตเสื้อดังกล่าว
ในคดีดังกล่าวพยานได้ทำการสืบสวนเพิ่มเติมว่า บัญชีธนาคารดังกล่าว จำเลยได้กดเงินหน้าตู้ ATM ซึ่งเป็นภาพที่บันทึกจากกล้องวงจรปิด ซึ่งปรากฏภาพจำเลยไปกดเงินจำนวน 3 ครั้ง
ต่อมาในวันที่ 19 ก.ย.2563 เพจเฟซบุ๊ก “กูKult” ได้โพสต์ภาพและข้อความเชิญชวนให้ร่วมกิจกรรมที่สนามหลวง ระบุว่ากลุ่ม “กูKult” ได้ไปเล่นว่าวอยู่ที่สนามหลวง ทีมสืบสวนสอบสวนจึงเข้าติดตามการเคลื่อนไหว พบว่ามีว่าวที่มีสัญลักษณ์ของเพจ “กูKult” โดยมีชายสวมเสื้อยืดและสวมหมวกเป็นผู้เล่นว่าวตัวดังกล่าว จึงได้ทำการบันทึกภาพไว้ และในช่วงเย็นของวันเดียวกัน พยานจำเวลาที่แน่นอนไม่ได้ ก็มีเหตุผู้นำสติ๊กเกอร์ลาย “กูKult” ไปติดที่พระบรมฉายาลักษณ์
นอกจากนี้ ทีมสืบสวนได้ตรวจสอบสัญญาณโทรศัพท์ ซึ่งเป็นหมายเลขของจำเลยที่ได้ระบุไว้ในทะเบียนราษฎร์ และยังตรงกับเบอร์ที่ผูกไว้กับบัญชีธนาคารของจำเลยด้วย จากการตรวจสอบพบว่าหมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวมีการใช้งานที่บริเวณสนามหลวง จากนั้นจึงได้มีการตรวจสอบกล้องวงจรที่บริเวณด้านข้างของสนามหลวง พบว่าคนที่นำสติ๊กเกอร์ลาย “กูKult” ไปติดที่พระบรมฉายาลักษณ์ มีลักษณะการแต่งกายเหมือนกับชายที่เล่นว่าวที่มีสัญลักษณ์ของเพจ “กูKult” ซึ่งแต่งกายสวมหมวก มีลักษณะคล้ายจำเลย แต่มองไม่เห็นใบหน้า
ในวันเดียวกัน เพจ “กูKult” ได้โพสต์เชิญชวนคนให้มาร่วมชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลังจากรวบรวมพยานหลักฐานจึงเชื่อว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าว พยานจึงไปแจ้งความร้องทุกข์ในวันที่ 20 กันยายน 2563 และได้มอบภาพถ่ายการกระทำความผิดดังกล่าว พร้อมได้จัดทำงานรายงานการสืบสวนของบุคคลที่ติดสติ๊กเกอร์ลาย “กูKult” ที่พระบรมฉายาลักษณ์ด้วย
แม้พยานจะเบิกความว่าไม่รู้จักมาก่อน และเคยพบจำเลยตอนพบบุคคลที่เล่นว่าวที่มีสัญลักษณ์ของเพจ “กูKult” ที่สนามหลวง แม้จะมีการสวมหมวก ปิดใบหน้า แต่พยานเชื่อว่าบุคคลดังกล่าวคือจำเลย จากนั้นพยานจึงได้ชี้ตัวจำเลยที่นั่งอยู่ในห้องพิจารณา
ทนายจำเลยถามค้าน
ทนายจำเลยถามว่าเพจ “กูKult” มีการตั้งมาตั้งแต่ปี 2555 พยานตอบว่าไม่ทราบ
ทนายถามว่าพยานทราบหรือไม่ว่าในเฟซบุ๊กมีเพจ“กูKult”เป็นเพจที่ใช้ชื่อเดียวกันจำนวนมาก ไม่น้อยกว่า 15 เพจ พยานตอบว่าทราบ ในส่วนแต่ละเพจ จะมีการใช้ลักษณะเลียนแบบด้วยสัญลักษณ์เดียวกัน พยานไม่ทราบ
ทนายได้เปิดเฟซบุ๊กให้พยานดู แล้วพบว่ามีเพจ “กูKult” ชื่อเดียวกันที่ปรากฏในหน้าเดียวกัน จำนวนไม่ต่ำกว่า 20 เพจ พร้อมถามว่าทราบหรือไม่ว่าในการตั้งเพจ สามารถใช้ชื่อเพจและรูปซ้ำกันได้ พยานทราบ ทนายถามต่อว่าพยานทราบหรือไม่ว่า แต่เราสามารถแยกแยะเพจที่ซ้ำกันได้จากไอดีของเพจ ซึ่งมีลักษณะคล้ายเลข 13 หลักของบัตรประชาชนที่ไว้ใช้จำแนกผู้คน พยานตอบว่าทราบ
ทนายถามว่าพยานทราบหรือไม่ว่าในแต่ละเพจบนเฟซบุ๊ก ยังระบุเวลา วัน เดือน ปี ที่มีการตั้งเพจนั้น ๆ พยานทราบ
ทนายถามว่าที่พยานเบิกความว่าก่อนหน้านี้มีการดำเนินคดีกับจำเลยในคดีติดสติกเกอร์ “กูkult”ที่มีการสืบสวน เพจ “กูKult” จากประกาศขายเสื้อ เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2562 กับเพจ “กูKult” ที่มีการกระทำผิดในคดีนี้ พยานได้ตรวจสอบหรือไม่ว่าทั้งสองเพจจากทั้งสองกรณี ใช้ ID เพจเดียวกัน พยานตอบว่าไม่ได้ตรวจสอบ
ทนายถามว่าในคดีเมื่อมีการทำหนังสือขอข้อมูลบัญชีไปยังธนาคารและมีหนังสือแจ้งกลับมา ก็ไม่ปรากฏหลักฐานการโอนเงินระหว่างจำเลยกับบริษัทผลิตเสื้อใช่หรือไม่ พยานตอบว่าไม่ทราบ ทราบแต่มีการถอนเงินจำนวน 3 ครั้งจากบัญชีดังกล่าว จากภาพในกล้องวงจรปิด
ทนายถามว่าในปัจจุบันพยานทราบหรือไม่ว่าคดีติดสติกเกอร์ “กูkult” ดังกล่าวอัยการได้ฟ้องคดีไปแล้วหรือยัง พยานตอบว่าไม่ทราบ
ทนายถามว่าพยานเป็นคณะทำงานชุดสืบสวนหรือไม่ พยานตอบว่าเป็น โดยมี พ.ต.ท.แทน ไชยแสง ร่วมในคณะชุดสืบสวนนี้ด้วย
ทนายถามว่าพยานใช้งานคอมพิวเตอร์คล่องหรือไม่ พยานตอบว่าคล่อง ทนายถามว่าพยานรู้จัก URL ซึ่งเป็นที่อยู่การใช้งานบนโลกอินเทอร์เน็ต เป็นแหล่งข้อมูลปลายทาง พยานรู้จัก URL ทนายถามต่อว่าการใช้งานผ่าน Laptop หรือโทรศัพท์ พยานทราบหรือไม่ว่า URL จะถูกระบุไว้ในช่องที่อยู่ หรือ Address bar พยานตอบว่าทราบ
ทนายชี้ว่าในทุกโพสต์ของ 12 โพสต์ในคดีนี้ ตรง URL จะปรากฏ facebook.com/GuKultredemption ซึ่งชี้ว่ามาจากเพจเดียวกัน แต่ในข้อความชวนคนไปชักว่าวที่สนามหลวงที่พยานเบิกความ กลับไม่ปรากฎ URL ในภาพที่ถ่ายหน้าจอมา จึงทำให้ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเพจที่โพสต์ชวนคนไปชักว่าวที่สนามหลวง กับเพจที่โพสต์ภาพและข้อความเกี่ยวกับสถาบันฯ จำนวน 12 ภาพเป็นเพจเดียวกัน
ทนายถามว่าในวันที่ 19 ก.ย. 2563 พยานได้รับคำสั่งให้ไปสืบสวนการชุมนุมของกลุ่ม “กูKult” ด้วยใช่หรือไม่ พยานตอบว่าใช่ และไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นประทวน 3-4 นาย ส่วนกรณีเอาสติ๊กเกอร์ไปแปะที่พระบรมฉายาลักษณ์ พยานได้เข้าไปเกี่ยวข้องในการเป็นพยานทั้งในชั้นสอบสวนและในชั้นพิจารณาหรือไม่ พยานตอบว่าไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะพยานไม่ได้เป็นผู้เห็นเหตุการณ์โดยตรง
ทนายถามว่าเกี่ยวกับการจัดทำรายงานสืบสวนในกรณีสติกเกอร์ พยานไม่ได้เป็นคนทำรายงานฉบับนี้เองใช่หรือไม่ พยานตอบว่าใช่ ผู้จัดทำคือนายดาบตำรวจธงชัย (พยานจำนามสกุลไม่ได้) สังกัดกองบังคับการสันติบาล 2
ทนายถามว่าในการตรวจสอบสัญญาณโทรศัพท์ พยานทราบหรือไม่ว่าใครเป็นผู้ดำเนินการ พยานตอบว่าไม่ทราบ ทราบแต่เพียงว่าเป็นการขอข้อมูลไปที่เจ้าของเครือข่าย
ทนายถามว่าในวันที่มีการเล่นว่าวที่สนามหลวง พยานได้เห็นตัวจำเลยโดยตรงหรือไม่ พยานตอบว่าเห็นแต่ชายผู้เล่นว่าวที่มีลักษณะคล้ายจำเลย สวมหมวก ใส่หน้ากาก
ทนายถามค้านเสร็จสิ้น อัยการไม่ถามติง
.
พนักงานสอบสวนเชื่อว่าเป็นจำเลยเพราะบัญชีที่สั่งผลิตเสื้อและภาพจากกล้องวงจรปิดที่จำเลยกำลังกดเงิน แต่เลข ID ของเพจ “กูKult” ในคดีติดสติกเกอร์ กับคดีนี้เป็นคนละชุดกัน ไม่อาจยืนยันได้ว่าเป็นเพจเดียวกัน
พ.ต.ต.หญิง ณัฐชยา วงศ์รุจิไพโรจน์ เกี่ยวกับคดีนี้ ประจำการอยู่ที่กองกำกับการ 3 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เป็นพนักงานสอบสวน ได้รับแจ้งความร้องทุกข์จาก พ.ต.ท.แทน ไชยแสง เกี่ยวกับการกระทำความผิดของผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊ก“กูKult” ซึ่งเพจดังกล่าวมีการโพสต์ภาพล้อเลียนพระมหากษัตริย์ และยังมีโพสต์ขายเสื้อยืดสีขาว ลาย “กูKult” ในราคา 350 บาท
พยานเล่าว่าในการขายเสื้อดังกล่าว เป็นการขายผ่านเว็บไซต์ผู้ผลิตเสื้อ เมื่อมีผู้มาซื้อเสื้อ จะโอนให้ผู้ว่าจ้างออกแบบผลิตเสื้อ ซึ่งในกรณีนี้ ก็คือจำเลย
เหตุที่พยานทราบว่าจำเลยเป็นผู้ว่าจ้างผลิตเสื้อ เพราะทางตำรวจได้มีการล่อซื้อ โดยติดต่อไปที่พนักงานของบริษัทที่เป็นบริษัทหัวเรือของเว็บไซต์ขายเสื้อ ฝ่ายสืบสวนยังนำเข้าค้นบริษัทดังกล่าว เลยทราบว่าจำเลยเป็นผู้ว่าจ้างผลิตเสื้อของ “กูKult” เนื่องจากมีการกรอกข้อมูลส่วนตัวลงไปในแพลตฟอร์มของบริษัท และมีการโอนเงินส่วนแบ่งให้จำเลย
พยานกล่าวว่าสำเนาบัตรประชาชนมีลายมือชื่อจำเลยกำกับไว้เพื่อยืนยันตัวตนให้กับเว็บไซต์ดังกล่าว ลงวันที่ 15 ส.ค. 2562 และในหน้าสมุดบัญชีก็มีการลงลายมือชื่อกำกับไว้เพื่อยืนยันตัวตนเช่นกัน
พยานยังได้มีการสอบสวนผู้ดูแลเว็บไซต์ขายเสื้อด้วย พนักงานอัยการถามพยานว่าเหตุใด ผู้ดูแลเว็บจึงไม่ถูกดำเนินคดีด้วย พยานตอบว่าเพราะว่าการผลิตเสื้อลาย “กูKult” ดังกล่าวไม่ได้เป็นลายที่ละเมิดต่อกฎหมาย
พนักงานสอบสวนเมื่อทราบเรื่องบัญชีดังกล่าว จึงไปขอข้อมูลไปที่ธนาคารเพื่อตรวจสอบรายการโอนเงินและชื่อผู้ใช้บัญชี ธนาคารได้แจ้งหมายเลขโทรศัพท์ที่ผูกกับบัญชีไว้ และสำเนาภาพจากกล้องวงจรปิดที่มีการกดเงินไว้ 3 ครั้งกลับมา ซึ่งภาพจากกล้องวรจรปิดที่แสดงให้เห็นคนกำลังกดเงินนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับทะเบียนราษฎร์มีความตรงกัน พยานชี้ตัวจำเลยในศาล ตำรวจจึงมีคำสั่งฟ้องไปที่อัยการ แต่พยานไม่ทราบว่าปัจจุบันอัยการสั่งฟ้องหรือไม่
จากนั้นพยานจึงได้รับการประสานจากพนักงานสอบสวนในคดีนี้ ให้เข้ามาเป็นพยานในคดีนี้ เนื่องจากเป็นการกระทำความผิดโดยเพจ “กูKult” เดียวกัน ในคดีนี้พยานได้ให้การในชั้นสอบสวนไว้ด้วย
ทนายจำเลยถามค้าน
ทนายถามว่าพยานทราบหรือไม่ว่ามีเพจเฟซบุ๊กหลายเพจที่ใช้ชื่อและรูปเหมือนกับเพจ “กูKult” พยานทราบ และทราบว่าแม้จะสามารถตั้งชื่อเพจซ้ำกันได้ แต่การจะจำแนกต้องใช้ ID ซึ่งไม่ซ้ำกันเลย
ทนายถามว่าพยานทราบหรือไม่การที่จำเลยถูกกล่าวหาในคดีสติกเกอร์มาก่อน ซึ่งพบว่ามีการโฆษณาขายเสื้อเมื่อปี 2562 เลข ID ของเพจในคดีนั้นกับคดีนี้เป็นคนละชุดกัน ซึ่งโดยหลักแล้วเมื่อหมายเลข ID ไม่ตรงกัน แปลว่าเป็นคนละเพจกัน พยานทราบ
ทนายชี้ว่าการที่ได้มีการสืบสวนบริษัทผู้ขายเสื้อ ที่ให้ข้อมูลว่าเมื่อขายเสื้อได้แล้วจะมอบให้กับจำเลยนั้น แต่ก็ไม่ปรากฏหลักฐานการโอนเงินจากบริษัท สู่บัญชีของจำเลยแต่อย่างใด และพยานไม่ทราบความคืบหน้าของคดีติดสติกเกอร์
อัยการถามติง
อัยการถามพยานว่าในกรณีที่ตัวเลข ID ของเพจทั้งสองไม่เหมือนกัน ในขณะที่พยานกำลังทำสำนวน เพจ “กูKult” ได้ปิดเพจไปแล้วใช่หรือไม่ พยานตอบว่าใช่ และยังมีการติดตามความเคลื่อนไหวของจำเลยแล้วพบว่าในขณะนั้นจำเลยเดินทางไปเกาหลี
อัยการขออนุญาตศาลถาม ศาลอนุญาต
อัยการถามพยานว่าในขณะที่ทำสำนวนสืบสวนจำเลยอยู่ที่ใด พยานตอบว่าในขณะนั้นทราบว่าจำเลยเดินทางไปประเทศเกาหลีเพื่อท่องเที่ยว จำไม่ได้ว่ากลับมาเมื่อใด แต่ได้มีการตั้งเพจใหม่ขึ้นมา ซึ่งพนักงานสอบสวนเชื่อว่าเพจ “กูKult” ที่ปิดไปกับเพจ “กูKult” เพจใหม่ มีความเกี่ยวข้องกัน จึงได้ทำการเรียกตัวพยานเข้ามาเป็นพยานในคดีนี้
ทนายจำเลยถามค้าน
ทนายถามว่าพยานทราบหรือไม่ว่าเพจ “กูKult” ทั้งหมดมีจำนวนมากน้อยเท่าใด พยานตอบว่าไม่ทราบ
.
.
สารวัตรสืบสวนไม่พบความเชื่อมโยงระหว่างจำเลยและเพจ “กูKult” – ในสื่อออนไลน์ของตัวจำเลยไม่พบการโพสต์ภาพหรือข้อความเกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์
พ.ต.ต.อิสรพงศ์ ทิพย์อาภากุล ประจำการอยู่ที่ กองกำกับการ 3 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ตำแหน่ง สารวัตรสืบสวน
ในคดีนี้ พยานเล่าว่าเมื่อวันที่ 20 ก.ย. 2563 ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้สืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานจากข้อมูลบนสื่อสังคมออนไลน์ โดยมีการส่งภาพถ่ายจำเลยจำนวน 3 ภาพมาให้พยาน พยานจึงทำการสืบสวนออนไลน์ แต่ไม่พบสื่อสังคมออนไลน์ของตัวจำเลย และยังได้ทำการตรวจสอบเพจ “กูKult” และพบเพจที่มี Username @GuKultredemption
พนักงานอัยการถามพยานว่า Username ที่เป็นรหัสบ่งบอกตัวตนของแต่ละเพจนั้น แม้ชื่อจะซ้ำกัน แต่ Username ย่อมไม่ซ้ำกัน พยานทราบ อัยการถามต่อว่าเพจดังกล่าวเปิดขึ้นเมื่อใด พยานตอบว่าเพจเปิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2563 ซึ่งมีผู้กดถูกใจกว่า 25,000 บัญชี และมีผู้กดติดตามกว่า 27,000 บัญชี มีผู้ดูแลเพจอยู่ 1 คน เป็นบัญชีที่อยู่ในประเทศไทย แต่ยังไม่สามารถพิสูจน์ทราบได้ว่าเป็นใคร
พยานเล่าว่าเมื่อในวันที่ 13 ก.ย. 2563 เพจได้โพสต์ชักชวนคนไปชุมนุมที่สนามหลวงในวันที่ 19 ก.ย. 2563 ซึ่งเมื่อได้ตรวจสอบภาพของคนที่ไปเล่นว่าวที่มีสัญลักษณ์ “กูKult” พบว่าชายผู้เล่นว่าวมีลักษณะคล้ายจำเลย และยังพบว่ามีการใช้หมายเลขโทรศัพท์ซึ่งเป็นเบอร์ของจำเลยอยู่ในบริเวณการชุมนุม
พยานได้ทำการตรวจค้นประวัติอาชญากรในระบบฐานข้อมูลของทางตำรวจ ก็ไม่พบประวัติการกระทำความผิดของจำเลย
ต่อมาเมื่อได้ทำการตรวจสอบสื่อสังคมออนไลน์ คราวนี้พยานเบิกความว่าตรวจสอบเจอสื่อสังคมออนไลน์ บัญชีเฟซบุ๊กของจำเลยทั้งหมด 3 บัญชี แต่พยานมีหน้าแค่ตรวจสอบตัวจำเลยผ่านสื่อสังคมออนไลน์เท่านั้น ไม่ได้มีหน้าที่เชื่อมโยงว่าจำเลยเกี่ยวข้องกับเพจ “กูKult” อย่างไร
ทนายจำเลยถามค้าน
ทนายถามว่าจากที่ปรากฏภาพของชายที่เล่นว่าวที่มีสัญลักษณ์ “กูKult” พยานรู้จักกับจำเลยมาก่อนหรือไม่ พยานตอบว่าไม่รู้จัก และถามต่อว่าพยานทราบหรือไม่ว่าชายที่เล่นว่าวดังกล่าวคือจำเลย พยานตอบว่าไม่ทราบ
ทนายถามว่าสื่อสังคมออนไลน์ที่มีชื่อของจำเลย พบความเชื่อมโยงกับเพจ “กูKult” หรือไม่ พยานตอบว่าไม่พบ
ทนายถามว่าสื่อสังคมออนไลน์ที่มีชื่อของจำเลยมีการโพสต์ภาพหรือข้อความที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์หรือไม่ พยานตอบว่าไม่พบ
อัยการไม่ถามติง
.
พนักงานสืบสวนเชื่อว่านรินทร์เป็นแอดมินเพจ จากการที่จำเลยไม่มีท่าทีปฏิเสธและยังมีการเซ็นเสื้อให้กับผู้ที่มาให้กำลังใจ แม้จะไม่ได้เห็นกับตา
ร.ต.อ.หญิง รัฐฐานนท์ คชนนท์ ในช่วงปี 2562-2564 ถูกมอบหมายให้มาช่วยราชการที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ในตำแหน่งพนักงานสืบสวน มีหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานการกระทำความผิดผ่านคอมพิวเตอร์
พยานเบิกความว่า เมื่อ 20 ก.ย. 2563 พ.ต.ท.ชยกฤต จันหา ได้ทำร้องทุกข์กล่าวโทษกับเพจ “กูKult” @GuKultredemption เนื้อหาในการแจ้งความในคดีนี้เกิดขึ้นช่วง 25 มิ.ย. 2563 – 15 ก.ย. 2563 ที่มีการโพสต์เนื้อหาเข้าข่ายมาตรา 112 จำนวน 12 โพสต์
พยานและ ร.ต.อ.หญิง วิชญาพร เที่ยงธรรม ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ร่วมกันในการสืบสวนสอบสวน ได้ร่วมสอบคำให้การ หลังจากนั้น พ.ต.ท.ชยกฤต ได้มอบมอบรายงานการสืบสวนให้กับพยาน
ก่อนหน้านี้ กองกำกับการ 3 บก.ปอท. ได้ดำเนินคดีกับจำเลย ในคดีติดสติกเกอร์ พยานทราบว่าการโพสต์ภาพภายในเพจ “กูKult” ในคดีนั้น ซึ่งเป็นการโพสต์ขายเสื้อเป็นภาพคนละภาพกับในคดีนี้
พยานเล่าว่าจากการล่อซื้อเสื้อของทางเจ้าหน้าที่ มีการตรวจพบเส้นเงินไปถึงบัญชีธนาคารซึ่งเป็นบัญชีของจำเลย ต่อมาเพจ “กูKult” ในคดีสติกเกอร์ได้ปิดไปในช่วงที่จำเลยเดินทางออกนอกประเทศ และเมื่อได้เดินทางกลับเข้ามาในประเทศ จึงมีการเปิดเพจ “กูKult” ขึ้นมาใหม่
ในคดีสติกเกอร์นั้น พยานทราบว่ามีความเห็นสั่งฟ้องไปยังพนักงานอัยการ
อัยการถามพยานว่าในการทำการสอบสวนในคดีนี้ เป็นการทำงานในลักษณะคณะทำงานใช่หรือไม่ พยานตอบว่าใช่ มีการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อทำการสอบสวนในคดีนี้
พยานเบิกความว่าพนักงานสอบสวนมีความเห็นว่าคดีนี้มีความคล้ายกับคดีสติกเกอร์จึงให้ขอข้อมูลของคดีดังกล่าวมาประกอบ โดยแบ่งหารสืบสวนเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือสืบทางโซเชียล ส่วนที่สองคือการขอรับการสนับสนุนรายงานการสืบสวน
พยานทราบว่าจำเลยถูกดำเนินคดีในมาตรา 112 โดย สน.ชนะสงคราม จากการเอาสติกเกอร์สัญลักษณ์ “กูKult” แปะที่พระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งเหตุเกิดขึ้นในวันเดียวกับที่เพจ “กูKult” นัดหมายเชิญชวนคนไปชักว่าวที่สนามหลวง และตรวจพบว่าจำเลยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว และยังมีการตรวจสัญญาณโทรศัพท์ของจำเลยแล้วพบว่ามีการใช้งานในบริเวณนั้นด้วย รวมไปถึงยังเป็นเบอร์ที่ใช้ผูกกับบัญชีธนาคารอีกด้วย
พยานเล่าว่าในวันที่จำเลยรับทราบข้อกล่าวหาที่ สน.ชนะสงคราม แล้ว เมื่อมีนักข่าวสัมภาษณ์จำเลย จำเลยก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าตนเองไม่ใช่เจ้าของเพจ “กูKult” ซึ่งตามปกติแล้ว หากคนทั่ว ๆ ไป ถ้าไม่ใช่เจ้าของเพจนั้น ก็ต้องปฏิเสธกับผู้เข้าใจผิด และเมื่อมีผู้ชื่นชอบในตัวจำเลยมาขอลายเซ็น แล้วให้เซ็นให้บนเสื้อลาย “กูKult” จำเลยก็ยังเซ็นให้ จึงเชื่อว่าจำเลยเป็นเจ้าของเพจ “กูKult”
หลังจากนั้น พยานยังได้สอบคำให้การ พ.ต.ต.หญิง ณัฐชยา วงศ์รุจิไพโรจน์ สอบปากคำพยาน คมสัน โพธิ์คง สอบปากคำพยานคนอื่น ๆ ที่เป็นผู้เห็นข้อความ จากการรวบรวมหลักฐาน ทำให้เชื่อได้ว่าจำเลย เป็นเจ้าของเพจ “กูKult” พนักงานสืบสวนจึงได้ออกหมายเรียก นชั้นสอบสวน จำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
ทนายจำเลยถามค้าน
ทนายถามว่าการที่พยานเห็นรูปถ่ายของชายที่เล่นว่าวที่มีตำหนิรูปพรรณคล้ายกับจำเลยที่ได้มาจาก พ.ต.ท.ชยกฤต จันหา พยานทราบหรือไม่ว่า พ.ต.ท.ชยกฤต ไม่ได้พบเจอจำเลยด้วยตนเอง พยานทราบ
ทนายถามว่าเกี่ยวกับเพจ “กูKult” ที่มีหลายเพจ พยานทราบหรือไม่ว่าสามารถสร้างเพจที่ใช้ชื่อและสัญลักษณ์เดียวกันได้ พยานทราบ
คำถามว่าพยานทราบหรือไม่ว่ามีเพจที่ใช้ชื่อเดียวกันอยู่หลายเพจ พยานตอบว่าทราบว่าในขณะนั้นมีเพจที่ใช้ชื่อ “กูKult” อยู่เพียงเพจเดียว เมื่อถามต่อว่าฝ่ายสืบสวนได้ส่งหลักฐานว่ามีเพียงเพจเดียวมาให้หรือไม่ พยานตอบว่าไม่มี แต่ในขณะนั้นพยานได้เปิดเพจ “กูKult” ดูด้วยตนเอง ก็เห็นว่ามีเพจเดียว ทนายถามว่าพยานได้ถ่ายภาพหน้าจอไว้หรือไม่ พยานตอบว่าไม่ได้ถ่ายไว้
ทนายถามว่าจากการที่พยานได้เบิกความว่าพบเห็นหลักฐานการโอนเงินจากบริษัทผู้ผลิตเสื้อโอนเข้าบัญชีธนาคารของจำเลย แต่ในหลักฐานที่ธนาคารส่งมาให้ก็มีเพียงบันทึกจากกล้องวงจรปิด 3 ครั้งที่มีภาพจำเลยกำลังกดเงินอยู่เท่านั้น ไม่มีเอกสารหลักฐานใด ๆ ที่เชื่อมโยงเลยว่ามีการโอนเงินเข้ามาในบัญชีของจำเลย
ทนายถามว่าพยานเคยเห็นรายการโอนเงินเข้าบัญชีของจำเลยหรือไม่ พยานตอบว่าไม่เคยเห็น
ทนายถามว่าพยานทราบหรือไม่ในช่วงปี 2563 มีความขัดแย้งทางการเมืองและมีการชุมนุมทางการเมืองหลายครั้งหลายสถานที่ พยานทราบ ส่วนจากการที่จำเลยเคยเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาที่ สน.ชนะสงคราม พยานไม่ได้อยู่ที่ สน.ชนะสงคราม ในขณะนั้น ทนายถามต่อว่าดังนั้นพยานจึงไม่ทราบว่าจำเลยให้การอย่างไรในคดีนั้นใช่หรือไม่ พยานตอบว่าไม่ทราบ ทนายถามต่อว่ารวมถึงที่พยานเบิกความว่าจำเลยเซ็นชื่อบนเสื้อยืดในวันเดียวกัน พยานก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ใช่หรือไม่ พยานตอบว่าไม่ได้อยู่
ทนายถามว่าพยานทราบหรือไม่ในคดีแปะสติกเกอร์ ศาลอุทธรณ์ได้ยกฟ้องในคดีดังกล่าวแล้ว พยานทราบ และคำสั่งยกฟ้องยังปรากฏในประวัติอาชญากรของจำเลยด้วย
อัยการถามติง
อัยการถามว่าพยานทราบหรือไม่เจ้าพนักงานสอบสวนได้สอบสวนบริษัทที่ทำเสื้อว่ามีข้อตกลงกับจำเลยว่าเมื่อทำการขายเสื้อได้แล้วจะโอนเงินเข้าบัญชีจำเลย ซึ่งสอดคล้องกับสำเนาของสมุดบัญชีธนาคารของจำเลยที่มีการเซ็นรับรองตัวตน พยานทราบ
อัยการถามว่าที่พยานเบิกความว่าไม่ได้เดินทางไป สน.ชนะสงคราม แต่มีทีมงานฝ่ายสืบสวนเดินทางไปที่ สน.ชนะสงครามด้วยใช่หรือไม่ พยานตอบว่าใช่
พยานทราบว่าคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย 2 ปี ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง และปัจจุบันกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
เสร็จสิ้นการสืบพยาน
.
.
ทบทวนกว่า 14 ปี ของมีม “กูKult” ที่ยังดำรงอยู่
สำหรับเพจ “กูKult” ดั้งเดิมนั้น เปิดขึ้นท่ามกลางบริบทการเมืองหลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 คือในช่วงปี 2554 และค่อย ๆ เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นจากการล้อเลียนเสียดสีสถานการณ์ทางสังคมและการเมือง ก่อนเริ่มกลายเป็น “มีม” หรือกระแสที่แพร่กระจาย ถูกผลิตซ้ำ ดัดแปลง และส่งต่อไปในโลกเฟซบุ๊กอย่างไม่มีเจ้าของ โดยเกิดเพจตระกูล “กู” หรือตระกูล “kult” ที่นำเสนอเนื้อหาล้อเลียนในประเด็นต่างๆ ตามมา
ต่อมาหลังเกิดรัฐประหารของ คสช. ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2559 เพจเฟซบุ๊ก “กูKult” ได้ถูกทางการไทยร้องขอให้เฟซบุ๊กปิดกั้นการเข้าถึง ทำให้เฟซบุ๊กจำกัดการเข้าถึงเพจจากในประเทศไทย โดยระบุแต่เพียงว่ากฎหมายของไทยไม่อนุญาตให้เข้าถึงเนื้อหาของเพจนี้ แต่ยังสามารถเข้าได้จากในต่างประเทศ
หลังจากนั้น ไม่แน่ชัดว่าในช่วงเวลาใด เพจ “กูKult” หลักได้ปิดตัวไป แต่ได้มีการเปิดเพจชื่อเดียวกัน และใช้ภาพโลโก้ในลักษณะเดียวกัน ขึ้นมาอีกหลายเพจ ซึ่งมีตั้งแต่เพจที่มีผู้กดถูกใจหลักสิบไปจนถึงหลักหลายหมื่น โดยไม่ทราบแน่ชัดว่าแอดมินเพจต่าง ๆ เหล่านี้เป็นคนเดียวกันหรือไม่ ยังไม่นับที่โลโก้ “กูKult” กลายร่างเป็นวัตถุสิ่งของในรูปแบบต่าง ๆ เช่น สติ๊กเกอร์ เสื้อยืด และจนถึงปัจจุบันก็ยังพบว่ามีเพจลักษณะนี้อยู่บนโลกเฟซบุ๊ก
ย้อนอ่าน รู้จักเพจ “กูkult” แม้ถูกปิด-ถูกจับ แต่ยังดำรงอยู่เมื่อกลายไปเป็น “มีม”
.