ทิวากร วิถีตน ถูกคุมขังอยู่ในทัณฑสถานบำบัดพิเศษขอนแก่น กำลังจะครบครึ่งปี หลังถูกศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับในคดีมาตรา 112 ให้จำคุก 6 ปี กรณีโพสต์รูปสวมเสื้อ “เราหมดศรัทธาสถาบันกษัตริย์แล้ว” รวมถึงโพสต์เรียกร้องให้สถาบันกษัตริย์ยุติการใช้มาตรา 112 และปล่อย 4 แกนนำราษฎร เมื่อปี 2564
คดีนี้ น่าสนใจที่ศาลชั้นต้นเคยพิพากษายกฟ้องจำเลยทุกข้อกล่าวหา แต่อัยการโจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์คดีต่อมา และศาลอุทธรณ์ภาค 4 กลับคำพิพากษาเป็นเห็นว่าเขาผิดตามฟ้องในทุกโพสต์ข้อความ แต่ศาลฎีกากลับไม่อนุญาตให้ประกันตัวระหว่างฎีกา โดยเห็นว่าหากปล่อยชั่วคราวมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าจำเลยอาจจะหลบหนี ทั้งที่เขาไม่ได้มีพฤติการณ์หลบหนี และคดียังไม่ถึงที่สุด โดยแนวทางการวินิจฉัยของศาลสองระดับก็แตกต่างกันอย่างชัดเจน จำเลยจึงควรจะมีสิทธิได้ต่อสู้คดีต่อในระดับชั้นฎีกา
10 เดือนผ่านไป ทิวากรยังไม่ได้ประกันตัว หลังการพยายามยื่นประกันตัวรวม 7 ครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งศาลฎีกายังคงสั่งไม่ให้ประกันตัว
เกษตรกรชาวขอนแก่น วัย 49 ปีผู้นี้ นับได้ว่าเป็นประชาชนทั่วไปที่ออกมาแสดงออกทางการเมืองในแบบของตนเอง จนทำให้สังคมวงกว้างสนใจการเคลื่อนไหวของเขาผ่านการสวมเสื้อ ‘เราหมดศรัทธาสถาบันกษัตริย์แล้ว’ ในช่วงกลางปี 2563 จนนำไปสู่การถูกเจ้าหน้าที่รัฐจับส่งโรงพยาบาลจิตเวช และกระแส #Saveทิวากร ในช่วงขวบปีนั้น
ผ่านไปจวนครบ 5 ปี การต่อสู้ของเขายังดำเนินต่อไป แม้ผลกระทบของการแสดงออกดังกล่าว จะหมายถึงการถูกคุมขังโดยไม่ได้รับการประกันตัว ชวนย้อนอ่านคำเบิกความเมื่อวันที่ 27 พ.ค. 2565 ซึ่งทิวากรขึ้นเบิกความต่อศาลจังหวัดขอนแก่นในฐานะพยานจำเลยในคดีของตัวเอง กล่าวถึงจุดยืนของเขาที่ต้องการแสดงออกด้วยความหวังดีต่อสถาบันกษัตริย์ มิใช่การหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรืออาฆาตมาดร้าย และไม่ใช่การกล่าวถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่คือองค์ประกอบของความเป็นสถาบัน ซึ่งไม่ควรเข้าข่ายตามมาตรา 112
——————————————
ทิวากรขึ้นเบิกความรับว่า เขาเป็นคนโพสต์ข้อความตามฟ้องทั้ง 3 ข้อความ ในเฟซบุ๊กด้วยตนเอง ด้วยต้องการที่จะกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ได้เป็นการพูดถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ปกติหากต้องการจะโพสต์ถึงพระมหากษัตริย์หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ก็จะระบุชื่อบุคคลนั้นโดยตรง
ส่วนเหตุที่ทําเสื้อสีขาวมีข้อความว่า “เราหมดศรัทธาสถาบันกษัตริย์แล้ว” เจตนาคือต้องการแสดงความรู้สึกนึกคิดอันเป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานในการพูดและการแสดงออก คําว่า “หมดศรัทธา” นั้นไม่ได้เป็นการล้อเลียน ลบหลู่ หรือดูหมิ่น หมิ่นประมาท และข้อความดังกล่าวไม่ได้หยาบคาย หรือเป็นการอาฆาตมาดร้าย โดยได้เขียนอธิบายความหมาย รวมถึงวิธีการที่จะเรียกศรัทธากลับมาไว้ในเฟซบุ๊กด้วย
ทิวากรระบุว่า เขาโพสต์ข้อความดังกล่าวด้วยความหวังดีต่อสถาบันฯ ในขณะนั้นมองเห็นว่า สถานะและอํานาจของสถาบันกษัตริย์อยู่ในจุดที่จะไม่เป็นที่ศรัทธาของประชาชน ดูได้จากโซเซียลมีเดียต่าง ๆ ที่มีการพูด การแสดงออก และตั้งคําถามต่อสถาบันกษัตริย์ ในทิศทางที่ไม่ได้รักและศรัทธาในรูปแบบต่าง ๆ หลายข้อความถึงขั้นด่าหยาบคาย เขาเล็งเห็นว่า ทางเดียวที่จะแก้ไขคือสถาบันกษัตริย์ต้องปรับปรุงตนเองเพื่อให้อยู่ในจุดที่ประชาชนรักและศรัทธาจากใจจริง ไม่ตะขิดตะขวงใจ
หลังจากที่มีการทําเสื้อและโพสต์ข้อความดังกล่าวแล้ว ได้โพสต์สอบถามกองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เกี่ยวกับการสวมเสื้อที่มีข้อความดังกล่าว ซึ่งเชื่อว่าทาง กอ.รมน. จะเห็นข้อความที่โพสต์อยู่แล้ว เนื่องจากทาง กอ.รมน.ได้ติดตามข้อความในเฟซบุ๊กของพยานโดยตลอด
แต่ทาง กอ.รมน. ไม่ได้มีข้อความแจ้งว่า ตนไม่สามารถที่จะสวมเสื้อหรือแจกเสื้อดังกล่าวแก่บุคคลอื่นได้ ซึ่งหากทาง กอ.รมน.ให้บุคคลมาแจ้งเรื่องดังกล่าวว่า เป็นการกระทบต่อความมั่นคงก็สามารถมาจับกุมได้เลย แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีบุคคลใดมาจับกุม
พยานได้สวมเสื้อที่มีข้อความดังกล่าวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ก็ไม่ปรากฏว่ามีความวุ่นวายหรือมีข้อทักท้วงจากบุคคลใด
ทิวากรระบุว่า องค์การสหประชาชาติให้ความเห็นมาโดยตลอดว่าการใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ถึงขนาดบอกว่าเป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ตามเอกสารที่อ้างส่งต่อศาล
ตามความเห็นที่ได้โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 11 และ 18 ก.พ. 2564 นั้น มองว่าการใช้มาตรา 112 เป็นการทําให้ประชาชนไม่สามารถท้วงติงสถาบันกษัตริย์ได้ เนื่องจากการตีความการใช้มาตรา 112 ไม่มีมาตรฐาน ตีความกว้างมาก ทําให้ประชาชนผู้หวังดีต่อสถาบันกษัตริย์ไม่กล้าที่จะท้วงติงด้วยเจตนาดี เมื่อประชาชนไม่สามารถจะท้วงติงสถาบันกษัตริย์ด้วยเจตนาดี สถาบันกษัตริย์ก็จะไม่รู้ว่าตนเองมีจุดบกพร่องอย่างไร ทําให้สถาบันกษัตริย์ทําในสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร และไม่เป็นที่ยอมรับไปเรื่อย ๆ
ดังนั้น การใช้มาตรา 112 จึงเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และเป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติตามที่องค์การสหประชาชาติเคยให้ความเห็นไว้ ทําให้เกิดผลเสียต่อสถาบันกษัตริย์ เพราะเจ้าทุกข์ของมาตราดังกล่าวคือสถาบันกษัตริย์ จึงทําให้สถาบันกษัตริย์เสื่อมเสียไปด้วยโดยปริยาย
เหตุที่เรียกร้องไปทางสถาบันกษัตริย์ให้ระงับใช้มาตรา 112 และให้ปล่อยตัวแกนนําทั้งสี่คนนั้น เนื่องจากความผิดในมาตรา 112 สถาบันกษัตริย์เป็นเจ้าทุกข์ที่มีสิทธิอันชอบธรรมที่จะบอกว่าให้ใช้หรือไม่ให้ใช้มาตราดังกล่าว
เหตุที่เชื่อว่าสถาบันกษัตริย์สามารถเสนอแนะหรือแสดงความคิดเห็นว่า สามารถระงับใช้มาตรา 112 และสามารถสั่งให้ปล่อยตัวแกนนําได้นั้น เนื่องจากเมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 2548 ในหลวงรัชกาลที่ 9 เคยมีพระราชดํารัสเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้ หลังจากที่รัชกาลที่ 9 ได้มีพระราชดํารัสดังกล่าวแล้ว วันที่ 7 ธ.ค. 2548 ทักษิณ ชินวัตร ก็ได้มีการถอนฟ้องคดีมาตรา 112 ที่ฟ้องสนธิ ลิ้มทองกุล
นอกจากนี้ ในเดือนมิถุนายน 2563 พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ก็ให้ข่าวว่าในหลวงรัชกาลที่ 10 มีพระราชดํารัสไม่ให้ดําเนินคดีเกี่ยวกับมาตรา 112 และมีข่าวในเดือนพฤศจิกายน 2563 ว่า ส.ศิวรักษ์ ได้ออกมาพูดว่า ในหลวงองค์ปัจจุบันมีลายพระหัตถ์ถึงอัยการสูงสุดและประธานศาลฎีกาให้ยุติการใช้มาตรา 112 จากนั้นมีข่าวที่ ส.ศิวรักษ์ เปิดเผยภายหลังว่า คําสั่งไม่ฟ้องคดีของอัยการทหารเป็นผลมาจากการทูลเกล้าถวายฎีกาต่อรัชกาลที่ 10 ซึ่งทรงพระมหากรุณาธิคุณ โดยแนะนํารัฐบาลให้ยุติคดีดังกล่าว ทําให้ในช่วงปี 2561 ถึง 2563 ไม่มีการดําเนินคดีความผิดเกี่ยวกับมาตรา 112 คดีที่มีการดําเนินคดีในช่วงดังกล่าวนั้นก็มีคําพิพากษายกฟ้อง และมีคําสั่งไม่ฟ้องเกือบทั้งหมด
จากเหตุการณ์ดังกล่าวทั้งหมดมาทําให้เชื่อว่า พระราชดํารัสหรือการแสดงความคิดเห็นของสถาบันกษัตริย์มีผลต่อการใช้หรือไม่ใช้มาตรา 112
คําว่า “สถาบันกษัตริย์” ที่พูดถึงนั้นหมายถึงพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน พระบรมวงศานุวงศ์ในปัจจุบัน องคมนตรี ประธานองคมนตรี ราชเลขานุการ ราชองครักษ์ระดับสูง
ในหลวงรัชกาลที่ 10 มีประกาศแต่งตั้ง พล.อ.มจ.จุลเจิม ยุคล เป็นนายทหารพิเศษ และ พล.อ.มจ.จุลเจิม เคยโพสต์แสดงความเห็นเมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2563 ว่า ควรนำมาตรา 112 ออกมาใช้ได้แล้ว ซึ่งเห็นว่าเป็นความเห็นของราชองครักษ์ระดับสูงและพระบรมวงศานุวงศ์ จึงเชื่อว่าการให้ความเห็นดังกล่าวนั้นเป็นการพูดในนามของสถาบันพระมหากษัตริย์
หลังจากนั้นในวันดังกล่าวนายกรัฐมนตรีก็ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายแก่ผู้ชุมนุม โดยให้ดําเนินคดีทุกมาตรา
ต่อมา ในวันที่ 2 ก.พ. 2564 มจ.จุลเจิม ยุคล ได้โพสต์ตั้งคําถามถึงตุลาการเกี่ยวกับการให้ประกันตัวผู้กระทําความผิดมาตรา 112 ซึ่งหลังจากนั้นในวันที่ 9 ก.พ. 2564 ศาลก็ไม่ให้ประกันตัวแกนนําผู้ชุมนุม 4 ราย
จากเหตุการณ์ดังกล่าวมานั้นทําให้เข้าใจได้ว่า การแสดงความคิดเห็นในนามของสถาบันพระมหากษัตริย์ก็มีผลในการให้ประกันบุคคลที่ถูกดําเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
การที่โพสต์ข้อความในวันที่ 11 และ 18 ก.พ. 2564 นั้นเพราะหวังดีต่อสถาบันกษัตริย์ หากมีการนํามาตรา 112 มาใช้จะเป็นการทําร้ายประชาชนในนามสถาบันกษัตริย์ และจะทําให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาต่อสถาบันกษัตริย์ อาจจะถึงขั้นเกลียดชัง ทําให้สถาบันกษัตริย์ไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน ในที่สุดอาจจะทําให้สถาบันกษัตริย์ล่มสลายได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
พยานจึงได้โพสต์ข้อความเพื่อแสดงความคิดเห็นว่า หากประชาชนเชื่อว่า สถาบันกษัตริย์ไม่ได้ใช้มาตรา 112 เพื่อทําร้ายประชาชน ก็จะไม่เป็นศัตรูกับประชาชนไปโดยปริยาย อันเป็นการรักษาไว้ซึ่งสถาบันกษัตริย์ เหมือนที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เคยให้พระราชดํารัสไว้
ส่วนเหตุที่พยานแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาเนื่องจากเป็นนิสัย ที่จะพูดด้วยความจริงใจอย่างตรงไปตรงมา จึงพูดข้อความออกไปโดยที่ไม่ต้องใช้คําสวยหรู แต่ก็ไม่ได้เป็นคําหยาบคาย ไม่ได้เป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท และไม่ได้เป็นการอาฆาตมาดร้าย โดยได้โพสต์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้ในเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 10 ม.ค. 2564
หลังจากที่ถูกเจ้าหน้าที่นําตัวไปที่โรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์แล้ว ได้ออกจากโรงพยาบาล ก็ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับความตั้งใจของและข้อเสนอแนะในการอยู่ร่วมกันของคนที่เห็นต่างเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ลงในเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2563
เกี่ยวกับคดีนี้หลังจากตํารวจจับกุมแล้ว ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนไว้โดยละเอียด ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาลงวันที่ 4 มี.ค. 2564 ซึ่งในเอกสารดังกล่าวนั้นได้ตอบคําถามข้อหนึ่งว่า สาเหตุที่หมดศรัทธาสถาบันกษัตริย์เนื่องจากได้อ่านหนังสือกรณีการสวรรคตรัชกาลที่ 8 และจากการศึกษาเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งทั้งสองเหตุการณ์นั้นไม่ได้เกิดในรัชสมัยของรัชกาลที่ 10
.
จนปัจจุบันทิวากรถูกคุมขังมาแล้ว 301 วัน หรือ 10 เดือน กับ 1 วันแล้ว
_____________________________________________________________
อ่านรายละเอียดเรื่องราวคดีและคำเบิกความฉบับเต็ม
อ่านเรื่องราวของทิวากรเพิ่มเติม:
กว่าจะ ‘หมดศรัทธาฯ’: เรื่องราวของ ‘ทิวากร วิถีตน’ กับวิถีการต่อสู้ที่ตนเลือกเอง
“หมดศรัทธา” ไม่ได้แปลว่า “ล้มเจ้า” สำรวจเส้นทางต่อสู้ ‘112’ ของทิวากร
“ผมตกต่ำได้มากกว่านี้ แต่ผมจะไม่สยบยอม”: เบื้องหลัง “ทิวากร” ประกาศไม่ประกันตัวชั้นอุทธรณ์