บันทึกเยี่ยม 4 ผู้ต้องขังคดีการเมือง: ยังหวังนิรโทษกรรม ทุกคนควรได้กลับบ้าน

สัปดาห์หลังกลางเดือนกรกฎาคม 2567 ทนายเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังคดีครอบครองวัตถุระเบิดฯ 4 ราย ได้แก่ ‘สุดใจ’ ที่เรือนจำพิเศษมีนบุรี ซึ่งตอนนี้ค่อย ๆ ปรับสภาพความเป็นอยู่กับเรือนจำแห่งใหม่ได้ ส่วน ‘มาย’ กับ ‘ธี’ ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ยังพูดคุยถึงสถานการณ์ชีวิตหลังจากคำพิพากษาอุทธรณ์ ที่มีผลให้พวกเขาจะได้ออกจากเรือนจำในช่วงกลางเดือนหน้า โดยทั้งสองพูดถึงการเตรียมความพร้อมไปใช้ชีวิตภายนอกเรือนจำ และสิ่งที่คาดหวังจะทำหลังจากนั้น มายยังคงพูดถึงการนิรโทษกรรม ที่ทุกคนควรจะได้กลับบ้าน ไม่ว่าจะมีความเชื่อทางการเมืองแบบไหน 

ขณะที่ ‘มาร์ค’ ที่เพิ่งผ่านวันเกิดอายุครบ 26 ปี โทษของเขายังเหลือราว ๆ 8 เดือน โดยยังคาดหวังการอภัยโทษ แม้จะต้องเผื่อใจไว้หากไม่ได้ แล้วต้องอยู่ในเรือนจำเต็มจำนวนวัน

.

สุดใจ: พอปรับสภาพกับเรือนจำใหม่ได้ แม้เป็นผู้ต้องขังการเมืองคนเดียวในแดน

วันที่ 15 ก.ค. 2567 ที่เรือนจำพิเศษมีนบุรี สุดใจนั่งรอในชุดเสื้อแขนสั้นสีฟ้าอ่อน กางเกงขาสั้นเสมอเข่าสีดำ ตัดผมรองทรงดูสะอาดสะอ้าน เมื่อเจอหน้าสุดใจยิ้มกว้าง เล่าในทันทีว่าตอนนี้พออยู่ได้ หลังถูกย้ายมาที่นี่ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมิถุนายน โดยระบุว่าเป็นมาตรการระบายความแออัดของนักโทษในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ทำให้มีการย้ายผู้ต้องขังที่คดีสิ้นสุดแล้วไปเรือนจำอื่น ๆ 

เขาบอกว่ากิจวัตรประจำวันก็คล้าย ๆ กับที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เลยไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก แต่มีเรื่องน้ำใช้ ที่นี่มีเวลาปิด-เปิดน้ำ ไม่ได้เปิดตลอดอย่างที่นั่น ที่นี่ยังตากเสื้อไว้ไม่ได้ ต้องยืนเฝ้าให้แห้งเลย เพราะมีคนขโมยของ ขนาดเขียนชื่อติดไว้ก็ขโมย ดีที่เสื้อผ้ามันบางทำให้แห้งง่าย ยืนเฝ้าไม่นานก็เก็บได้ ของอื่น ๆ อันไหนวางไว้ไม่นานก็หาย จึงต้องคอยระแวง แต่สุดใจเพิ่งได้ตู้ล็อคเกอร์เมื่อสัปดาห์ก่อน พอเก็บของได้บ้าง

สำหรับอาหารที่ผ่านมากินข้าวของเรือนจำ เขาบอกว่าอาหารที่นี่มีรสเค็มรสหวานขึ้นมาบ้าง ไม่เหมือนที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ที่จะเป็นรสจืดไปหมด ล่าสุดมีเจ้าหน้าที่มาบอกว่าไลน์สั่งซื้อของ ของเรือนจำใช้ได้แล้ว น่าจะฝากซื้อของผ่านไลน์ได้แล้ว 

ส่วนความเป็นอยู่ทั่วไป ก็พอปรับสภาพได้ ไม่ได้มีปัญหากับเพื่อนผู้ต้องขังหรือกับผู้คุม แต่สังเกตว่าที่นี่แดนเล็กมาก เล็กกว่าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ เวลานอนก็แออัดมาก มีการเอานักโทษระหว่างพิจารณากับตัดสินแล้วมารวม ๆ กัน ทำให้แออัดไปหมด นอกจากนั้นยังไม่มีร้านค้าสงเคราะห์เหมือนที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ เวลากดซื้อของตอนเช้า ต้องรอตอนเที่ยงหรือบ่ายถึงจะได้ของ 

สุดใจเล่าเพิ่มว่า เขาเป็นผู้ต้องขังทางการเมืองคนเดียวที่อยู่ในแดน “ไม่ค่อยได้สุงสิงกับคนอื่น ยังดีที่มีเพื่อนผู้ต้องขังที่ย้ายมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ก็ได้พูดคุยกันอยู่ 2 คน” สุดใจพูดพร้อมหัวเราะอย่างซื่อ ๆ 

จนถึงปัจจุบัน (31 ก.ค. 2567) สุดใจถูกคุมขังในฐานะผู้ต้องขังคดีสิ้นสุดมาแล้ว 292 วัน หลังถูกดำเนินคดีครอบครองระเบิดปิงปอง ในช่วงเวลาการชุมนุมเมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2564 บริเวณคอนโดแห่งหนึ่งย่านดินแดง ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นจำคุก 1 ปี 6 เดือน และไม่ได้รับอนุญาตให้ฎีกา ทำให้คดีสิ้นสุดลง

.

มาย ชัยพร: ยังหวังนิรโทษกรรม ทุกคนควรได้กลับบ้าน ไม่ว่าจะอยู่ฝั่งไหน

วันที่ 18 ก.ค. 2567 จากการพูดคุยผ่านโทรศัพท์ วันนี้มายทักทายขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสดใส หลังจากผลคำพิพากษาอุทธรณ์ออกมาค่อนข้างเป็นไปตามที่คาดหวัง เดือนหน้า (สิงหาคม) ก็จะได้กลับบ้าน  

มายย้อนเล่าว่าคืนก่อนไปฟังคำพิพากษา เขานอนไม่หลับเลย กระวนกระวายจนเช้า กระทั่งไปถึงศาล หลังได้ฟังคำพิพากษาก็รู้สึกโล่งใจ เพราะอยู่กับความอึดอัดใจมานานมาก มายมองไปข้างหน้าว่าวันที่ได้ออก อยากกลับไปไหว้พ่อกับแม่ กินข้าวกับครอบครัวแบบพร้อมหน้าพร้อมตากัน 

“ผมอยากเจอพ่อแม่ที่สุด เพราะผมไม่ได้ให้เขามาเยี่ยมเลย กลัวว่าเขาจะลำบาก เพราะมันต้องเดินทางค่อนข้างไกล ค่าใช้จ่ายก็สูง เลยบอกไปว่าเดี๋ยวได้ออกแล้วจะรีบกลับบ้านไม่ต้องเป็นห่วง”

เมื่อถามถึงความรู้สึก เขาบอกด้วยเหตุที่รอคอยมานานมาก มันรู้สึกอธิบายได้ยากว่าการจะได้ออกไปมันรู้สึกยังไง อย่างที่เคยบอกถ้าได้ออกไป เขามีงานที่เล็ง ๆ ไว้อยู่แล้ว คืองานช่างไฟที่เคยทำมาก่อน ทำหน้าที่เดินสายไฟ เดินระบบไฟฟ้าในอาคาร โดยอาจจะรับงานเป็นฟรีแลนซ์ 

ระหว่างรออิสรภาพตอนนี้พยายามจัดการหลาย ๆ อย่างเท่าที่จะทำได้ก่อนได้ออกไป โดยเขาพยายามบอกผู้ต้องขังหลายคนเกี่ยวกับขั้นตอน วิธีการ การตรวจสอบ การร้องเรียน และการปกป้องสิทธิตัวเองด้วย “ผมเข้าใจพวกเขา เพราะผู้ต้องขังไม่กล้ามีปากมีเสียงกับเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะผู้ต้องขังที่เป็นคนจนแบบคนแดน 6 แต่ก็บอกไปว่าแม้เราจะกลัวและอดทนไป แต่ถ้าเรื่องไหนมันเกินไปจริง ๆ เราก็ไม่ควรจะยอมหรือปล่อยผ่านมันไป เพราะมันจะไม่ถูกแก้ไข”

มายบอกต่อว่า การที่เราไปพูดเรื่องสิทธิ ไม่ใช่การตั้งตัวเป็นศัตรูหรือตั้งใจจะเล่นงานเจ้าหน้าที่ เราแค่ต้องการให้มีการดูแลหรือแก้ไขปัญหา ซึ่งมันเป็นเรื่องพื้นฐานมาก ๆ ก่อนกล่าวทิ้งท้ายว่า เขายังหวังว่าอยากให้ทุกคนได้รับการนิรโทษกรรมคดีต่าง ๆ แม้ตัวเขาจะพ้นโทษแล้วก็ตาม ทุกคนควรได้กลับบ้าน แม้แต่ไบรท์ ชินวัตร เองก็ควรจะได้กลับบ้านเหมือนกัน ไม่ว่าเขาจะอยู่ฝั่งไหนก็ตาม

จนถึงปัจจุบัน (31 ก.ค. 2567) มายถูกขังมาแล้วเป็นระยะเวลา 533 วัน หรือกว่า 1 ปี 5 เดือน เขาและธีเป็นจำเลยในคดีเดียวกัน จะได้รับการปล่อยตัวในช่วงกลางเดือน ส.ค. 2567 ที่จะถึงนี้ หลังคำพิพากษาอุทธรณ์ แก้โทษลดลงจาก 3 ปี เป็นเหลือจำคุก 1 ปี 6 เดือน แทน

.

ธี ถิรนัย: นับถอยหลังทุกวัน อยากจะได้ออกไป

วันที่ 19 ก.ค. 2567  ในการพูดคุยผ่านโทรศัพท์ ธีโผล่หน้ามาด้วยความยิ้มแย้ม เขาบอกว่าดีใจมาก ๆ ที่จะได้กลับบ้าน จากผลคำพิพากษาอุทธรณ์ แต่พอกลับมาเรือนจำ คิด ๆ ดู ความรู้สึกดีใจมันไม่ได้อยู่นานขนาดนั้น 

“พอกลับมาคิดว่านี่เราต้องติดอยู่ในเรือนจำมาตั้ง 1 ปี 5 เดือนแล้วนะ และกลับมารู้สึกว่าเดือนหน้านี่มันโคตรนานเลย ผมนับถอยหลังทุกวัน อยากจะได้ออกไป” ธีเล่า เขาบอกอีกว่าข้างในนี้มีการคุยกันเล่น ๆ ว่าถ้าได้ออกไปแล้วเลือกของขวัญแห่งอิสรภาพได้ ใครจะเลือกอะไร บางคนก็บอกว่าสิ่งแรกจริง ๆ คือ โทรศัพท์มือถือ เพราะเราจะได้ใช้สื่อสาร ได้โทรหาครอบครัว ได้ติดต่อกับเพื่อน ๆ บ้างก็ว่าอาจเป็นเงินสักก้อนหนึ่งพอได้ใช้ตั้งตัวในช่วงที่ออกมา ช่วงที่ต้องหางานใหม่ทำ คือคนที่ทางบ้านมีฐานะก็อาจจะไม่มีปัญหา “แต่ผมว่าก็สำคัญมากสำหรับคนที่เขาไม่มีจริง ๆ” 

สำหรับธีหากได้ออกไป เขาอยากไปเรียนให้จบ และอยากบวชให้ที่บ้าน ตั้งใจจะทำสองเรื่องนี้ก่อน ที่เหลือยังไม่ได้คิดมาก จากนั้นค่อยวางแผนทำงานช่วยที่บ้านไปก่อน แล้วค่อยเริ่มหาอะไรที่เป็นของตัวเองจริง ๆ  

“วันที่ก้าวเท้าออกจากเรือนจำวันแรกนะ ผมอยากกินชาบู อยากซื้อเสื้อผ้าใหม่ ผมอยากใส่ชุดอื่น (หัวเราะ)”   ธีบอกอีกว่าอยากพักผ่อน อาบน้ำสะอาด ๆ ทำตัวให้ดูพร้อมที่สุด แล้วค่อยกลับไปบ้าน 

จนถึงปัจจุบัน (31 ก.ค. 2567) ธีถูกขังมาแล้วเป็นระยะเวลา 533 วัน หรือกว่า 1 ปี 5 เดือน เช่นเดียวกับมาย ที่เป็นจำเลยคดีเดียวกัน ธีก็จะได้รับการปล่อยตัวในช่วงกลางเดือน ส.ค. 2567 ที่จะถึงนี้ 

.

มาร์ค: คาดหวังการอภัยโทษ แต่ก็เผื่อใจไว้

วันที่ 19 ก.ค. 2567 มาร์คหน้าตาสดใส ยิ้มแย้มกว่าปกติ บอกว่ารู้สึกเหมือนจะมีอะไรดี ๆ เกิดขึ้น ก่อนอัปเดทว่า สุขภาพร่างกายแข็งแรง ปกติดี โดยช่วงนี้เขายังคาดหวังเรื่องอภัยโทษ ตอนนี้เจ้าหน้าที่บอกว่าเอกสารเรื่องอภัยโทษเข้ามาถึงเรือนจำแล้ว หลังจากนี้จะมีการประกาศ และเอาใบประกาศไปแปะไว้ในทุกแดน ซึ่งจะมีบอกเงื่อนไขการอภัยโทษอยู่ด้วย ซึ่งจะเห็นว่าใครเข้าเงื่อนไขบ้าง 

เขาพูดอย่างมีหวังว่าถ้าได้อภัยโทษ โทษก็อาจเหลือโทษแค่หลักเดือน แต่ก็เผื่อใจไว้ ถึงไม่ได้ก็ไม่เป็นไร “ผมเหลือโทษอยู่ 8 เดือน ก็อยู่ในระดับที่รอไหว เวลาทางบ้านถามผม ผมก็ยังไม่ได้บอกว่าจะได้ออกไปตอนไหน ไม่อยากให้เขาคาดหวังไปด้วย” 

ถึงอย่างนั้นมาร์คยังเล่าว่านอนไม่หลับมา 3-4 คืนแล้ว นอนหลับยาก นอนคิดไปเรื่อย คิดว่าจะได้ออกไหม ถ้าได้ออกไปจะไปทำอะไรบ้าง

ก่อนกล่าวทิ้งท้ายว่าเพิ่งผ่านวันเกิดอายุครบ 26 ปี แต่ก็ไม่ได้บอกใคร เพราะใช้ชีวิตเหมือนทุกวัน  “อยู่ในนี้จะให้ทำอะไรได้ (หัวเราะ) ถ้าอยู่ข้างนอกก็ว่าไปอย่าง ข้างในนี้มันไม่มีอารมณ์จะทำอะไรนัก”

จนถึงปัจจุบัน (31 ก.ค. 2567) ยังไม่มีการออกพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษในโอกาสสำคัญตามที่ผู้ต้องขังหลายคนคาดหวัง สำหรับมาร์คถูกคุมขังมาแล้ว 506 วัน จากกรณีเข้าร่วมชุมนุมบริเวณดินแดง เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 2564 ก่อนถูกดำเนินคดีฐานมีวัตถุระเบิดในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ศาลอาญาพิพากษาจำคุกรวม 2 ปี 1 เดือน และคดีของเขาถึงที่สุดแล้ว   

ย้อนอ่านบันทึกเยี่ยม

บันทึกเยี่ยม มาย-บุ๊ค-ธี:  ยังเฝ้ารอในทุกวัน ให้อิสรภาพบังเกิดขึ้น

X