บันทึกเยี่ยม มาย-บุ๊ค-มาร์ค-ธี : อยากให้คนข้างนอกรู้ว่า คนข้างในกำลังต่อสู้อยู่ทุกวัน

ระหว่างวันที่ 25-29 เม.ย. 2567 ทนายความเดินทางไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เข้าเยี่ยม 4 ผู้ต้องขังคดีครอบครองวัตถุระเบิด ได้แก่ ‘มาย ชัยพร’, ‘ธี’ ถิรนัย,‘บุ๊ค’ ธนายุทธ และ ‘มาร์ค’  ครั้งนี้ มายย้อนภาพถึงชีวิตการทำงานด้านไฟฟ้า และช่วงติดกำไล EM ที่ทำให้ยากลำบากต่อการหางานทำ ก่อนจะสรุปว่าหากได้ออกไปจะใช้ทุกทักษะที่มีเริ่มต้นชีวิตใหม่ ขณะที่ ธี ผู้ต้องขังคดีเดียวกับมาย ก็กำลังเคร่งเครียดกับการนัดฟังคำพิพากษาอุทธรณ์ ด้วยรอมาเกือบหนึ่งปีแล้ว และอยากทราบความชัดเจน

บุ๊ค ศิลปินฮิพฮอพพูดถึงเรื่องราวในเรือนจำช่วงสงกรานต์ที่เขามีโอกาสแสดงเพลง และได้รับเสียงเชียร์กำลังใจจากเพื่อน ๆ ผู้ต้องขัง ที่ถึงกับตั้งความหวังให้เป็นตัวแทนในการถ่ายทอดเรื่องความยุติธรรมต่อไป ส่วนมาร์คที่อยู่กองงานช่างบำรุง อัพเดตว่าช่วงนี้ไม่ค่อยมีงานอะไรให้ซ่อมนัก แต่มันช่วยฆ่าเวลา และก็ช่วยให้อยู่ง่ายขึ้น 

.

มาย ชัยพร: ถ้าออกจากคุกไปจะเริ่มต้นจากทุกทักษะที่มี

วันที่ 25 เม.ย. 2567 มายเล่าย้อนว่า สงกรานต์ก็ทำงานอยู่ร้านค้าเหมือนเดิม ร้านเปิดทุกวันไม่ได้หยุด ส่วนกิจกรรมอื่น ๆ ก็มีแข่งเตะตะกร้อกันนิดหน่อย แล้วก็มีเล่นดนตรีกัน กับมีการเอาคอมพิวเตอร์ออกมาเปิดคาราโอเกะร้องเพลงในแดน คอมพิวเตอร์ข้างในจะเป็นตัวที่ใช้ในร้านค้ากับที่อยู่หน้าแดน จะไม่มีอินเทอร์เน็ต ต้องอาศัยโปรแกรมที่มีอยู่ในเครื่องเอา 

ชีวิตที่แดน 6 มายบอกว่าของที่เอาขึ้นบนห้องนอนได้จะมีหนังสือไม่เกิน 2 เล่ม กับน้ำหรือนม ที่ต้องเอาใส่ในภาชนะใสเท่านั้น ห้ามมีอะไรเจือปน ก่อนพูดเรื่องสุขภาพ ว่าพยายามดูแลตัวเองมากขึ้น ยังมีอาการผื่นขึ้นอยู่ แต่เป็นน้อยลงแล้ว มายย้ำหลายรอบว่า อาทิตย์นี้อากาศร้อนมาก ๆ

ในฐานะทำงานด้านไฟฟ้า มายอยากรู้ข่าวสารเรื่องรถ EV อยากตามทันโลก “เพราะผมทำงานเกี่ยวกับด้านไฟฟ้า คิดว่าสมัยนี้พลังงานสะอาดมันจะมาแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งโซล่าเซลล์ พลังงานลม พลังงานน้ำ”  ทั้งทุกวันนี้ราคาถูกลงแล้ว มีการแข่งขันกันมากขึ้น วัตถุดิบก็ใช้ของทดแทนได้มากขึ้น ไม่แพงเหมือนแต่ก่อน 

มายให้ความเห็นว่าเราต้องลดการลงทุนขนาดใหญ่ มาสนับสนุนให้คนธรรมดาผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทางเลือกเองได้ ถ้าเหลือรัฐก็รับซื้อมาเป็นพลังงานสำรอง แต่ที่มันยังทำแบบนั้นไม่ได้ เราก็รู้กันว่าเพราะมันมีคนกลางที่จะเสียผลประโยชน์นี้ไป 

ก่อนจะวิจารณ์นโยบายการเมือง “การแจกเงินนี่ผมเสียดายมาก มันมีคนชอบแหละ แต่ผมมองว่ามันไม่ได้ช่วยเรื่องการพัฒนา มันใช้งบจำนวนมาก มากพอที่จะใช้พัฒนาอย่างอื่น ที่สร้างงาน สร้างอาชีพต่อเนื่องไปอีก ให้คนต่างจัดหวัดได้เพิ่มโอกาสมากกว่านี้ อย่างเกษตรกร รายได้น้อย ผลผลิตก็ไม่มีราคา ซึ่งพวกเขามีจำนวนมาก ทำไมเราไม่ไปจัดการอุดช่องว่างตรงนี้ ใช้งบออกแบบให้มันหมุนเป็นระบบ แล้วมันจะช่วยพวกเขาได้ต่อเนื่องมากกว่า”

ต่อมาวันที่ 29 เม.ย. 2567 มายเล่าว่า อากาศร้อน “ผมผดร้อนขึ้นเยอะมากเต็มแขนเลย (มายด์โชว์แขนให้ดู เป็นจุดแดงเล็ก ๆ ขึ้นเต็มแขน แต่สีไม่เข้มมาก) แต่อันนี้ไม่ใช่อาการผื่นแพ้นะ ถ้าแพ้มันจะยื่นขึ้นแบบยุงกัดเลย แต่เป็นปื้น ๆ อันนั้นหนักกว่า มันลามไปได้ทั้งตัวเลย ต้องกินยา แต่ผดร้อนนี่ไม่ต้องกินยา ไม่ลาม แต่จะขึ้นมาเองช่วงร้อนจัด ๆ ช่วงบ่ายจะเริ่มมาแล้ว ผมก็ใช้วิธีการอาบน้ำล้างตัว”

แดน 6 จำกัดเวลาอาบน้ำด้วย อาบได้แค่ตอนบ่าย อาบเป็นรอบ ๆ รอบละ 5 นาที พอหมดเวลาเจ้าหน้าที่เขาก็จะเป่านกหวีดให้ออกมา อาบได้แค่คนละ 1 ครั้งต่อวัน 

วันนี้มายย้อนเล่าถึงคดีที่เผชิญว่า ตอนโดนจับ ถูกไล่ออกจากงานช่างอาคาร ก็เลยไปสมัครงานใหม่เป็นช่างโรงแรมกับเรือสำราญ ก็เข้าไปทำงานได้  “แต่พอเขารู้ว่าเรามีคดีเขาก็ให้เราออก ผมว่าเรื่องคดีมันเรื่องเล็ก คุยกันได้ เรื่องใหญ่คือเราใส่กำไล EM ผมก็เข้าใจเขานะ เขาก็ไม่ได้ไล่เราเหมือนหมูเหมือนหมา มาคุยด้วยเหตุผล แต่การที่เราติด EM มันกระทบภาพลักษณ์ของเขาเหมือนกัน เราไปซ่อมห้อง ลูกค้ามาเห็นเขาไม่รู้ว่าเราโดนคดีอะไร การเมืองไหม เขากลัวไว้ก่อนอยู่แล้ว”

จากบทเรียนนั้น “เวลาสมัครงานผมก็ไม่ได้บอกหรอกว่าติด EM สมัครผ่านก็ทำได้ก่อน แล้วเขาจะให้ออกทีหลังก็ยอมออก ได้เดือนสองเดือนก็โอเค บางคนเขารู้ เขาก็ตกใจ บางคนเขารู้ เขาก็คุยได้ก็ยังดี แต่ก็ได้ออกนะ เพราะบริษัทที่เขามีมาตรฐานมันก็คงต้องรักษาภาพลักษณ์” 

ก่อนเล่าถึงชีวิตช่วงนั้นที่ตกงานไปหลายเดือน “มันลำบากตรงที่เราเคยมีเงินเดือน เราก็สร้างชีวิต วางแผนซื้อของต่าง ๆ เราผ่อนรถ ซื้อของใช้ ปลูกบ้านบนที่ดินของเรา พอไม่มีงานเงินเก็บเราก็ต้องเอามาทยอยใช้ ทยอยผ่อนไป จนเงินเก็บเราหมด แต่ดีนะที่หนี้รถหมดไปแล้ว (ยิ้ม)” 

นอกจากงานที่สมัครที่ต่าง ๆ การรับเหมาเดินสายไฟฟ้าคือหนึ่งในอาชีพที่เขาเคยทำ ก่อนจะคิดถึงชีวิตในวันข้างหน้า  “ผมคิดว่าอย่างน้อยถ้าผมออกจากคุกไป ผมก็ไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์ เราก็ไปเริ่มต้นจากทุกทักษะที่เรามี”

.

ธี ถิรนัย: อยากรู้ความชัดเจน จะได้ตัดสินใจในชีวิตถูก

วันที่ 29 เม.ย. 2567 ธีเล่าว่าข้างในนี้อากาศร้อนมาก ตอนเดินออกมาก็ร้อน เขาให้ช่วยอัพเดทเรื่องอุทธรณ์ โดยทราบว่าศาลยังไม่ได้กำหนดวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มาแต่อย่างใด 

ธีทำหน้าเคร่งตึง และพูดว่า “เรายื่นอุทธรณ์ไปตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย. 2566 มันจะครบหนึ่งปีแล้ว มันนานมาก ๆ เลย ผมไม่รู้ว่าผมกำลังรออะไร ตอนนี้ผมติดมาครึ่งนึงแล้ว ครึ่งทางแล้ว จะได้ใบเด็ดขาดหรือไม่ได้ ผมก็ไม่อะไรแล้ว แต่อยากรู้ความชัดเจน ผมจะได้ตัดสินใจในชีวิตผมถูก” โดยเขายังชวนสนทนาปรึกษาเรื่องคดีต่อไป

คดีของมายและธี ยังไม่รู้วันฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่แน่นอน 

.

บุ๊ค ธนายุทธ: การทำเพลงมันจะอยู่ไปกับผมตลอดชีวิต

26 เม.ย. 2567 ที่ห้องเยี่ยมทนายห้องที่ 3 บุ๊คและเพื่อน ๆ ยิ้มแย้ม คุยกันคึกคัก บุ๊คสวมเสื้อสีฟ้า สวมแว่นสายตากรอบสีดำ เล่าไปถึงช่วงเทศกาลสงกรานต์ว่า รู้สึกเหงา เพราะคิดถึงบรรยากาศข้างนอก อยากฉลองกับครอบครัว แต่ในแดน 6 ก็คึกคักดี เล่นน้ำกัน 4 วัน มีดนตรีแสดงด้วย “ผมก็ได้เล่นคอนเสิร์ต แรปสดเลย เล่าถึงเรื่องการเมือง กระบวนการยุติธรรม คนก็ชอบ ผมดีใจนะ”

ขณะที่อากาศยังร้อนมาก มีผื่นแสบ ๆ ขึ้นตามตัว ตรงจุดอับ ขา แขน คอ ต้องใช้แป้งมาโปะเข้าไป คนข้างในบอกว่าหน้าร้อนเป็นช่วงที่ยากที่สุดของคนในนี้ “ผมนอนไม่ค่อยหลับ ร้อน มีอาการทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมา มันจะมีเรื่องแย่ ๆ เข้ามาในหัวตลอด มันก็ทำให้เรานอนต่อไม่หลับ เป็นมาพักใหญ่แล้ว ตั้งแต่ช่วงก่อนปีใหม่ คนอื่นก็มีอาการคล้าย ๆ กัน” 

กับศิลปินในเรือนจำ บุ๊คเล่าว่า “ถ้าผมนอนไม่หลับ ก็จะลุกขึ้นมาเขียนเพลง หรืออ่านหนังสือ มันก็พอช่วยได้บ้าง ผมคุยเรื่องอาการนี้กับเพื่อน ๆ ตลอด ก็คอยให้กำลังใจกัน คิดว่าเพราะที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เราควรต้องเข้ามาอยู่ ๆ แล้ว มันทำให้รู้สึกไม่เป็นธรรม เหมือนเราถูกล็อคไว้ตลอดเวลา”

สิ่งที่บุ๊คคิดเสมอคือ เราพอทำอะไรได้บ้าง ที่จะส่งแรงกระเพื่อมออกไปข้างนอกได้ เพื่อให้เรามีอิสรภาพออกไปต่อสู้ข้างนอกได้ต่อ

“อยากให้คนข้างนอกรู้ว่า คนข้างในกำลังต่อสู้อยู่ทุกวัน ไม่มีสักวันที่เราจะสิ้นหวังจนไม่เหลืออะไร ตอนนี้แม้ว่าเราจะได้รัฐบาลใหม่แต่มันก็ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ และเมื่อถึงเวลาที่ต้องลุกขึ้นสู้ ผมก็อยากให้ทุกคนยืนหยัดเช่นกัน เพราะไม่มีพลังอะไรจะยิ่งใหญ่เท่าพลังของประชาชนอีกแล้ว” 

ก่อนอธิบายว่าข้างในนี้ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่ ผู้ต้องขังก็ยิ่งตื่นรู้มากขึ้น ไม่ใช่แค่ผู้ต้องขังการเมือง แทบทุกคนในนี้ต่างตั้งคำถามต่อเรื่องอิสรภาพของอดีตนักการเมืองคนหนึ่ง ว่ามันเป็นเพราะกระบวนการยุติธรรมที่แย่ หรือเพราะโอกาสของพวกเรามันไม่เท่ากัน 

ทุกคนหวังว่าจะได้รับการพักโทษเหมือนกัน หวังจะได้รับผลจากระเบียบกรมราชทัณฑ์เหมือนกัน หวังว่ามันจะเอื้อให้พวกเรามีอิสรภาพเฉกเช่นเดียวกับอดีตนักการเมืองรายนั้น พอเป็นเรื่องสิทธิผู้ต้องขังในเรือนจำทั่วไป มันกลับเชื่องช้าเหลือเกิน ทุกคนต้องรอให้เข้าเกณฑ์ นานเป็นปี ๆ ถึงจะได้พักโทษบ้าง กระบวนการยุติธรรมเหล่านี้ ควรเอากรณีคุณทักษิณเป็นบรรทัดฐานที่จะใช้กับผู้ต้องขังคนอื่น ๆ ทั่วประเทศ 

บุ๊คทิ้งท้ายว่า ช่วงนี้เขียนเพลงได้หลายเพลงเลย “ทุกคนข้างในก็เชียร์ผม บอกให้ผมไประดับโลกให้ได้ และเป็นตัวแทนของพวกเขาในการพูดเรื่องความยุติธรรมต่อไป ผมไม่รับปากเรื่องไประดับโลก แต่บอกพวกเขาไปว่าการทำเพลงมันจะอยู่ไปกับผมตลอดชีวิต”

.

มาร์ค: ทำงานในนี้ก็ไม่ได้ค่าตอบแทนอะไร แต่มันช่วยฆ่าเวลา 

26 เม.ย. 2567 วันนี้มาร์คมาถึงห้องเยี่ยมก่อนเพื่อน ๆ คนอื่น มาร์คยืนรอด้วยหน้าตานิ่ง ๆ เจอกันก็ยิ้มเล็กน้อย บอกว่า ‘ธี’ กำลังเดินตามออกมา ส่วนเพื่อน ๆ แดน 6 เดี๋ยวคงตามมา เพราะเดินไกลกว่า มาร์คทักทายว่า “สวัสดีปีใหม่ครับ” แล้วก็หัวเราะเล็ก ๆ 

มาร์คพูดถึงช่วงสงกรานต์ ก่อนจะบ่นถึงอากาศที่ร้อนมาก ปัจจุบันมาร์คอยู่กองงานช่างบำรุงแดน ช่วงนี้ไม่ค่อยมีงานอะไรให้ซ่อมเลย หากไม่มีงานก็จะเดินเล่น ในแดนก็จะมีการเปิดเพลงบ้าง คนที่หน้าแดนเป็นคนเปิดออกลำโพง วิทยุอันนั้นเหมือนว่าผู้ต้องขังประกอบกันขึ้นมาเอง เอามาจากชิ้นส่วนรถยนต์ 

มาร์คอัพเดทชีวิตที่กองงานว่า “ทำงานในนี้ก็ไม่ได้ค่าตอบแทนอะไร แต่มันช่วยฆ่าเวลา และก็ช่วยให้อยู่ง่ายขึ้น ผู้คุมในกองงานก็ดูแลดี”

.

จนถึงปัจจุบัน (3 พ.ค. 2567) มายและธี ถูกคุมขังระหว่างอุทธรณ์มาแล้ว 445 วัน, บุ๊คถูกคุมขังระหว่างมาแล้ว 226 วัน โดยคดีของเขาเพิ่งสิ้นสุดไป ต้องรับโทษตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จำคุก 2 ปี 6 เดือน

ส่วนมาร์คถูกคุมขังมาแล้ว 417 วัน หรือราว 1 ปี 1 เดือน จากโทษจำคุก 2 ปี 1 เดือน โดยคดีถึงที่สุดแล้ว 

X