ศาลอุทธรณ์แก้เป็นจำคุก 3 ปี ก่อนลดเหลือ 1 ปี 6 เดือน “ถิรนัย-ชัยพร” คดีครอบครองระเบิดปิงปองก่อนชุมนุม ทั้งสองถูกขังมาแล้ว 1 ปี 5 เดือน รอปล่อยตัวเดือนหน้า

16 ก.ค. 2567 เวลา 09.00 น. ศาลอาญา นัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในคดีของ “ธี” ถิรนัย (สงวนนามสกุล) และ “มาย” ชัยพร (สงวนนามสกุล) นักกิจกรรมและการ์ดผู้ชุมนุมวัย 23 และ 24 ปี ตามลำดับ ในคดีครอบครองวัตถุระเบิด ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ หลังถูกตรวจพบระเบิดปิงปองจำนวน 10 ลูก บริเวณด่านใกล้แยกนางเลิ้ง ก่อนการชุมนุม #ม็อบ29สิงหา64 

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 6 ปีนั้นหนักเกินไป จึงพิพากษาแก้โทษ เป็นจำคุกจำเลยคนละ 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ จึงลดโทษเหลือจำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน

แต่อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้น (15 ก.พ. 2566) จนถึงวันนี้ (16 ก.ค. 2567) ถิรนัยและชัยพรถูกขังมาแล้วเป็นระยะเวลา 518 วัน หรือ 1 ปี 5 เดือน 1 วัน ทำให้ทั้งสองคนจะถูกปล่อยตัวในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ตามโทษในคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์

.

ในวันเกิดเหตุคดีนี้ 29 ส.ค. 2564 มีนัดหมายชุมนุม CAR MOB CALL (ประยุทธ์) OUT ขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยกันหลายกลุ่ม ในวันดังกล่าว ถิรนัยและชัยพรถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกตรวจค้นรถบริเวณด่านใกล้แยกนางเลิ้ง ก่อนพบระเบิดปิงปอง จึงถูกยึดไว้เป็นของกลางและควบคุมตัวทั้งสองไปดำเนินคดีที่ สน.นางเลิ้ง 

ในบันทึกจับกุมระบุว่า ชุดจับกุมประกอบด้วย คฝ.ร้อย 2 บก.น. 1 จำนวน 6 นาย และชุดสืบสวน สน.นางเลิ้ง 4 นาย โดยเวลาประมาณ 12.30 น. เจ้าหน้าที่ตํารวจชุดจับกุมได้ตั้งจุดตรวจด่านความมั่นคงที่บริเวณหน้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) ถนนนครสวรรค์ ต่อมาเวลาประมาณ 14.30 น. ได้ตรวจค้นรถจักรยานยนต์ซึ่งมีชัยพรขับขี่ และถิรนัยซ้อนท้าย พบระเบิดปิงปองบรรจุขวด 2 ลูก, ระเบิดปิงปองลูกบอลกลม 8 ลูก อยู่ในกระเป๋าที่ถิรนัยสะพายอยู่ และพบขวดบรรจุน้ำมันเชื้อเพลิง 4 ขวด ใต้เบาะรถจักรยานยนต์

พนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง แจ้งข้อกล่าวหาทั้งสองว่า “มีวัตถุระเบิดที่เจ้าพนักงานไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง” ถิรนัยและชัยพรไม่ได้ลงชื่อในบันทึกจับกุม หลังทำบันทึกจับกุมที่ สน.นางเลิ้ง พนักงานสอบสวนนำตัวไปสอบปากคำที่ บช.ปส. ก่อนนำตัวกลับมาคุมขังที่ สน.นางเลิ้ง ตลอดคืน

วันต่อมา (30 ส.ค. 2564) พนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้องขอฝากขังทั้งสองต่อศาลอาญา ศาลอนุญาตให้ฝากขัง แต่อนุญาตให้ประกันตัวด้วยหลักทรัพย์คนละ 10,000 บาท พร้อมกับให้ติดกำไล EM  

ต่อมาในวันที่ 19 พ.ย. 2564 พนักงานอัยการ สำนักอัยการสูงสุด (สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 5) มีคำสั่งฟ้องถิรนัย (จำเลยที่ 1) และชัยพร (จำเลยที่ 2) ต่อศาลอาญาในฐานความผิด “ร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย” ระบุว่า ระเบิดปิงปองในครอบครองทั้ง 10 ลูกที่ถูกตรวจค้นเจอ อัยการเห็นว่าเป็น ‘ระเบิดแสวงเครื่อง’ อยู่ในสภาพใช้ทำการระเบิดได้ และสามารถทำอันตรายต่อร่างกายให้ได้รับบาดเจ็บหรือบาดเจ็บสาหัสได้หากถูกอวัยวะสำคัญ อีกทั้งยังสามารถทำอันตรายต่อวัตถุและทรัพย์สินได้ในระยะไม่เกิน 2 เมตร   

เมื่อคดีเข้าสู่การสืบพยานในชั้นศาล ในนัดสุดท้ายของการสืบพยานโจทก์จำเลยเปลี่ยนคำให้การจากปฏิเสธเป็นรับสารภาพ จึงทำให้ช่วงบ่ายของวันเดียวกัน ศาลมีคำพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 3, 55, 74, 78 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ฐานมีวัตถุระเบิดโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีวัตถุระเบิดซึ่งนายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง เป็นกรรมเดียวต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามบทกฎหมายที่หนักที่สุดคือ ฐานมีวัตถุระเบิดซึ่งนายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง ให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 6 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา มีเหตุลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 3 ปี ไม่รอลงอาญา และให้ริบวัตถุระเบิดของกลาง

.

หลังศาลอาญามีคำพิพากษา ทนายความได้ยื่นขอประกันตัวถิรนัยและชัยพรในระหว่างชั้นอุทธรณ์ คำร้องดังกล่าวถูกส่งให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้พิจารณา ทำให้ทั้งสองคนต้องเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพในวันดังกล่าวทันที และต่อมาศาลก็มีคำสั่งยกคำร้องการประกันตัว 

จนถึงปัจจุบัน มีการยื่นประกันตัวทั้งสองคนรวมแล้ว 9 ครั้ง ทุกครั้งคำร้องถูกส่งให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้พิจารณา และศาลอุทธรณ์ก็ยกคำร้องดังกล่าวทุกครั้ง ทำให้ในระหว่างการอุทธรณ์คดีนี้ ทั้งสองคนจึงถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำมาโดยตลอด

เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 2566 ทนายความได้ยื่นอุทธรณ์ โดยสามารถสรุปใจความสำคัญออกเป็น 3 ประเด็น ดังนี้

ประเด็นที่ 1 แม้จำเลยจะรับสารภาพ ศาลชั้นต้นต้องพิจารณาวินิจฉัยให้ได้ความด้วยว่า จำเลยทั้งสองคนได้กระทำความผิดความผิดหรือร่วมกันกระทำความผิดด้วยหรือไม่ ตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดเนื่องจากให้การรับสารภาพ เป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โจทก์มีหน้าที่ต้องพิสูจน์ให้ได้ชัดแจ้งว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำผิดโดยปราศจากข้อสงสัย 

คดีนี้ได้มีการสืบพยานโจทก์บางส่วน ทำให้ปรากฏข้อเท็จจริงที่นำมาพิจารณาวินิจฉัยที่เป็นคุณกับจำเลยได้เป็นอย่างยิ่ง เมื่อคำจำกัดความของนิยามคำว่า “วัตถุระเบิด” นั้นต้องมีแรงทำลายหรือแรงประหารอย่างแรงเกิดขึ้น เมื่อมิได้นำวัตถุของกลางมาพิสูจน์ว่าทำให้เกิดระเบิดได้จริงหรือไม่ ไม่ปรากฏว่าระเบิดแล้วมีแรงทำลายหรือแรงประหารจริงหรือไม่

ประเด็นที่ 2 ตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ในฐานร่วมกันมีวัตถุระเบิดโดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานมีวัตถุระเบิดซึ่งนายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง จำเลยทั้งสองไม่เห็นพ้องด้วย เนื่องจากการนำสืบของโจทก์ไม่ได้ความว่าจำเลยที่ 2 ร่วมรู้กับการที่จำเลยที่ 1 ที่นำวัตถุดังกล่าวมาในวันเกิดเหตุอย่างไรบ้าง มีพฤติการณ์อย่างไรที่ควรรู้ว่าจำเลยที่ 1 นำพาวัตถุดังกล่าวมาด้วย พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 จึงยังเป็นข้อสงสัยอย่างยิ่งว่าได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ตามฟ้อง จึงสมควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้กับจำเลยที่สองในฐานร่วมกันกระทำความผิด

ประเด็นที่ 3 ตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 6 ปี จำเลยทั้งสองมิอาจเห็นพ้องด้วย เนื่องจากจำเลยได้กระทำไปในช่วงอายุยังน้อย และกระทำไปโดยขาดการไตร่ตรองที่ดี รู้เท่าไม่ถึงการณ์ และการกระทำไม่ได้เกิดขึ้นเพราะมีจิตใจชั่วร้าย อีกทั้งจำเลยทั้งสองไม่มีเคยประวัติเสียหายในทางใด ๆ ไม่มีประวัติอาชญากรและไม่เคยได้รับโทษอาญาถึงจำคุกมาก่อน ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด และการลงโทษจำคุกไม่เป็นผลดีต่อจำเลยทั้งสอง ซึ่งจำเลยทั้งสองยังอยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียน จึงขอศาลยกฟ้องหรือลงโทษจำเลยทั้งสองในสถานเบา

ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 608 ถิรนัยและชัยพรถูกเบิกตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพเพื่อมาฟังคำพิพากษาในวันนี้ อีกทั้งยังมีประชาชนและนักกิจกรรมมาร่วมฟังการอ่านคำพิพากษา โดยมีบางคนสวมเสื้อนิรโทษกรรมประชาชนมาด้วย 

ต่อมาในเวลา 10.02 น. ศาลเริ่มอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ โดยสามารถสรุปเป็นใจความสำคัญได้ว่า ที่โจทก์ฟ้อง จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ และศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษา ตาม ป.วิอาญาฯ มาตรา 176 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยอุทธรณ์มานั้นขัดกับที่จำเลยให้การรับสารภาพว่ากระทำผิดตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยในประเด็นนี้

ส่วนในประเด็นที่จำเลยขอให้ลงโทษสถานเบา เห็นว่าการที่จำเลยพกพาระเบิดไปในที่สาธารณะเป็นการกระทำที่อุกอาจ เห็นว่าพฤติการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องร้ายแรง อย่างไรก็ดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 6 ปีนั้น เห็นว่าหนักเกินไป ศาลอุทธรณ์เห็นควรแก้ไขให้เหมาะสม

พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้น เป็นลงโทษในฐานมีวัตถุระเบิดซึ่งนายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 98 วรรคหนึ่ง จำคุกจำเลยคนละ 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ จึงมีเหตุลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน

.

หลังฟังคำพิพากษาเสร็จแล้ว ถิรนัยยกมือขออนุญาตศาลโทรไปหาครอบครัวเพื่อบอกคำพิพากษาของศาลในวันนี้ ศาลอนุญาต โดยให้เพื่อนเป็นคนโทรและให้ถิรนัยพูดคุยได้ แต่อย่างไรก็ตามญาติของถิรนัยไม่ได้รับสาย ถิรนัยจึงยังไม่ได้พูดคุยกับญาติของเขา และได้ฝากให้เพื่อนเขาเป็นคนบอกข่าวแทน หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ถูกควบคุมตัวลงไปยังใต้ถุนศาลเพื่อรอกลับไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพต่อ

ตั้งแต่วันฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้น (15 ก.พ. 2566) จนถึงวันนี้ (16 ก.ค. 2567) ถิรนัยและชัยพรถูกขังมาแล้วเป็นระยะเวลา 518 วัน หรือ 1 ปี 5 เดือน 1 วัน ทำให้ทั้งสองคนต้องรับโทษจำคุกอีกประมาณหนึ่งเดือน จึงจะได้รับการปล่อยตัว ตามการกำหนดโทษของศาลอุทธรณ์

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

อย่าลืม “ธี” ถิรนัย: จากการ์ดม็อบอาชีวะ ถูกขังจนมีฝันใหม่ต้องเปลี่ยนประเทศให้ได้!

อย่าลืม “มาย” ชัยพร: รัฐรุนแรงในวันนั้น มีฉัน ‘การ์ดม็อบ-นักโทษการเมือง’ ในวันนี้

X