พิพากษาปรับ 2,000 บาท วิ่งไล่ลุงกาฬสินธุ์ หลัง ‘โตโต้’ รับสารภาพ ชี้ก่อนนี้ปฏิเสธเพราะหลังกิจกรรม ตร.บอกไม่ผิด พ.ร.บ.ชุมนุมฯ 

29 พฤศจิกายน 2564 “โตโต้” ปิยรัฐ จงเทพ แกนนำมวลชนอาสา We Volunteer หรือวีโว่ เดินทางไปศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ในนัดฟังคำพิพากษา คดีไม่แจ้งการชุมนุม ตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 มาตรา 10  จากกิจกรรม “วิ่งไล่ลุง” ในจังหวัดกาฬสินธุ์เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2563 

ย้อนไปนัดสืบพยานเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา โตโต้ตัดสินใจให้การรับสารภาพ เนื่องจากอยากให้คดีนี้จบโดยไว ไม่เป็นภาระต่อตัวเขา ทนายความ และผู้เกี่ยวข้องในการมาศาลอีกหลายนัด โดยได้ยื่นคำร้องประกอบคำรับสารภาพ ใจความว่า เดิมจำเลยให้การปฏิเสธ เนื่องจากข้อเท็จจริงที่ว่า ในวันเกิดเหตุ  ภายหลังกิจกรรมสิ้นสุดลง จำเลยได้เข้าติดต่อสอบถามพนักงานสอบสวน สภ.เมืองกาฬสินธุ์ เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมดังกล่าวตามฟ้องว่าเป็นความผิดอย่างใดหรือไม่ ซึ่งพนักงานสอบสวนแจ้งว่ามีความผิดฐานใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่รับอนุญาตเท่านั้น 

จำเลยสอบถามว่ามีความผิดอื่นอีกหรือไม่ ตำรวจแจ้งว่าไม่มี จำเลยจึงได้เสียค่าปรับในวันนั้น แต่ภายหลัง สภ.เมืองกาฬสินธุ์ ได้ออกหมายเรียกให้จำเลยไปรับทราบข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ต่อมาวันที่ 24 มิถุนายน 2563 จำเลยได้เข้ามอบตัวที่ สน.ชนะสงคราม แต่กลับถูกควบคุมตัวส่งให้ สภ.เมืองกาฬสินธุ์ และจำเลยได้ให้การปฏิเสธตลอดมาเพราะเชื่อว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ตามที่พนักงานสอบสวนได้แจ้งในวันที่เสียค่าปรับ

อย่างไรก็ตาม หลังโตโต้ให้การรับสารภาพ ผู้พิพากษาแจ้งว่ายังไม่สามารถอ่านคำพิพากษาในนัดนั้นได้เลย เนื่องจากต้องส่งคำพิพากษาไปให้อธิบดีผู้พิพากษาภาค 4 ตรวจก่อน จึงนัดมาฟังคำพิพากษาอีกครั้ง

เวลา 9.40 น. ในห้องพิจารณาคดีที่ 2 อรุณ ดีวังพล ผู้พิพากษาอ่านคำพิพากษา ระบุว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง ให้ลงโทษปรับ 2,000 บาท จำเลยให้การสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่งเหลือปรับ 1,000 บาท ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำคุกในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1308/2562 (คดีแกนนำคนอยากเลือกตั้ง UN62) เนื่องจากคดีนี้มีโทษปรับสถานเดียว จึงไม่อาจนับโทษจำคุกต่อได้

หลังชำระค่าปรับเสร็จสิ้น โตโต้ ปิยรัฐ กล่าวถึงการตัดสินใจให้การรับสารภาพครั้งนี้ว่า หลังเสร็จสิ้นการชุมนุมวันดังกล่าว เขาได้เข้าพบตำรวจ สภ.เมืองกาฬสินธุ์ เพื่อจ่ายค่าปรับ ฐานใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้ขออนุญาต และใช้เส้นทางผิวการจราจรโดยไม่ได้รับอนุญาต ตำรวจได้เปรียบเทียบปรับตามความผิดทั้ง 2 ข้อหา ไปแล้ว แต่ไม่มีการแจ้งข้อหาตาม พ.ร.บ.ชุมนุมฯ และตัวเขาเองคิดว่าพนักงานสอบสวนน่าจะมีอำนาจในการใช้ดุลพินิจในการไม่แจ้งข้อหา พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ตามที่บอกไว้ครั้งแรก 

ภาพโตโต้เข้าพบตำรวจเพื่อเสียค่าปรับหลังจัดกิจกรรม

แต่กลับมาดำเนินคดีในภายหลังจึงยืนยันความบริสุทธิ์โดยการปฏิเสธมาตลอด กระทั่งตัดสินใจให้การรับสารภาพในชั้นสืบพยาน โตโต้ยังกล่าวอีกว่า เขายอมรับการถูกตัดสินว่าเป็นผู้จัดชุมนุมโดยไม่แจ้งการชุมนุมได้ เพราะตั้งแต่ปี 2563-2564 สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่ามีคนหลายกลุ่มทั่วประเทศ ต่างออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ลาออก ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องของกิจกรรมวิ่งไล่ลุงในช่วงเวลานั้น และถึงตอนนี้ประชาชนไทยมีข้อเสนอปฏิรูปทั้งโครงสร้างการเมืองและสถาบันกษัตริย์ไปไกลกว่านั้นแล้ว   

นอกจากนี้เหตุที่อยากให้คดีนี้จบโดยไว เนื่องจากมีเพียงโทษปรับ เพราะตัวเขายังมีคดีจากการแสดงออกทางการเมืองอีกหลายคดี ทั้งที่กรุงเทพฯ และอุบลราชธานี ซึ่งต้องขึ้นศาลในช่วงปลายปีนี้ยาวจนถึงสิ้นปี 2565 จึงไม่อยากให้เป็นภาระในการเดินทางไปศาลของทนายความและผู้เกี่ยวข้องในคดีอีกด้วย 

สำหรับคำฟ้องในคดีนี้อัยการจังหวัดกาฬสินธุ์ ระบุว่า เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2563 ปิยรัฐเป็นผู้จัดให้มีการชุมนุมสาธารณะในกิจกรรม “วิ่งไล่ลุง” ในอำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยเชิญชวนหรือนัดให้ผู้อื่นมาร่วมกิจกรรมดังกล่าว, พูดเชิญชวนให้ผู้มาร่วมชุมนุมลงทะเบียน, อำนวยความสะดวกให้ผู้มาชุมนุม และพูดผ่านเครื่องขยายเสียงโจมตีและวิจารณ์การทำงานของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยผู้ร่วมชุมนุมมีการแสดงสัญลักษณ์ชูนิ้วมือ 3 นิ้ว ต่อต้านการทำรัฐประหาร ทั้งยังมีป้ายข้อความว่า “มาไล่ลุง ให้ไป ออกไป” อันเป็นการแสดงออกต่อประชาชนทั่วไป ซึ่งมิใช่กรณีการชุมนุมสาธารณะที่ได้รับการยกเว้นตามกฎหมาย โดยจำเลยไม่ได้แจ้งโดยวิธีการใดๆ ต่อผู้รับแจ้งก่อนเริ่มการชุมนุมไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง

ดูข้อมูลคดีทั้งหมด>> คดีไม่แจ้งการชุมนุม วิ่งไล่ลุงกาฬสินธุ์

จากการติดตามของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน คดีนี้นับเป็นคดี “วิ่งไล่ลุง” คดีที่ 5 ซึ่งมีการต่อสู้คดีในชั้นศาล และศาลมีคำพิพากษา ต่างกันที่ในคดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพก่อนการสืยพยาน  

ก่อนหน้านี้ได้มีคำพิพากษาในคดีวิ่งไล่ลุงนนทบุรี ศาลแขวงนนทบุรีลงโทษปรับ 3,000 บาท คดีวิ่งไล่ลุงนครพนม ซึ่งศาลจังหวัดนครพนมมีคำพิพากษายกฟ้องคดี เนื่องจากเห็นว่าจำเลยมีพฤติการณ์เพียงแค่โพสต์เชิญชวน ไม่มีพฤติการณ์เป็นผู้จัดในระหว่างทำกิจกรรม จึงเห็นว่าไม่มีหน้าที่ต้องแจ้งการชุมนุมสาธารณะ คดีวิ่งไล่ลุงพังงา พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง แต่เนื่องจากจำเลยไม่เคยต้องโทษทางคดีอาญามาก่อน และไม่ปรากฏว่าการทำกิจกรรมในวันเกิดเหตุมีความรุนแรงเกิดขึ้น จึงให้รอการกำหนดโทษจำเลยไว้ 4 เดือน  คดีวิ่งไล่ลุงบุรีรัมย์ ซึ่งศาลยกฟ้อง ระบุว่าแม้จำเลยไลฟ์ชวนผู้อื่น แต่ไม่ปรากฏพฤติการณ์เป็นผู้จัดชุมนุม

ขณะที่ยังมีคดีวิ่งไล่ลุงอีก 3 คดี ที่อยู่ระหว่างการต่อสู้คดี ได้แก่ คดีวิ่งไล่ลุงกรุงเทพฯ, คดีวิ่งไล่ลุงนครสวรรค์ และคดีวิ่งไล่ลุงเชียงราย 

>> ลุงก็ต้องไล่ โรงพัก-ศาลก็ยังต้องไป: เปิดตารางความเคลื่อนไหวคดีจากกิจกรรม “วิ่งไล่ลุง”

ช่วงบ่ายวันเดียวกัน ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ยังนัดตรวจพยานหลักฐาน คดีที่ปิยรัฐถูกกล่าวหาว่า “หมิ่นประมาทกษัตริย์” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และนำเข้าข้อมูลอันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 จากกรณีปรากฏป้ายไวนิลวิจารณ์การจัดหาวัคซีนโควิดที่ริมถนนในจังหวัดกาฬสินธุ์ และมีการนำภาพไปโพสต์ในเฟซบุ๊ก-ทวิตเตอร์ เหตุเกิดเมื่อเดือนมกราคม 2564  

พนักงานอัยการจังหวัดกาฬสินธุ์แถลงจะสืบพยานบุคคลรวม 21 ปาก ใช้เวลา 5 นัด ส่วนทนายจำเลย นรเศรษฐ์ นาหนองตูม แถลงจะสืบพยานจำเลย 8 ปาก ใช้เวลา 2 นัด เนื่องจากทั้งตัวทนายและปิยรัฐมีนัดพิจารณาคดีในชั้นสืบพยานคดีแสดงออกทางการเมืองเกือบตลอดทั้งปี 2565 จึงได้วันนัดสืบพยานที่ไม่ต่อเนื่อง คือสืบพยานโจทก์ในวันที่ 12 กรกฎาคม, 19, 26 สิงหาคม, 25-26 ตุลาคม 2565 และสืบพยานจำเลยในวันที่ 27 ตุลาคม และ 13 ธันวาคม 2565

ดูข้อมูลคดี>> “โตโต้” ปิยรัฐ คดี 112 กรณีป้ายวัคซีนหาซีนให้วังที่กาฬสินธุ์

ทั้งนี้ โตโต้ยังถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 อีก 2 คดี ได้แก่ คดีจากการปราศรัยในการชุมนุม #เด็กพูดผู้ใหญ่ฟัง ที่ศาลหลักเมืองอุบลราชธานี  และอีกคดีจากเหตุโพสต์เฟซบุ๊กพาดพิงการใช้ภาษีของกษัตริย์  

.

X