วันที่ 28 พ.ค. 2568 เวลา 09.00 น. ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาคดีของ “อานนท์ นำภา” ทนายความสิทธิมนุษยชนวัย 40 ปี ในข้อหาหลัก ‘หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ’ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากเหตุขึ้นปราศรัยหน้า สน.บางเขน เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2563 ขณะเข้ารับทราบข้อกล่าวหาคดี 112 กรณีการปราศรัยใน #ม็อบ29พฤศจิกา ที่หน้ากรมทหารราบที่ 11
คดีนี้ เกิดจาก เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2563 นักกิจกรรมได้จัดขบวนแห่ขันหมากไปให้กำลังใจ 8 ผู้ต้องหา ที่เข้ารับทราบข้อหาในคดี #ม็อบ29พฤศจิกาไปราบ11 ที่หน้า สน.บางเขน ต่อมามีผู้ถูกดำเนินคดีจากกิจกรรมนี้จำนวน 7 คน โดยแยกเป็นคดีข้อหาหลักตามมาตรา 112 จำนวน 3 คน ได้แก่ อานนท์ นำภา, “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์ และ “ไบรท์” ชินวัตร จันทร์กระจ่าง ส่วนที่เหลือถูกกล่าวหาเฉพาะข้อหาหลักตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ
ต่อมาเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2564 พนักงานอัยการสั่งฟ้องคดีของอานนท์, พริษฐ์ และชินวัตรต่อศาลอาญา โดยหลังจากศาลนัดตรวจพยานหลักฐานแล้ว ได้นัดสืบพยานในวันที่ 5 – 8 มี.ค. 2567
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 2567 ซึ่งเป็นนัดสืบพยานโจทก์วันแรก ชินวัตรตัดสินใจถอนคำให้การเดิมจากปฏิเสธเป็นรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ศาลจึงนัดฟังคำพิพากษาในส่วนของชินวัตร พร้อมให้พนักงานอัยการโจทก์แยกฟ้องคดีของอานนท์และพริษฐ์เข้ามาใหม่
เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2567 ศาลอาญาพิพากษาว่า ชินวัตรกระทำความผิดตามฟ้องในข้อหาตามมาตรา 112 ลงโทษจำคุก 3 ปี และข้อหาใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต ลงโทษปรับ 200 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ ลดเหลือโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน ปรับ 100 บาท และให้นับโทษจำคุกต่อจากโทษในคดีที่พิพากษาไปก่อนหน้านี้
ในวันที่ 20 มี.ค. 2567 ธนานนท์ รัตนาเดชาชัย พนักงานอัยการ ได้ฟ้องคดีในส่วนของอานนท์และพริษฐ์เข้ามาใหม่ ใน 2 ข้อหา ได้แก่ ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้า โดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ
ต่อมาในนัดสอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐานเมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2567 พริษฐ์ไม่ได้เดินทางมาศาล ศาลจึงได้ออกหมายจับและจำหน่ายคดีในส่วนของพริษฐ์ออกจากสารบบความชั่วคราว
.
ภาพรวมการสืบพยาน: อานนท์ต่อสู้ในข้อหา ม.112 ยืนยันใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเพื่อชี้ให้เห็นข้อบกพร่อง โดยมีเจตนาดีให้สถาบันกษัตริย์ปรับตัว-ดำรงอยู่ได้ ไม่ได้มุ่งหมายตัวบุคคล
คดีนี้มีการสืบพยานโจทก์และจำเลยไประหว่างวันที่ 17-18, 30 เม.ย. 2568 ที่ห้องพิจารณาคดี 806 โดยโจทก์นำพยานเข้าเบิกความทั้งหมด 2 ปาก ได้แก่ พ.ต.ท.อนันต์ วรสาสตร์ เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวน สน.บางเขน ผู้กล่าวหา และ พ.ต.อ.สราวุธ บุตรดี พนักงานสอบสวน สน.บางเขน
ส่วนจำเลยนำพยานเข้าเบิกความ 2 ปาก ได้แก่ อานนท์ นำภา จำเลยที่ 1 อ้างตนเป็นพยาน และ รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ก่อนเริ่มสืบพยาน ศาลเห็นว่ามีพยานโจทก์บางปากที่ไม่จำเป็นต้องนำเข้าสืบพยาน ศาลจึงให้งดสืบพยานทั้งสิ้น 4 ปาก ได้แก่ ร.ต.อ.สุเนตร ไทยวงษ์ เจ้าพนักงานตำรวจที่ดูแลเกี่ยวกับการขออนุญาตชุมนุม ศาลเห็นว่าโจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยในข้อหานี้, คมสันต์ โพธิ์คง นักวิชาการด้านกฎหมายมหาชน ศาลสามารถวินิจฉัยข้อกฎหมายเองได้, ปรัชญา ใจภักดี นักวิชาการภาษาไทย ศาลเห็นว่าข้อความปราศรัยเป็นภาษาไทย ศาลอ่านเข้าใจได้ ไม่ได้มีข้อความที่ลึกซึ้ง และ พณัฐภัณ สุขสิริพันธ์
ซึ่งเป็นทนายความที่มาให้ความเห็นเกี่ยวกับเนื้อหาที่ชุมนุมปราศรัยนั้น ศาลสามารถวินิจฉัยเองได้
ในขณะที่ด้านอานนท์แถลงรับข้อเท็จจริงว่ามีการปราศรัยข้อความตามฟ้องจริง โดยกล่าวปราศรัยบนเวทีตอนหนึ่งว่า
“…ทําไมเราต้องมาเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์เพราะว่าเรายังเห็น ณ วันนี้ว่าบ้านเมืองเรามันเป็นประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์เป็นประมุขยังทําได้ เราจึงเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์พระมหากษัตริย์ก็คือรัชกาลที่ 10 นี่แหละ เรากําลังชี้ข้อบกพร่องของท่านเพื่อให้ท่านปรับปรุงตัว ไม่ได้มีเหตุผลประการอื่นเลย อย่าให้คนต่างประเทศหรือคนไทยด้วยกันมาชี้หน้าด่าท่านได้ เป็นกษัตริย์เพียงเพราะพ่อท่านเป็นกษัตริย์มาก่อน อย่าให้เขามาชี้หน้าด่าท่าน เพราะว่าท่านผมก็เจ็บเหมือนกันเพราะผมเป็นคนไทย “นอกจากหลักธรรมของกษัตริย์แล้ว การละเมิดต่อกฎหมายที่เราคิดว่าท่านทําผิดท่านต้องปรับปรุงตัว การเอากองกําลังทหารเป็นของตัวเองอันนี้คือเรื่องผิด และการเอาทรัพย์สินซึ่งเป็นสาธารณะไปเป็นของตนอันนี้ก็ขัดหลักการเต็ม ๆ พูดแล้วรับผิดชอบตัวเองใครจะแจ้งจับไปแจ้งเลย เพราะท่านโอนหุ้นซึ่งเป็นของหลวงไปเป็นของตัวเอง วันนี้ท่านอาจจะยังไม่โอนวัง โอนวัดพระแก้ว โอนสิ่งต่างๆ ไปให้คนอื่น แต่กฎหมายที่เปิดช่องอย่างนี้ นี่คือประเด็นที่เราบอกว่า พระราชบัญญัติจัดการทรัพย์สินมันมีปัญหา เพราะท่านโอนไปให้คนอื่นหมดกษัตริย์องค์ต่อไปจะเอาวังที่ไหนอยู่ จะมีราชบัลลังก์อยู่ได้ยังไง จะมีส่วนเกี่ยวกับประชาชนได้ยังไง ไม่มี เขาไม่เรียกกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย เขาจะเรียกกษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือกษัตริย์ในระบอบเผด็จการนั่นเอง…” |
ในข้อหาตาม พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ อานนท์ขอถอนคำให้การเดิมจากปฏิเสธเป็นรับสารภาพว่า ไม่ได้ขออนุญาตใช้เครื่องขยายเสียงจริง แต่อานนท์อธิบายเพิ่มเติมว่าเนื่องจากตนไม่ใช่ที่มีหน้าที่ต้องขออนุญาต โจทก์จึงไม่ติดใจสืบพยานปาก พ.ต.ท.หญิง สุธาสินี ศิริคำ ซึ่งจะมาเบิกความในประเด็นนี้อีก
ส่วนข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อานนท์ยืนยันปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาและมีข้อต่อสู้ว่า การปราศรัยเป็นการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเพื่อชี้ให้เห็นข้อบกพร่องของสถาบันกษัตริย์ฯ 3 ประการ ได้แก่ พระมหากษัตริย์ไม่อยู่ในหลัก ‘The King Can Do No Wrong’, การดำรงพระองค์ที่ไม่เหมาะสม และการขยายพระราชอำนาจซึ่งไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย
อานนท์ยืนยันว่า การปราศรัยเป็นไปโดยเจตนาดีต่อสถาบันกษัตริย์ฯ เพื่อให้ปรับตัวให้ดำรงอยู่ได้ในยุคปัจจุบันที่มีความท้าทายหลายประการเกี่ยวกับความเคารพของประชาชน โดยไม่ได้มุ่งหมายถึงตัวบุคคล
นอกจากนี้ ในวันเกิดเหตุ อานนท์เดินทางไป สน.บางเขน ในฐานะทนายความ ไม่ใช่ผู้จัดการชุมนุม เพียงแค่ถูกเชิญขึ้นปราศรัย และไม่มีการเตรียมตัวหรือนัดกันมาก่อนกับพริษฐ์และชินวัตรว่าจะปราศรัยเรื่องอะไร เป็นการที่ต่างคนต่างพูด
การสืบพยานในคดีนี้เป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยมีครอบครัวของอานนท์, นักกิจกรรม, ประชาชน, เจ้าหน้าที่องค์กรสิทธิมนุษยชน และนักวิชาการ แวะเวียนเดินทางมาสังเกตการณ์คดีและให้กำลังใจอานนท์ตลอดระยะเวลาการสืบพยาน
ทั้งนี้ ในการสืบพยานวันที่ 18, 30 เม.ย. 2568 ศาลได้ระบุในรายงานกระบวนพิจารณาด้วยว่า “ห้ามมิให้บุคคลใดนำเหตุการณ์ในห้องพิจารณาคดีและในศาลอาญาถ่ายทอดเผยแพร่สู่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต มิฉะนั้น ศาลจะดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาลต่อไป”
นอกจากคดีนี้ ยังมีคดีอื่นอย่างน้อย 3 คดีที่อยู่ในการพิจารณาคดีของศาลอาญา โดยเฉพาะในคดีมาตรา 112 และคดีจากการแสดงออกทางการเมืองที่ประชาชนให้ความสนใจ ที่ศาลมีคำสั่งในลักษณะดังกล่าว โดยมีเนื้อหาเหมือนกันทุกตัวอักษรและออกโดยองค์คณะต่างกัน
.
ผู้กล่าวหาระบุอานนท์ปราศรัยเกี่ยวกับปฏิรูปสถาบันฯ และวิจารณ์ ร.10 โดยไม่เหมาะสม จาบจ้วงสถาบันฯ – รับว่าเมื่อเปลี่ยนรัชกาล มีการแก้ไขกฎหมาย และมีการตั้งคำถามกับสถาบันฯ มากขึ้น
พ.ต.อ.อนันต์ วรสาสตร์ เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวน สน.บางเขน ผู้กล่าวหา เบิกความว่า พยานมีหน้าที่ทำสืบสวนหาข่าว จับกุมคนร้าย และปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา โดยเมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2563 มีการชุมนุมบริเวณกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ คณะทำงานของพนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกแกนนำในขณะนั้น โดยพยานจำได้คร่าว ๆ ว่ามี อานนท์ นำภา ให้มาเข้าพบในวันที่ 21 ธ.ค. 2563 ที่ สน.บางเขน
พยานเบิกความว่า ในวันเกิดเหตุมี อานนท์, พริษฐ์, ชินวัตร และคนอื่น ๆ อีกรวม 8 คน มาเพื่อเข้ารับทราบข้อกล่าวหา โดยมีการนัดหมายในเวลา 10.00 น.
ปรากฏว่า ในเวลา 09.00 น. เศษ ผู้ต้องหาทั้งแปดและมวลชนประมาณ 200 – 300 คน ทยอยกันมาบริเวณหน้า สน.บางเขน และมีการปราศรัยหน้าสถานี โดยใช้รถซาเล้งสามล้อบรรทุกเครื่องปั่นไฟต่อขยายกับเครื่องขยายเสียง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำแผงเหล็กมากั้นเพื่อไม่ให้มวลชนเข้ามายังสถานีตำรวจ เกิดความไม่สะดวกแก่ประชาชนที่มาร้องเรียน
การปราศรัยโดยใช้เครื่องขยายเสียงมีเสียงดังชัดเจนพอสมควร คนร่วม 300 คนได้ยิน เนื้อหาการปราศรัยเป็นการพูดพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ การปฏิรูปสถาบันฯ และเหตุการณ์เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2563
การปราศรัยดำเนินไปตั้งแต่เวลาประมาณ 09.30-11.00 น. โดยมีอานนท์, พริษฐ์ และชินวัตร ผลัดกันขึ้นปราศรัย ต่อมาผู้กำกับการ สน.บางเขน จึงออกมาแจ้งให้ยุติการชุมนุม และให้เข้าไปรับทราบข้อกล่าวหา เวลาประมาณ 12.00 น. เศษ จึงมีการเข้ารับทราบข้อกล่าวหาและสอบปากคำ
ต่อมาในเวลาประมาณ 13.00 น. เมื่อออกมาจาก สน.บางเขน มีการปราศรัยอีกครั้ง และการชุมนุมยุติลงในเวลาประมาณ 15.00 น.
ขณะเกิดเหตุ พยานได้ทำการบันทึกภาพเคลื่อนไหวและภาพถ่ายไว้ ทั้งได้ค้นหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปราศรัยที่มีการกล่าวพาดพิงถึงสถาบันฯ ก่อนส่งต่อให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนคนอื่น ๆ ถอดเทปคำปราศรัย
พยานเบิกความต่อไปว่า เท่าที่พยานจำได้ จำเลยที่ 1 ปราศรัยในประเด็นเกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบันฯ โดยใช้คำพูดไม่เหมาะสม พาดพิงถึงการแต่งตัวของพระมหากษัตริย์ การโอนทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ การโอนกองกำลังทหาร การจัดตั้งกองทัพ โดยพริษฐ์และชินวัตรก็พูดปราศรัยพาดพิงถึงสถาบันฯ ในทำนองเดียวกันกับจำเลยที่ 1
จากที่พยานฟังและอ่านบันทึกการถอดเทป พยานเห็นว่า คำปราศรัยเกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบันฯ และการวิพากษ์วิจารณ์รัชกาลที่ 10 เป็นการแสดงความคิดเห็นที่ไม่เหมาะสม โดยมีคำพูดจาบจ้วงสถาบันฯ ใช้คำพูดไม่เหมาะสม มีลักษณะเป็นการดูหมิ่น อาฆาตมาดร้าย และใส่ร้ายใส่ความพระมหากษัตริย์
พยานเบิกความว่า นอกจากนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันเกิดเหตุยังเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ชุมนุมฯ, พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ และ พ.ร.บ.จราจรฯ เพราะทำให้ประชาชนที่จะมาแจ้งความเกิดความไม่สะดวก และเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ เพราะขณะนั้นเป็นช่วงการระบาดของโรคโควิด – 19
พยานเห็นว่า การกระทำของอานนท์, พริษฐ์ และชินวัตรเป็นความผิดจึงเข้าแจ้งความดำเนินคดี
ช่วงจำเลยที่ 1 (อานนท์) ถามค้าน
พยานเบิกความตอบว่า ข้อความที่ปราศรัยจะเป็นความจริงหรือไม่นั้น พยานไม่ทราบว่าข้อความใดจริงหรือเท็จ และพยานไม่ได้สืบสวนหาข้อเท็จจริงว่าข้อความที่กล่าวปราศรัยเป็นความจริงหรือไม่
จำเลยที่ 1 จึงถามต่อไปว่า หากสิ่งที่พูดปราศรัยเป็นความจริงจะถือว่าเป็นความผิดหรือไม่ พยานตอบว่า พยานเป็นเจ้าพนักงานต้องปฏิบัติตามกฎหมาย กฎหมายบังคับอย่างไรก็ปฏิบัติตามนั้น
จำเลยที่ 1 จึงพยายามถามต่อว่า มาตรา 112 แม้ว่าจะพูดความจริงก็ต้องแจ้งความดำเนินคดีถูกต้องหรือไม่ พยานตอบว่า ต้องกล่าวหาเพื่อดำเนินคดีที่เป็นความผิด
จำเลยที่ 1 จึงถามต่อไปว่า มาตรา 112 แปลกประหลาดหรือไม่ ที่แม้พูดความจริงก็ต้องมาแจ้งความดำเนินคดี พยานตอบว่า เป็นเรื่องตามกฎหมาย พยานเป็นเจ้าพนักงานก็ทำไปตามกฎหมาย แล้วแต่ความคิดของคนว่ามาตรา 112 แปลกประหลาดหรือไม่
พยานเบิกความรับว่า เมื่อมีการเปลี่ยนรัชกาลจากรัชกาลที่ 9 มาเป็นรัชกาลที่ 10 มีหลายอย่างเปลี่ยนแปลง มีการแก้ไขกฎหมาย และมีการตั้งคำถามกับสถาบันฯ มากขึ้น เช่น คนยืนในโรงภาพยนต์น้อยลง อย่างไรก็ตาม เรื่องการยืนในโรงภาพยนตร์นั้น พยานเบิกความเพิ่มเติมว่า ในฐานะเจ้าพนักงานตำรวจต้องปฏิบัติตามข้อกฎหมาย ขอไม่ให้ความเห็นในเรื่องนี้ แต่พยานจงรักภักดี และสอนลูกให้ยืนในโรงภาพยนตร์ ส่วนผู้อื่นจะคิดอย่างไร พยานไม่ทราบ
คำปราศรัยของจำเลยที่ 1 ว่า “ถ้าผมไม่พูดถึงสถาบันกษัตริย์แล้วท่านจะปรับตัวได้อย่างไร ในเมื่อมีแต่คนสรรเสริญเยินยอ วันนี้เรามาพูดแทนพี่น้องทั้งประเทศ” นั้น พยานขอไม่ให้ความเห็นตามข้อความดังกล่าว
ข้อความที่ปราศรัย เป็นคำพูดอาฆาตมาดร้าย จะเป็นความจริงหรือไม่นั้น พยานไม่ทราบ เพราะเป็นเจ้าพนักงาน ต้องดำเนินการตามกฎหมาย แต่พยานเห็นว่า ไม่เหมาะสม และถ้าให้ออกความเห็นก็มองว่าเป็นการอาฆาตมาดร้าย
จำเลยที่ 1 ถามว่า ตามข้อความปราศรัยว่า “เรากำลังชี้ข้อบกพร่องของท่านเพื่อให้ท่านปรับปรุงตัว” นั้น การชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่องทำได้หรือไม่ ในระบอบประชาธิปไตย พยานตอบว่า ตนเป็นเจ้าพนักงาน ดำเนินการตามกฎหมาย และขอไม่ให้ความเห็น
จำเลยที่ 1 นำรูปภาพผู้แต่งกายครอปท็อปให้พยานดู และถามว่า การที่พริษฐ์หรือจัสตินชี้ให้เห็นข้อบกพร่องเรื่องการแต่งตัวที่ไม่เหมาะสมเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วหรือไม่ พยานขอไม่ให้ความเห็นและไม่ยืนยันว่ารูปดังกล่าวเป็นความจริงหรือไม่
พยานขอไม่ให้ความเห็นเกี่ยวกับการที่มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชมอบปริญญาเอกให้กับรัชกาลที่ 10 ว่าเป็นแบบอย่างของครอบครัวที่ดีหรือไม่
พยานรับว่า มีการแก้ไขกฎหมายให้โอนกำลังทหาร กรมทหารราบที่ 1 และกรมทหารราบที่ 11 ไปเป็นส่วนราชการในพระองค์ ตาม พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลฯ แต่พยานไม่ทราบว่า ในส่วนที่ อานนท์, พริษฐ์ และชินวัตร ปราศรัยว่า “ไม่มีประเทศใดในโลก ไม่ว่าจะอังกฤษ ญี่ปุ่น หรือนอร์เวย์ ที่โอนกำลังทหารให้ขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์ และไม่เคยปรากฏในประเทศไทยด้วยเช่นกัน” นั้น เป็นความจริงหรือไม่
จำเลยที่ 1 ถามว่า ในการสลายการชุมนุม เช่น การสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง เวลาคนด่าก็จะต้องด่าที่คนสั่งใช่หรือไม่ พยานตอบว่า ด่าคนที่รู้จักกัน เช่น ผู้บังคับบัญชา
จำเลยที่ 1 ถามต่อไปว่า การที่มีการโอนกองกำลังทหารไปส่วนราชการในพระองค์ ในหลวงก็ต้องรับผิดรับชอบโดยตรงใช่หรือไม่ พยานตอบว่า เป็นไปตามกฎหมาย
พยานทราบว่า มีการแบ่งแยกกองกำลังระหว่างทหารคอแดงและทหารคอเขียว ซึ่งการแบ่งแยกกองกำลังทหารคอแดงดังกล่าวคล้ายกับสมัยฮิตเลอร์ ตรงตามที่พริษฐ์ปราศรัย แต่พยานไม่กังวลว่าประเทศไทยจะเหมือนเยอรมนีในสมัยฮิตเลอร์ เพราะพยานประเทศไทยมีข้อกฎหมายกำหนดไว้
พยานทราบจากข่าวว่า มีการอุ้มหายบุคคลตามที่พริษฐ์ปราศรัย แต่ข่าวลือเกี่ยวกับผู้อุ้มหายจะเป็นความจริงหรือไม่ พยานไม่ทราบ โดยพยานเคยทราบข่าวเกี่ยวกับการอุ้มหายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์
พยานรับว่า มีการแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ฯ และการโอนทรัพย์สินราชบัลลังก์มาเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์นั้น เป็นไปตามกฎหมายดังกล่าว โดยหลังจากที่มีการแก้ไขกฎหมายก็มีการเปลี่ยนชื่อทรัพย์สินมาเป็นของรัชกาลที่ 10 เช่น หุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จํากัด (มหาชน) หรือทรัพย์สินบางประเภท เช่น ลานพระบรมรูปทรงม้าก็มีการล้อมรั้วกั้นขอบเขต และเขาดินต้องย้ายไป
จำเลยที่ 1 ถามว่า ทรัพย์สินส่วนพระองค์โอนได้ตามพระราชอัธยาศัยหรือไม่ ตาม พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ฯ มาตรา 6 พยานตอบว่า ทุกอย่างเป็นไปตามพระราชบัญญัติ
จำเลยที่ 1 ถามต่อไปว่า การตกทอดของทรัพย์สินของราชบัลลังก์ เป็นการตกทอดผ่านการสืบราชบัลลังก์ มายังกษัตริย์จากรุ่นสู่รุ่น เมื่อมาถึงรัชกาลที่ 10 ที่มีการโอนมาเป็นชื่อพระองค์ ทรัพย์สินดังกล่าวจะตกทอดตามกฎหมายมรดกหรือไม่ พยานตอบว่าตามพระราชบัญญัติดังกล่าว
จำเลยที่ 1 ยกตัวอย่างว่า บ้านพักผู้ว่าฯ ไม่เป็นของส่วนตัว เมื่อพ้นจากตำแหน่งก็มีผู้ว่าคนใหม่มารับต่อ ไม่ได้ตกเป็นของส่วนตัวของผู้ว่าคนใด พยานรับว่า ใช่ และตอบคำถามก่อนหน้านี้ว่า ตกทอดตามกฎหมายมรดก โดยเท่าที่พยานทราบ รัชกาลที่ 10 มีทายาทโดยธรรมหลายพระองค์
จำเลยที่ 1 ถามว่า คำปราศรัยที่แสดงความกังวลว่า เมื่อทรัพย์สินราชบัลลังก์ถูกกระจายไป รัชกาลที่ 11 จะไม่มีสมบัติไว้สืบราชบัลลังก์เป็นจริงหรือไม่ พยานตอบว่า ตามพระราชบัญญัติ ส่วนจะมีข้อกังวลว่ารัชกาลถัดไปจะไม่ได้วัง หรือหากเป็นเช่นนี้ต่อไปราชบัลลังก์จะสูญสลายไปหรือไม่นั้น พยานขอไม่ให้ความเห็น เป็นไปตามกฎหมาย
คำปราศรัยเรื่องทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นการติติงด้วยความเป็นห่วงในเรื่องที่เป็นประโยชน์สาธารณะหรือไม่นั้น พยานตอบว่า เป็นไปตามข้อกฎหมายและตามแต่ความเห็นแต่ละคน และพยานไม่ให้ความเห็นว่าการปราศรัยด้วยความเป็นห่วงสถาบันฯ เป็นการแสดงความเห็นที่ทำได้ตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ แต่ตอบว่าใครเห็นอย่างไรก็ต้องรับผิดชอบตามข้อกฎหมาย
จำเลยที่ 1 จึงถามพยานว่า การที่พยานไม่ยอมให้ความเห็น เพราะกลัวกระทบต่อหน้าที่การงานใช่หรือไม่ พยานตอบว่า ตอบอะไรได้พยานก็ตอบ อะไรที่ตอบไม่ได้ก็คือตอบไม่ได้
พยานทราบว่า เมื่อพระมหากษัตริย์ไปประทับต่างประเทศต้องมีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทน แต่พยานไม่ทราบข่าวว่า ภายหลังการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2559 รัชกาลที่ 10 ยังไม่ได้ลงพระปรมาภิไธยรับรอง และรับสั่งให้แก้ไขว่าพระมหากษัตริย์ไปต่างประเทศได้ โดยไม่ต้องตั้งผู้สำเร็จราชการแทน ทำให้กลายเป็นรัฐธรรมนูญ ปี 2560
พยานเบิกความว่า พยานเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย มากกว่าระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ส่วนหลักการในระบอบประชาธิปไตยที่ว่า ‘The King Can Do No Wrong’ หรือหลักการ ‘ปกเกล้า ไม่ปกครอง’ นั้น พยานเคยได้ยิน โดยหมายถึง พระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมืองและการบริหารราชการแผ่นดิน และทราบว่าต้องมีผู้ลงนามรับสนองพระราชโองการ
จำเลยที่ 1 ถามว่า เมื่อมีการแก้ไขกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการโอนกองกำลังทหาร หรือการโอนทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จะกระทบต่อหลักการปกเกล้าไม่ปกครองหรือไม่ พยานไม่ตอบ
จำเลยที่ 1 ถามว่า แล้วจะกระทบต่อหลักยุติธรรมการดำเนินคดีหรือไม่ เพราะไม่อาจฟ้องร้องกษัตริย์ได้ พยานไม่ตอบ
ช่วงพนักงานอัยการถามติง
พยานไม่ทราบว่า ภาพเหตุการณ์ที่มีผู้แต่งกายครอปท็อปที่จำเลยที่ 1 ให้ดูนั้น เกิดขึ้นจริงหรือไม่
.
พนักงานสอบสวนระบุคดีนี้ทำงานเป็นคณะทำงานฯ แต่ไม่ทราบว่าไม่มีเอกสารแต่งตั้งในสำนวน – ไม่ได้สอบสวนหาสาเหตุหรือข้อเท็จจริงในประเด็นที่จำเลยปราศรัย
พ.ต.อ.สราวุธ บุตรดี พนักงานสอบสวน สน.บางเขน เบิกความว่า ปัจจุบันพยานประจำการอยู่ที่กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ในขณะเกิดเหตุ พยานเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบในคดีนี้
พยานเบิกความว่า พ.ต.ท.อนันต์ วรสาสตร์ ได้ทำการร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลยและพวก จากการรวมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า และใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต จากเหตุในวันที่ 21 ธ.ค. 2563 ณ สถานีตำรวจนครบาลบางเขน หลังจากพยานได้รับการแจ้งแล้ว จึงทำการรวบรวมพยานหลักฐาน
พยานพิจารณาแล้วพบว่า คดีเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 112 จึงเสนอเรื่องต่อผู้บังคับบัญชา และคณะทำงานฯ พิจารณาแล้ว เห็นว่าคำปราศรัยของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 112 จึงคืนเรื่องมาที่ สน.บางเขน และได้แจ้งให้ พ.ต.ท.อนันต์ เข้ามาร้องทุกข์กล่าวโทษเพิ่มเติม โดย พ.ต.ท.อนันต์ ได้นำไฟล์บันทึกภาพและเสียงและเอกสารถอดข้อความปราศรัยของอานนท์, พริษฐ์ และชินวัตร ในวันเกิดเหตุมอบให้พยานด้วย
หลังจากแจ้งเรื่องกลับมา พ.ต.ท.อนันต์ วรสาสตร์ จึงได้แจ้งข้อหาประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เพิ่มเติมแก่ อานนท์, พริษฐ์ และชินวัตร
พยานจำนวน 6 คน นอกจากผู้กล่าวหา มีพยานที่ได้ทำการสอบสวน ได้แก่ ร.ต.อ.สุเนตร ไทยวงษ์ ตำรวจผู้ดูแลเว็บเพจ สน.บางเขน ยืนยันว่าไม่มีการขออนุญาตชุมนุมก่อน 24 ชั่วโมง, พ.ต.ท.หญิง สุธาสินี ศิริคำ ยืนยันว่าไม่มีการขออนุญาตใช้เครื่องขยายเสียง, พณัฐภัณ สุขสิริพันธ์ ทนายความผู้ให้ความเห็นทางกฎหมายเกี่ยวกับเนื้อหาที่ผู้ชุมนุมปราศัย, คมสันต์ โพธิ์คง นักวิชาการด้านกฎหมายมหาชน ให้ความเห็นเกี่ยวกับเนื้อหาที่ผู้ชุมนุมปราศรัย และปรัชญา ใจภักดี นักวิชาการด้านภาษาไทยให้ความเห็นเกี่ยวกับเนื้อหาที่ผู้ชุมนุมปราศัย
พยานเห็นว่าพยานหลักฐานมีพอสมควร จึงเห็นว่าการกระทำของจำเลยและพวกเข้าข่ายกระทำความผิด และออกหมายเรียกผู้ต้องหาทั้งสามมารับทราบข้อกล่าวหา แต่เนื่องจากตอนนั้น อานนท์และพริษฐ์อยู่ในเรือนจำ จึงเดินทางไปแจ้งข้อกล่าวหาที่เรือนจำ ส่วนชินวัตรเดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาด้วยตนเอง
ข้อหาทั้งหมดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งแก่จำเลย ได้แก่ มาตรา 112, ฐานชุมนุมในที่สาธารณะโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า ตาม พ.ร.บ.ชุมนุมฯ, ความผิดฐานใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต และความผิดตาม พ.ร.บ. โรคติดต่อฯ โดยจำเลยให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
พยานได้ทำการตรวจสอบประวัติของจำเลย พบว่ามีประวัติการกระทำความผิดคดีชุมนุมทางการเมืองหลายคดี
ช่วงจำเลยที่ 1 (อานนท์) ถามค้าน
พยานเบิกความตอบว่า พยานทราบมาก่อนว่าจำเลยที่ 1 เป็นทนายความด้านสิทธิมนุษยชน
พยานรับว่า คดี 112 คดีนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจมีการทำงานเป็นคณะทำงานสืบสวนสอบสวนฯ และมีเอกสารแต่งตั้งคณะทำงานฯ แต่พยานไม่ได้นำคำสั่งดังกล่าวมาในวันนี้
จำเลยที่ 1 ได้ขอดูสำนวนคดีจากศาล ปรากฏว่าไม่มีเอกสารแต่งตั้งดังกล่าวรวมอยู่ในสำนวน พยานเบิกความว่า มีการส่งคำสั่งแต่งตั้งดังกล่าวถึงพนักงานอัยการแล้ว แต่จะมีในสำนวนชั้นพิจารณาหรือไม่นั้น พยานไม่ทราบ จำเลยที่ 1 จึงถามต่อว่าจำได้หรือไม่ว่ามีใครเป็นคณะกรรมการแต่งตั้งบ้าง พยานบอกว่าจำได้เป็นบางคนเท่านั้น
พยานรับว่า ไม่ได้สอบสวนเหตุที่จำเลยปราศรัยเรื่องในหลวงรัชกาลที่ 10 ประทับอยู่ที่เยอรมนี, ไม่ได้สอบสวนเหตุที่จำเลยปราศรัยเรื่องการแต่งกายของในหลวงรัชกาลที่ 10, ไม่ได้สอบสวนว่าในต่างประเทศมีการดำเนินคดีกับผู้ที่แต่งกายล้อเลียนพระมหากษัตริย์หรือไม่, ไม่ได้สอบสวนเรื่อง สมบัติ ทองย้อย กรณีถูกดำเนินคดี 112 จากการโพสต์ #กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจ และไม่ได้สอบสวนเกี่ยวกับเรื่องหลักธรรมของกษัตริย์
พยานรับว่า กรณีสอบถามผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาไทย พยานไม่ได้ทำหนังสือสอบถามไปที่สำนักงานราชบัณฑิตยสภา
กรณีสอบถามผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย พยานไม่ได้ทำหนังสือสอบถามไปที่นักวิชาการด้านกฎหมายที่ขึ้นทะเบียนของศาลยุติธรรม และไม่ได้สอบถามเกี่ยวกับความเห็นทางกฎหมายไปที่สภาทนายความฯ
ในคำปราศรัยเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ พยานไม่ได้สอบถามความเห็นไปที่สำนักพระราชวัง
ในประเด็นคำปราศรัยเรื่องพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และประชาธิปไตย พยานไม่ได้สอบถามไปที่นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยของรัฐหรือผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมหาชน
พยานรับว่า จากคำปราศรัยของจำเลยที่ 1 พยานไม่ได้สอบสวนเกี่ยวกับหลักการ ‘The King Can Do No Wrong’ หรือหลัก ‘กษัตริย์มิอาจกระทำความผิด – ปกเกล้า ไม่ปกครอง’, ไม่ได้สอบสวนกรณีการโอนย้ายกองกำลังทหาร จากกองพันทหารราบที่ 1 และ 11 เข้าไปเป็นกองกำลังส่วนพระองค์, ไม่ได้สอบสวนในประเด็นปราศรัยเรื่อง พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ฯ และไม่ได้สอบสวนกรณีการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จํากัด (มหาชน)
จำเลยที่ 1 ถามว่าจากกรณีที่พริษฐ์ปราศรัยตั้งคำถามถึงกองกำลังทหารใดที่เป็นหน่วยปฏิบัติการในการสลายการชุมนุมในเหตุการณ์ 14 ต.ค. 2516, เหตุการณ์พฤษภาคม 2535 และ 2553 พยานได้ทำการสอบสวนเกี่ยวกับการใช้กำลังทหารสลายการชุมนุมหรือไม่ พยานตอบว่าไม่ได้สอบสวน
จำเลยที่ 1 ถามว่าจากกรณีที่พริษฐ์ได้ปราศรัยว่าด้วยการโยกย้ายกำลังพลดังกล่าวมีลักษณะคล้ายกับการกระทำของฮิตเลอร์และหน่วย SS พยานได้ทำการสอบสวนหรือไม่ พยานตอบว่าไม่ได้สอบสวน
จำเลยที่ 1 ถามว่าพยานได้สำรวจสถิติจำนวนคนที่โดนดำเนินคดีในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ในช่วงตั้งแต่การชุมนุมของคนรุ่นใหม่ปี 2563 เป็นต้นมาหรือไม่ พยานตอบว่าไม่ได้ทำการสำรวจ
จำเลยที่ 1 ถามว่าพยานได้สอบถามความเห็นขององค์การระหว่างประเทศว่ามีความเห็นต่อการดำเนินคดีมาตรา 112 ในไทยหรือไม่ พยานตอบว่าไม่ได้สอบถาม
พนักงานอัยการไม่ถามติง
.
อานนท์ระบุไม่ใช่ผู้จัดการชุมนุม ไปที่เกิดเหตุในฐานะทนายความ – เมื่อเห็นว่าพระมหากษัตริย์ไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย จึงปราศรัยด้วยเจตนาดีต่อสถาบันฯ ให้ปรับตัวและดำรงอยู่ได้ โดยไม่ได้มุ่งหมายตัวบุคคล
อานนท์ นำภา จำเลยที่ 1 อ้างตนเป็นพยาน เบิกความว่า พยานมีอาชีพเป็นทนายความ ปัจจุบันถูกคุมขังอยู่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ จบการศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยรามคำแหง และเนติบัณฑิตไทยรุ่น 62
พยานประกอบอาชีพเป็นทนายความตั้งแต่ปี 2551 โดยเป็นทนายด้านสิทธิมนุษยชน ก่อนถึงวันเกิดเหตุตามฟ้อง ประเทศไทยเกิดความขัดแย้งทางการเมืองมาตลอดตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งขณะนั้นพยานอยู่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ปี 3
ปี 2553 กลุ่มคนเสื้อแดงเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา เกิดความรุนแรงมากขึ้น และเกิดการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในขณะนั้น พยานทำคดีให้กับคนเสื้อแดงและคดีมาตรา 112
ต่อมาปี 2557 ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พยานจึงเป็นทนายให้กับกลุ่มนักศึกษาที่ออกมาต่อต้านการรัฐประหาร
ปี 2559 มีการเปลี่ยนรัชสมัยจากรัชกาลที่ 9 เป็นรัชกาลที่ 10 ประชาชนมีการตั้งคำถามเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ฯ เช่น การเสด็จไปประทับที่ประเทศเยอรมนี และบทบาทของสถาบันกษัตริย์ฯ หลายกรณี รวมทั้งเหตุการณ์การยุบพรรคอนาคตใหม่
พยานเบิกความต่อไปว่า ช่วงต้นของการชุมนุมจึงมีการเรียกร้องเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ฯ ประชาชนไม่เห็นด้วยกับการที่รัชกาลที่ 10 ไปประทับที่เยอรมนี และการขยายพระราชอำนาจในหลายกรณี
ต่อมาพยานเห็นว่าการพูดอ้อม ๆ ไม่ได้ทำให้เกิดผล จึงมีการชุมนุมใหญ่ที่ถนนราชดำเนิน โดยมีแกนนำเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ทั่วประเทศ มีข้อเรียกร้อง 3 ข้อ คือ ประยุทธ์ลาออก, แก้รัฐธรรมนูญปี 2560 และปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยใช้สัญลักษณ์ 3 นิ้ว
จนกระทั่งแกนนำนักศึกษาถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 จากการชุมนุม จึงมีการนัดหมายเข้าไปรับทราบข้อกล่าวหาที่ สน.บางเขน ในวันเกิดเหตุ พยานเดินทางไปในฐานะทนายความ และถูกเชิญไปปราศรัยในประเด็นสถาบันกษัตริย์ฯ ระหว่างรอการสอบสวน โดยพยานไม่ใช่ผู้จัดการชุมนุม
ขณะปราศรัย พยานใช้คำว่าชี้ข้อบกพร่องของสถาบันกษัตริย์ฯ 3 ประการ ได้แก่
ประการแรก พระมหากษัตริย์ไม่อยู่ในหลัก ‘The King Can Do No Wrong’ หรือ ‘ปกเกล้า ไม่ปกครอง’ กล่าวคือ พระมหากษัตริย์จะไม่ใช้พระราชอำนาจโดยตรง จะใช้ผ่านผู้รับสนองพระบรมราชโองการ และต้องเป็นกลางทางการเมือง
การตั้งกองกำลังซึ่งเป็นหน่วยงานในพระองค์ เช่น การโอนทหารราบที่ 1และทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ และโอนหน่วยงานราชองครักษ์และหน่วยงานรักษาความปลอดภัย จากกระทรวงกลาโหมมาเป็นหน่วยงานในพระองค์ ส่งผลให้พระมหากษัตริย์เป็นผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานเหล่านั้นโดยตรง ขัดกับหลัก ‘The King Can Do No Wrong’ โดยพระมหากษัตริย์ทรงลงมาบริหารด้วยตนเอง
การโอนหน่วยงานทหารดังกล่าวทำให้เกิดการแบ่งแยกเป็น 2 ส่วน รู้จักกันในนามว่า ‘ทหารคอแดง’ คือ ทหารรักษาพระองค์ ซึ่งขึ้นตรงกับพระมหากษัตริย์ พยานเห็นว่าทหารที่ไม่ขึ้นตรงกับรัฐบาล ไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ทางรัฐศาสตร์เรียกว่า ‘รัฐซ้อนรัฐ’ ซึ่งประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไม่มีประเทศใดทำเช่นนี้
ประการที่สอง การดำรงพระองค์ที่ไม่เหมาะสม เช่น การประทับอยู่ต่างประเทศ
ประการที่สาม การขยายพระราชอำนาจตั้งแต่ปี 2559 ซึ่งไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย เช่น ร่างรัฐธรรมนูญปี 2559 ผ่านการประชามติแล้ว พลเอกประยุทธ์นำขึ้นทูลเกล้ารัชกาลที่ 9 แต่รัชกาลที่ 9 สวรรคตก่อน ต่อมาจึงทูลเกล้าต่อรัชกาลที่ 10 ซึ่งไม่ได้ลงพระปรมาภิไธย แต่สั่งให้แก้ไขเกี่ยวกับพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ ซึ่งพยานเห็นว่าไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย เป็นเหตุให้พยานปราศรัยในวันเกิดเหตุ
การแก้ไขทำให้เกิดการขยายพระราชอำนาจ ซึ่งการแก้ไขหลายประการแตกต่างจากร่างรัฐธรรมนูญที่ให้ลงประชามติ เช่น การแก้ไขเกี่ยวกับการตั้งผู้สำเร็จราชการแทน จากเดิมในสมัยรัชกาลที่ 7, 8 และ 9 ถ้าพระมหากษัตริย์ไม่ประทับในประเทศต้องตั้งผู้สำเร็จราชการแทนเสมอ แต่ในสมัยรัชกาลที่ 10 แก้ไขว่าจะตั้งหรือไม่ก็ได้ ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์และกระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดินหลายประการ เช่น การลงพระปรมาภิไธยนอกราชอาณาจักร ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของเยอรมนีก็เคยนำเรื่องนี้ไปอภิปรายในรัฐสภา
พยานเบิกความต่อไปว่า ในประเด็นเรื่องการจัดการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้น ตาม พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ฯ จากเดิมที่เคยแบ่งเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ ส่วนพระมหากษัตริย์ และสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แต่ในปี 2561 ถูกรวบเป็นทรัพย์สินพระมหากษัตริย์หรือในนามของพระองค์เอง ไม่มีทรัพย์สินที่เป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินอีก เช่น พระราชวัง ทำให้การจำหน่ายจ่ายโอนเป็นไปตามพระราชอัธยาศัย ในวันเกิดเหตุ พยานจึงปราศรัยในประเด็นนี้
การโอนทรัพย์สินดังกล่าวยังไม่ชอบมาพากล เพราะพระราชบัญญัติดังกล่าวออกโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งเป็นคณะรัฐประหาร และพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ 3 วาระรวดโดยลับ
การที่ทรัพย์สินถูกโอนไปเป็นในพระนามของรัชกาลที่ 10 ทำให้การตกทอดเป็นไปตามกฎหมายลักษณะมรดก ซึ่งรัชกาลที่ 10 มีทายาทโดยธรรมหลายพระองค์ พยานเกรงว่าจะไม่ตกทอดถึงพระมหากษัตริย์องค์ถัดไป เช่น หุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จํากัด (มหาชน) มูลค่าหลายหมื่นล้านบาท ซึ่งมีการโอนหุ้นจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ไปเป็นพระนามของรัชกาลที่ 10 โดยตรง ข้อมูลดังกล่าวมีเผยแพร่โดยทั่วไป ทุกคนสามารถเข้าถึงได้
นอกจากนี้ ยังมีอสังหาริมทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินซึ่งโอนจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไปเป็นพระนามของรัชกาลที่ 10 หลายแปลง
พยานเห็นว่า การแก้กฎหมายดังกล่าวกระทบต่อหลัก ‘The King Can Do No Wrong’ และรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 โดยปกติหากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ทำผิด เช่น ไล่ที่ ประชาชนก็จะฟ้องที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ หากมีข้อโต้แย้ง ก็ไม่สามารถฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ได้
พยานเบิกความต่อไปว่า หากพระมหากษัตริย์ไม่มีการเขียนพินัยกรรม มรดกก็จะกระจายไปยังทายาทโดยธรรมหลายพระองค์ หรือหากมีพินัยกรรมก็สามารถโอนให้บุคคลภายนอก จึงเป็นเหตุให้พยานปราศรัยว่า “พระราชบัญญัติจัดการทรัพย์สินมันมีปัญหา เพราะท่านโอนไปให้คนอื่นหมดกษัตริย์องค์ต่อไปจะเอาวังที่ไหนอยู่”
พยานปราศรัยเพราะเกรงว่าพระมหากษัตริย์จะกลายเป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไม่ใช่พระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย ไม่ได้มีเจตนาด้อยค่า โดยการพูดอาจมีลีลาท่าทางที่แตกต่างกันไป แต่พยานอยากให้สังคมและผู้พิพากษาเห็นว่าแก่นคือเรื่องนี้
พยานเบิกความว่า รัฐบาลใช้มาตรา 112 ปิดปากประชาชน ทำให้มีผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 และลี้ภัยหลายคน จนองค์การสหประชาชาติ (UN) ทำหนังสือถึงรัฐบาลไทยให้แก้ปัญหามาตรา 112 และนิรโทษกรรมในคดีมาตรา 112
จากการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของพยาน มีองค์กรระหว่างประเทศเห็นว่าเป็นการต่อสู้โดยสันติวิธี และมอบรางวัลและมีหนังสือให้ปล่อยตัวพยาน เช่น รางวัลกวางจู ซึ่งเป็นรางวัลเพื่อสิทธิมนุษยชนของประเทศเกาหลีใต้
นอกจากนี้ ยังมีหน่วยงาน Lawyers for Lawyers ที่ทำหนังสือถึงประธานศาลฎีกาและรัฐบาลไทยให้ปล่อยตัวพยาน โดยเห็นว่าการต่อสู้ของพยานเป็นไปโดยสันติวิธี
พยานเบิกความว่า เกี่ยวกับถ้อยคำที่พริษฐ์และชินวัตรปราศรัยนั้น เป็นการที่ต่างคนต่างพูด ไม่มีการเตรียมตัวหรือนัดกันมาก่อน และพยานไม่ทราบว่าทั้งสองพูดเรื่องอะไร
พยานยืนยันว่า การปราศรัยเป็นไปโดยเจตนาดีต่อสถาบันกษัตริย์ฯ เพื่อให้ปรับตัวให้ดำรงอยู่ได้ในยุคปัจจุบันที่มีความท้าทายหลายประการเกี่ยวกับความเคารพของประชาชน โดยพยานไม่ได้มุ่งหมายถึงตัวบุคคล
พนักงานอัยการไม่ถามค้าน
.
อาจารย์นิติฯ ระบุไม่สามารถใช้ รธน. ม.6 ทำลายคุณค่าของเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นได้ ตราบเท่าที่ไม่แสดงความเห็นให้ล้มล้างการปกครอง – อานนท์เป็นกษัตริย์นิยม แต่กล้าหาญในการติชมว่าพระมหากษัตริย์ไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย
รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เบิกความว่า พยานรับผิดชอบสอนวิชารัฐธรรมนูญ, นิติปรัชญา, การวิจัยกฎหมาย และประวัติศาสตร์กฎหมาย
พยานมีผลงานด้านวิชาการเป็นงานวิจัยเรื่องเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย, ข้อถกเถียงว่าด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์ในรัฐธรรมนูญไทย ตั้งแต่ปี 2475 – 2550 และบทเรียนและสภาพปัญหาเกี่ยวกับเสรีภาพในการชุมนุมเพื่อการปรับปรุงพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 โดยงานวิจัยทั้งหมดเกี่ยวกับเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและสถาบันพระมหากษัตริย์
พยานอ่านคำฟ้องในคดีนี้ โดยมี 2 ประเด็น ได้แก่ ประเด็นแรก สถานะของพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดได้” สามารถพิจารณาได้ 2 เรื่อง ดังนี้
ประการแรก พิจารณาเชิงประวัติศาสตร์ สถานะล่วงละเมิดมิได้นั้น เกิดในรัฐธรรมนูญ ปี 2475 ระบุว่า “องค์พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะล่วงละเมิดมิได้” ต่อเนื่องถึงรัฐธรรมนูญ ปี 2492 มีบทบัญญัติเพิ่มเติมอีกหนึ่งมาตราว่า “ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้” และมีระบุต่อเนื่องสืบมาในรัฐธรรมนูญฉบับอื่น ๆ
ในการร่างรัฐธรรมนูญเป็นที่ยอมรับกันว่ามาตราดังกล่าวหมายถึงบุคคลไม่สามารถฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ได้ เป็นการจัดวางพระมหากษัตริย์ให้อยู่เหนือการเมืองตามหลัก ‘The King Can Do No Wrong’ เช่น การตั้งนายกรัฐมนตรีไม่ได้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย
ประการที่สอง พิจารณาเชิงหลักการ รัฐธรรมนูญรับรองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและสถานะล่วงละเมิดมิได้ การตีความจึงไม่สามารถใช้หลักการหนึ่งไปทำลายคุณค่าของอีกหลักการหนึ่งได้ ดังนั้นตราบเท่าที่ประชาชนยังไม่แสดงความคิดเห็นให้ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ก็สามารถแสดงออกได้ โดยต้องพิจารณาเนื้อหาหลักของการแสดงออกว่ามีจุดมุ่งหมายใด
เช่น มีคดีข้อพิพาทระหว่างเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นกับกฎหมายต่าง ๆ ในคดี Texas vs Johnson, 491 US 397 (1989) ซึ่งจอห์นสันได้เผาธงชาติเพื่อแสดงออกถึงการไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล โดยศาลสหรัฐอเมริกาตัดสินว่าการเผาธงชาติเพื่อแสดงความคิดเห็นไม่เป็นความผิด
พยานเห็นว่า มาตรา 112 เป็นกฎหมายอาญา ตามหลักการตั้งตีความโดยเคร่งครัด การกระทำที่เป็นความผิด คือ ดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้าย และต้องกระทำต่อตัวบุคคล คือ พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
เกี่ยวกับคดีนี้ พยานเห็นว่าเป็นการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีการออกกฎหมายหลายฉบับที่ทำให้ประชาชน รวมถึงพยานเห็นว่าทำให้บทบาทของพระมหากษัตริย์เปลี่ยนไปในระบอบประชาธิปไตย
กฎหมายดังกล่าวที่พยานพูดถึงคือ พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ฯ ซึ่งภายหลังการออกพระราชบัญญัตินี้ได้เปลี่ยนหลักการจัดการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไปอย่างใหญ่หลวง
ก่อนหน้าทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จะถูกแบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนพระองค์ ส่วนพระมหากษัตริย์ และสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งแต่ละประเทศจะมีหน่วยงานมาบริหารจัดการ เว้นแต่ส่วนพระองค์ที่เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย
อย่างไรก็ตาม การแก้ไขพระราชบัญญัตินี้ ทำให้ทรัพย์สินทั้งหมดกลายเป็นทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ซึ่งสามารถจัดการได้ตามพระราชอัธยาศัย
ประเด็นดังกล่าวเมื่อนักกฎหมายอ่านก็ทำให้เข้าใจได้ว่า เมื่อการจัดการทรัพย์สินเป็นไปตามพระราชอัธยาศัย จึงมีความเป็นไปได้ที่พระมหากษัตริย์จะสามารถจำหน่าย จ่าย ให้บุคคลธรรมดาได้ เช่น พระราชวัง ทำให้เกิดความกังวล
จากที่พยานอ่านคำปราศรัยและคำฟ้องทั้งหมดแล้ว เห็นว่า อานนท์เป็นกษัตริย์นิยม แต่มีความกล้าหาญในการแสดงความคิดเห็นว่าพระมหากษัตริย์ไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย เพื่อปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ฯ ต่างจากบุคคลอื่นที่อ้างว่าเป็นกษัตริย์นิยม แต่ไม่กล้าตำหนิติชม
พนักงานอัยการไม่ถามค้าน