วันที่ 18 พ.ย. 2567 เวลา 09.00 น. ศาลอาญากรุงเทพใต้นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีของ “สมบัติ ทองย้อย” อดีตการ์ดผู้ชุมนุมเสื้อแดงวัย 55 ปี ซึ่งถูก อภิวัฒน์ ขันทอง รับมอบอำนาจจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวหาว่า โพสต์ภาพและข้อความในเฟซบุ๊กช่วงปี 2562 – 2563 มีเนื้อหาดูหมิ่น พล.อ.ประยุทธ์ จำนวน 2 โพสต์ หลังถูกศาลชั้นต้นพิพากษาว่ามีความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา, ดูหมิ่นเจ้าพนักงานฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328, 136 และตัดต่อภาพทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียงฯ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 16 ลงโทษจำคุกไว้ 8 เดือน 20 วัน และให้นับโทษจำคุกในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกในคดีมาตรา 112 โดยศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
เมื่อนับโทษจำคุกในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกในคดี 112 ตามคำพิพากษาแล้ว สมบัติมีโทษจำคุกรวม 4 ปี 8 เดือน 20 วัน
สำหรับผู้กล่าวหาในคดีนี้ คือ อภิวัฒน์ ขันทอง ได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ ในช่วงปี 2562 และยังรับการแต่งตั้งเป็นกรรมการตรวจสอบและดำเนินคดีแก่ผู้เผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี โดยพบว่าในช่วงปี 2563-65 มีคดีจากการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ที่อภิวัฒน์ไปกล่าวหาไว้ไม่น้อยกว่า 26 คดี มีทั้งคดีที่เป็นการโพสต์เนื้อหาทางออนไลน์เกี่ยวกับ พล.อ.ประยุทธ์ และคดีตามมาตรา 112 ซึ่งหลายคดียังดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน
สมบัติ ทองย้อย นับเป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาชุดคดีดังกล่าว โดยอภิวัฒน์อ้างว่ารับมอบอำนาจผู้เสียหาย นำโพสต์เฟซบุ๊ก 2 ข้อความ เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 2562 และ 19 ส.ค. 2563 ไปกล่าวหาไว้ที่ สน.นางเลิ้ง ใน 3 ข้อกล่าวหา ได้แก่ 1) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 “หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา” 2) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136 “ดูหมิ่นเจ้าพนักงานฯ” และ 3) พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 16 ฐานตัดต่อภาพทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียงฯ
ต่อมาเมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2566 ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษาเห็นว่า สมบัติมีความผิดตามฟ้อง โดยเห็นว่าข้อความทั้ง 2 กรรม ไม่ใช่การวิพากษ์วิจารณ์อันมีมูลเหตุมาจากข้อเท็จจริง แต่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ด้วยข้อมูลเท็จ ลงโทษจำคุก 1 ปี 1 เดือน ก่อนลดเหลือ 8 เดือน 20 วัน และให้นับโทษต่อจากคดีมาตรา 112
สมบัติให้การปฏิเสธ และต่อสู้คดีเรื่อยมา โดยรับว่าได้โพสต์ข้อความตามฟ้องจริง และได้อุทธรณ์คดีในหลายประเด็น ได้แก่
- ประเด็นที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ออกหมายเรียกพยานเอกสารซึ่งฝ่ายจำเลยร้องขอ ซึ่งเกี่ยวข้องกับประเด็นอำนาจการร้องทุกข์ของ อภิวัฒน์ ขันทอง ผู้รับมอบอำนาจผู้เสียหาย โดยอ้างว่าไม่ปรากฏว่าเกี่ยวกับประเด็นแห่งคดี
- ประเด็นคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 32/2563 ที่ให้อำนาจอภิวัฒน์ ร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลยนั้น ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งคำสั่งดังกล่าวไม่มีการระบุถึงบทบัญญัติกฎหมายที่ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีในการออกคำสั่ง และไม่ได้ระบุว่าอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ทั้งยังไม่ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี การออกคำสั่งนี้จึงขัดต่อหลักกฎหมาย
- ประเด็นที่ผู้เสียหายในคดีนี้ คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ใช่เจ้าพนักงานซึ่งกระทำตามหน้าที่ ทั้งโจทก์ไม่ได้สืบให้เห็นว่าขณะเกิดเหตุ พล.อ.ประยุทธ์ ปฏิบัติหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานอย่างไร และอาศัยอำนาจตามกฎหมายใด
- จำเลยยืนยันว่าโพสต์ภาพและข้อความดังกล่าว เป็นการแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต อันเป็นวิสัยของประชาชนพึงกระทำในระบอบประชาธิปไตย
- การพิสูจน์ของโจทก์ยังมีข้อพิรุธสงสัยว่าข้อความตามฟ้องครบองค์ประกอบความผิดหรือไม่ เนื่องจากยังมีข้อสงสัยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เห็นโพสต์ข้อความทั้งสองตามฟ้องหรือไม่
วันนี้ (18 พ.ย. 2567) เวลา 09.20 น. สมบัติถูกเบิกตัวมาฟังคำพิพากษาทางวีดิโอคอนเฟอเรนซ์อยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แทนการเดินทางมาศาล ศาลเรียกชื่อจำเลยให้รายงานตัว โดยสมบัติได้กล่าวชื่อและนามสกุลของตัวเอง ก่อนที่ศาลจะถามกับสมบัติว่า จำเลยอุทธรณ์คดีด้วยประเด็นเกี่ยวกับอะไรบ้าง สมบัติตอบศาลว่า รวม ๆ แล้ว เขายืนยันว่าข้อความที่โพสต์เป็นการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต
หลังสมบัติกล่าวจบ ศาลได้เริ่มอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยอ่านประเด็นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา 3 ประเด็น ดังนี้
1.ประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นไม่ออกหมายเรียกพยานหลักฐานที่สำคัญในคดีตามที่จำเลยร้องขอ ซึ่งพยานหลักฐานดังกล่าวเกี่ยวเนื่องกับการออกคำสั่งของนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ซึ่งมีความเกี่ยวเนื่องกับประเด็นอำนาจการร้องทุกข์ของอภิวัฒน์ ขันทอง
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า พยานเอกสารที่จำเลยขอให้ออกหมายเรียกจำนวน 5 รายการ ได้แก่ รายงานสถิติและผลการดำเนินงานของคณะกรรมการตรวจสอบและดำเนินคดีแก่ผู้เผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีทุกฉบับ, รายงานการประชุมของคณะกรรมการชุดดังกล่าว หรือรายงานการดำเนินการที่ส่งถึงนายกรัฐมตรี เป็นพยานเอกสารที่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญของคดีนี้ ที่ศาลชั้นต้นไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารดังกล่าวมา ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย
2.ประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์ว่า คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 32/2563 ซึ่งมอบอำนาจให้อภิวัฒน์ ขันทอง ร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลยนั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วเห็นว่า คำสั่งนายกรัฐมนตรีฉบับดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายแล้ว เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่งตั้งอภิวัฒน์ให้ทำหน้าที่ดังกล่าวโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 11 (6) เพื่อจัดการและแก้ไขการกระทำที่ผิดกฎหมายบนโซเซียลมีเดีย ซึ่งไม่ใช่เฉพาะการกระทำผิดเกี่ยวกับการดูหมิ่นนายกฯ และคณะรัฐมนตรีเท่านั้น
3.ประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์ว่า โดยยืนยันว่าการโพสต์ภาพและข้อความดังกล่าว เป็นการแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต อันเป็นวิสัยของประชาชนพึงกระทำในระบอบประชาธิปไตย
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเห็นว่า การกระทำของจำเลยไม่ใช่การวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต เป็นการเหยียด หยามศักดิ์ศรี
อุทธรณ์ทุกข้อของจำเลยฟังไม่ขึ้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น พิพากษายืน
.
ทั้งนี้ สมบัติถูกคุมขังมาตั้งแต่วันที่ 13 ก.ย. 2566 ในคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 กรณีโพสต์ข้อความ “#กล้ามาก #เก่งมาก #ขอบใจนะ” พร้อมกับอีก 2 ข้อความ หลังจากถูกศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก 4 ปี และเขาตัดสินใจไม่ต่อสู้คดีต่อในชั้นฎีกา ทำให้คดีสิ้นสุดลง โดยก่อนหน้านั้นหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เขาถูกคุมขังโดยไม่ได้ประกันตัวก่อนมาแล้วราว 7 เดือนเศษ ทำให้รวมระยะเวลาถูกคุมขังมาแล้วราว 1 ปี 9 เดือนเศษ