เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2566 ศาลอาญากรุงเทพใต้นัดฟังคำพิพากษาในคดี #หมิ่นประยุทธ์ ของ “สมบัติ ทองย้อย” วัย 52 ปี ซึ่งถูก อภิวัฒน์ ขันทอง ประธานกรรมการตรวจสอบและดําเนินคดีแก่ผู้เผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี แจ้งความกล่าวหาว่าได้โพสต์ภาพและข้อความในเฟซบุ๊กมีเนื้อหาดูหมิ่น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะเจ้าพนักงาน จำนวน 2 โพสต์ (ในช่วงเดือน มิ.ย. 2562 และ ส.ค. 2563)
คดีนี้อัยการบรรยายคำฟ้องระบุว่า สมบัติ ได้โพสต์ข้อความหมิ่นประมาทจำนวน 2 ข้อความ ได้แก่
1. เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 2562 สมบัติได้ใช้เฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อสกุลเดียวกัน โพสต์ข้อความแบบสาธารณะว่า “มีตบไหม” และลงภาพ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมข้อความบนภาพว่า “อีฉ้อ” และ “(ฉ้อฉลมันทุกรูปแบบ)”
2. เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2563 สมบัติได้ใช้เฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อสกุลเดียวกัน โพสต์ข้อความแบบสาธารณะว่า “อังกฤษเขาใช้เงินปอนด์อังกฤษ บ้านพ่องงงง ใช้เงินดอลลาร์ #มึงนี่นะควายจริงๆ” โดยลงภาพ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และมีข้อความด้านล่างภาพนายกฯ ว่า “สมมติว่าอังกฤษมีการเรียกร้องว่าเมื่อจบการศึกษามาแล้วจะต้องมีงานได้เงินเดือนละ 5,000 ดอลลาร์ จะได้ให้ได้หรือไม่ ก็คงไม่ได้”
สมบัติถูกฟ้องใน 3 ข้อกล่าวหา ได้แก่ 1) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 “หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา” 2) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136 “ดูหมิ่นเจ้าพนักงานฯ” และ 3) พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 16 ฐานตัดต่อภาพทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียงฯ
คดีนี้ ศาลได้สืบพยานโจทก์และจำเลย ในช่วงระหว่างวันที่ 13-15 ธ.ค. 2565 โดยภาพรวมของการสืบพยาน ฝั่งโจทก์นำพยานเข้าเบิกความรวมทั้งสิ้น 4 ปาก จากเดิมที่แถลงไว้ 5 ปาก ขณะที่ฝั่งจำเลยนำพยานเข้าเบิกความรวมทั้งสิ้น 3 ปาก ได้แก่ จำเลย และพยานนักวิชาการอีก 2 ปาก โดยสมบัติ ซึ่งถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในคดีมาตรา 112 ถูกเบิกตัวออกจากเรือนจำมาร่วมการพิจารณาคดีด้วยตลอดทั้ง 3 วัน
ศาลพิพากษาจำคุกทั้งสองกรรม รวม 1 ปี 1 เดือน ลดเหลือ 8 เดือน 20 วัน เพราะให้การเป็นประโยชน์ เห็นว่าไม่ใช่วิพากษ์วิจารณ์ด้วยข้อเท็จจริง แต่เป็นข้อมูลเท็จ
เวลา 09.00 น. ณ ห้องพิจารณาคดีที่ 705 ญาติของสมบัติได้เดินทางมานั่งรอตั้งแต่ก่อนเวลา ได้แก่ ลูก ภรรยา พี่สาว และญาติคนอื่นๆ อีก 1-2 คน ในวันนี้ยังมีตัวแทนจากสถานทูตประเทศสวิตเซอร์แลนด์และอังกฤษ รวมถึงตัวแทนจากสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย (Delegation of the European Union to Thailand) เดินทางมาร่วมสังเกตการณ์ในวันนี้ด้วย
ไม่นานสมบัติถูกเจ้าหน้าที่นำตัวเข้ามาในห้องพิจารณาคดี เขาเดินเท้าเปลือยเปล่า ข้อเท้าทั้งสองข้างถูกตรวนด้วยกุญแจเท้า สวมเสื้อผู้ต้องขังสีส้มอิฐอ่อน และกางเกงขายาวประหัวเข่าสีม่วงเข้ม ระหว่างรอศาลออกพิจารณาคดี สมบัติและญาติที่มาวันนี้ได้พูดคุยกันชั่วครู่ประมาณ 20 นาทีได้
สมบัติเล่าว่าขณะนี้ได้ขอเปลี่ยนไปช่วยทำงานขายของที่สหกรณ์ของเรือนจำแทนแล้ว จากเดิมที่เคยช่วยงานอยู่ที่ห้องสมุด งานใหม่ทำให้สมบัติได้พูดคุยกับคนอื่นๆ มากขึ้น ไม่น่าเบื่อเท่างานเดิมที่ต้องอยู่กับหนังสือเป็นส่วนใหญ่ ขณะเดียวกันสมบัติก็ได้พูดคุยลูกสาวเรื่องร้าน “เครื่องกรองน้ำ” ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัวที่เขาเคยรับผิดชอบดูแลเป็นหลัก แต่ตอนนี้ “ณัฏ” ผู้เป็นลูกสาวได้เข้ามารับช่วงดูแลไปพลางๆ ก่อนระหว่างที่สมบัติถูกคุมขังอยู่นี้
เวลาประมาณ 10.00 น. ศาลได้ออกพิจารณาคดีและอ่านคำพิพากษาโดยสรุปว่า
ในคดีนี้จำเลยได้ต่อสู้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นสิทธิของประชาชนที่สามารถวิพากษ์วิจารณ์พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรีได้นั้น ศาลเห็นว่าข้อความและภาพตามฟ้องทั้ง 2 กรรม ไม่ใช่การวิพากษ์วิจารณ์อันมีมูลเหตุมาจากข้อเท็จจริง แต่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ด้วยข้อมูลเท็จ
ส่วนประเด็นที่ว่าจำเลยต่อสู้ว่า การแต่งตั้ง นายอภิวัฒน์ ขันทอง ให้ทำหน้าที่ประธานกรรมการตรวจสอบและดําเนินคดีแก่ผู้เผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลเห็นว่าชอบด้วยกฎหมายแล้ว เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่งตั้งนายอภิวัฒน์ ให้ทำหน้าที่ดังกล่าวโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 11 (6) เพื่อจัดการและแก้ไขการกระทำที่ผิดกฎหมายบนโซเซียลมีเดีย ซึ่งไม่ใช่เฉพาะการกระทำผิดเกี่ยวกับการดูหมิ่นนายกฯ และคณะรัฐมนตรีเท่านั้น
ส่วนความผิดที่จำเลยถูกฟ้องนั้น ศาลเห็นว่าโพสต์ที่ 1 ตามฟ้อง ซึ่งมีการใช้ถ้อยคำว่า “ฉ้อฉล” บนรูปภาพผู้เสียหาย คำว่า “ฉ้อฉล” หมายถึง “ใช้อุบายหลอกลวงโดยเอาความเท็จมากล่าวเพื่อให้เขาหลงผิด” อีกทั้งวันที่จำเลยนำเข้าโพสต์นี้ เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 2562 เป็นวันเดียวกันที่ผู้เสียหายได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกฯ จากการลงมติร่วมกันของรัฐสภา ทำให้ผู้เสียหายได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น และถูกเหยียดหยาม
ศาลเห็นว่าโพสต์ที่ 1 ตามฟ้องเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา, ดูหมิ่นเจ้าพนักงานฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328, 136 และตัดต่อภาพทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียงฯ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 16 ให้ลงโทษจำคุกในฐานความผิดตัดต่อภาพทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียงฯ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 16 ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีบทลงโทษหนักที่สุด ให้จำคุก 1 ปี
ส่วนโพสต์ที่ 2 ตามฟ้อง ศาลเห็นว่าจำเลยบรรยายภาพด้วยถ้อยคำว่า “มึงนี่มันควายจริงๆ” ซึ่งเป็นการดูถูกผู้เสียหายว่า “โง่” เป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท และเหยียดหยาม เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ให้จำคุก 1 เดือน
แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษให้ 1 ใน 3 กรรมที่ 1 จึงเหลือจำคุก 8 เดือน กรรมที่ 2 เหลือจำคุก 20 วัน รวมจำคุกทั้งสิ้น 8 เดือน 20 วัน และให้นับโทษจำคุกต่อจากคดีมาตรา 112 จากการโพสต์เฟซบุ๊กว่า “กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจ” และอีก 2 ข้อความ ซึ่งทำให้สมบัติต้องถูกคุมขังระหว่างอุทธรณ์คำพิพากษามาตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย. 2565 หรือนานกว่า 9 เดือนแล้ว
หลังศาลอ่านคำพิพากษาแล้วเสร็จ สมบัติได้กอดร่ำลากับสมาชิกในครอบครัวและถูกนำตัวไปคุมขังยังห้องขังใต้ถุนศาลเพื่อรอเดินทางกลับเรือนจำ ขณะเดียวกันลูกสาวของสมบัติได้ฝาก “ข้าวหน้าเป็ด” เมนูโปรดของสมบัติผ่านเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ให้เขาได้รับประทานในมื้อเที่ยงของวันนี้
อีกทั้ง ในวันนี้ ศาลอาญากรุงเทพใต้ได้นัดฟังผลคำสั่งการยื่นขอประกันตัวสมบัติในคดีมาตรา 112 ของศาลอุทธรณ์ จากการยื่นขอประกันเมื่อวันที่ 29 ม.ค. ที่ผ่านมาด้วย เมื่อฟังคำพิพากษาเสร็จ ทนายความและญาติของสมบัติจึงได้ไปนั่งรอฟังผลคำสั่งของศาลอุทธรณ์บริเวณส่วนงานประชาสัมพันธ์ ซึ่งปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ได้ยกคำร้องและไม่ให้ประกันสมบัติเช่นเดิม โดยอ้างเหตุผลว่า “ไม่ปรากฏเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม”
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
“ไม่เคยพบนายกฯ คนใดมาไล่ฟ้องประชาชนเช่นนี้” บันทึกสืบพยานคดี #หมิ่นประยุทธ์ ของ ‘สมบัติ ทองย้อย’