อย่าลืมสมบัติ: อิสรภาพที่ถูกพราก ยังรอวันได้สิทธิประกันและหวนกลับคืนสู่ครอบครัว

#อย่าลืมฉัน

“หนุ่ม” — สมบัติ ทองย้อย อดีตการ์ดเสื้อแดง วัย 53 ปี ยังคงถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 28 เม.ย. 2565 หลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจำคุก 6 ปี โดยไม่รอลงอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ  มาตรา 14 (3) จากกรณีโพสต์ข้อความ “#กล้ามาก #เก่งมาก #ขอบใจนะ” ประกอบภาพข่าวเกี่ยวกับบัณฑิตมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไม่เข้ารับปริญญา เมื่อวันที่ 30 ต.ค.2563 และอีก 2 ข้อความ ซึ่งกล่าวถึงพฤติกรรมการทำตัวใกล้ชิดประชาชนและการแจกลายเซ็นของกษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์

ในคดีนี้ หลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ทนายความได้ยื่นขอประกันตัวสมบัติในระหว่างอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งไม่ให้ประกันตัวเรื่อยมา ทำให้เขาต้องใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำเป็นระยะเวลากว่า 5 เดือนแล้ว

สมบัติ ทองย้อย มีอาชีพรับจ้างติดตั้งเครื่องกรองน้ำ และรับซ่อมดูแลสิ่งของเสียหายต่างๆ เขาเริ่มสนใจปัญหาทางการเมือง พร้อมกับการเกิดขึ้นของวิกฤติทางการเมือง เมื่อช่วงปี 2548 สมบัติเคยสวมใส่สีเสื้อทางความคิดมาแล้วทั้งเหลืองและแดง เขาเป็นหนึ่งในประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมและลงถนนกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประธิปไตย (พธม.) และต่อเนื่องมาจนถึงการรัฐประหารของรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร  ก่อนจะตั้งหมุดหมายได้อย่างแน่วแน่กับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในช่วงปี 2550

อย่างไรก็ตาม จากคำบอกเล่าของครอบครัว สมบัติไม่เคยบีบบังคับให้คนในบ้านจะต้องเลือกฝั่งทางความคิดและอุดมการณ์ตามเขา แต่จะคอยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอยู่อย่างสม่ำเสมอ ต่อมาในปี 2552 สมบัติตัดสินใจเปลี่ยนบทบาทของตัวเองจากมวลชน เป็นการ์ดของผู้ชุมนุม เขามีส่วมร่วมในการต่อสู้กับพี่น้องเสื้อแดง จนถึงวันที่เกิดเหตุการณ์สลายการชุมนุมด้วยความรุนแรงในปี 2553 สมบัติเป็นหนึ่งในการ์ดของผู้ชุมนุมที่อยู่ในพื้นที่ใช้กระสุนจริงเพื่อสลายการชุมนุม

ความพ่ายแพ้ของมวลชนคนเสื้อแดงในตอนนั้น ได้แปรเปลี่ยนให้บทบาทการ์ดของเขายุติลง แต่ไม่ได้ทำให้เขาละทิ้งอุดมการณ์แต่อย่างใด การต่อสู้ของสมบัติทำให้สมญานามของเขายังคงถูกเรียกขานอยู่เสมอด้วยการพ่วงท้ายชื่อจริงว่า ‘สมบัติ อดีตการ์ดเสื้อแดง’

ตลอดระยะเวลาหลายสิบปี ประเทศนี้ยังคงทำให้เขาต้องเผชิญหน้ากับความล้มเหลวของรัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันโอชา ในขณะที่การลุกขึ้นต่อสู้ของคนรุ่นใหม่ก็เป็นเหมือนแสงแห่งความหวัง ส่องรำไรให้กับชีวิตของอดีตการ์ดเสื้อแดงคนนี้ จนกระทั่งนำไปสู่การถูกดำเนินคดีความตาม
มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ และถูกพิพากษาจองจำเรื่อยมาในปี 2565 

จากการเข้าเยี่ยมของทนายความเมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2565 สมบัติ ซึ่งถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ได้พบกับประสบการณ์ติดโควิดในเรือนจำเป็นครั้งแรก เขาเล่าว่า ในตอนนั้นอาการไม่หนักมาก มีตัวร้อนนิดหน่อย นอกจากนั้นไม่เป็นอะไร กินอาหารได้ปกติ น่าจะเกิดจากการทำงานหนักและพักผ่อนน้อย 

ชีวิตในเรือนจำดำเนินเรื่อยมา สมบัติได้เข้าช่วยงานในกองงานต่างๆ ทั้งการเปลี่ยนเครื่องกรองน้ำ งานไม้ งานเหล็ก และงานห้องสมุด แต่การถูกคุมขังในเรือนจำไม่ได้สร้างความสะดวกสบายใดๆ ให้กับเขา สมบัติเคยเล่าถึงการติดคุกในครั้งนี้ว่าเป็น “เหมือนกับเจอมรสุมลูกใหญ่ในชีวิต”

ต่อมาในช่วงเดือนกันยายน ทนายความได้เข้าเยี่ยมสมบัติหลายครั้ง การต้องทำงานเป็นผู้ช่วยช่าง จำเป็นที่จะต้องยกของหนักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันส่งผลให้ร่างกายของเขาเริ่มอ่อนแรง และเมื่อยล้า  พบว่าการใช้ชีวิตในเรือนจำเริ่มยากลำบากสำหรับเขามากขึ้นเรื่อยๆ สมบัติเริ่มป่วยมากขึ้น เพราะอากาศที่แปรปรวน ในวันที่ 18 ก.ย. เขาเล่าว่าตนเองมีอาการไอ เจ็บคอ และใช้เวลาส่วนมากนอนพักอยู่ที่ห้องสมุดเสียมากกว่าที่จะออกไปทำกิจกรรมอื่นๆ 

สำหรับเรื่องการประกันตัว เขายังหวังว่าศาลจะมีเมตตาธรรมและคืนสิทธิการประกันตัวให้เขาเสียที เนื่องจากในช่วงนี้ เป็นช่วงเวลาที่เขาจะมีลูกค้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมาก หากสามารถรับงานได้เยอะ มันก็ยิ่งทำให้เขามีรายได้จุนเจือครอบครัวได้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม สมบัติถือเป็นนักกิจกรรมรุ่นใหญ่ที่ยังคงถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำตอนนี้แล้ว เขาบอกว่าหากให้เทียบกับเด็กๆ นักกิจกรรมรุ่นหลังมานี้ เขาเหมือนพี่ใหญ่ ต้องคอยให้กำลังใจน้องๆ และต้องเข้มแข็ง ถึงแม้จะรู้สึกเจ็บ หน่วงอยู่ข้างในก็จะอดทน ไม่แสดงออกมากลัวน้องเสียกำลังใจ ต้องคอยเป็นหลักให้กับทุกๆ คน โดยเคยมีข้อความฝากถึงคนข้างนอกว่า “ครบ 5 เดือนไปแล้ว ยังคาดหวังว่าจะได้รับการประกันตัว ขอบคุณทุกคนที่ยังไม่ลืมกัน”

.

X