วันที่ 15 ธ.ค. 2563 สมบัติ ทองย้อย อดีตการ์ดเสื้อแดง เดินทางเข้ารับทราบ 2 ข้อกล่าวหา ตามหมายเรียกในข้อหา “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์” หรือมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา และข้อหาตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 กรณีโพสต์ข้อความ 3 ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว ซึ่งมีผู้ตีความว่า ล้อเลียนพระราชดำรัสและการเสด็จเยี่ยมประชาชนของรัชกาลที่ 10
ต่อมา วันที่ 19 พ.ค. 2564 พนักงานอัยการยื่นฟ้องอดีตการ์ดเสื้อแดงในวัย 52 ปีคนนี้ ใน 2 ข้อหาดังกล่าวต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ก่อนจะได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวโดยวางหลักทรัพย์เป็นเงินสด จำนวน 200,000 บาท
อ่านคำฟ้องและคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว >>> ยื่นฟ้อง “สมบัติ ทองย้อย” อดีตการ์ดเสื้อแดง เหตุโพสต์ #กล้ามาก #เก่งมาก #ขอบใจนะ อัยการชี้ มีเจตนาทำลาย จาบจ้วงสถาบันกษัตริย์ สร้างความแตกแยกในสังคม
หลังการต่อสู้คดีในกระบวนการ…ในที่สุดศาลก็มีคำพิพากษาต่อชายที่ชื่อสมบัติ ทองย้อย ในวันที่ 28 เม.ย. 2565 โดยพิพากษาว่า ‘จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (1) (3) ให้ลงโทษทุกกระทงความผิด รวม 2 กระทง ให้จำคุกกระทงละ 3 ปี รวมจำคุก 6 ปี’
สิ้นการอ่านคำพิพากษา ตำรวจศาลก็ได้ใส่กุญแจมือสมบัติและพาเขาลงไปที่ห้องขังใต้ถุนศาลทันที และในวันเดียวกัน รองอธิบดีผู้พิพากษาของศาลชั้นต้นก็ได้มีคำสั่งให้ส่งคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวของสมบัติให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาว่าจะให้ประกันหรือไม่ ทำให้สมบัติต้องถูกควบคุมตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก
อ่านคำพิพากษาฉบับเต็ม >>> เปิดคำพิพากษาฉบับเต็ม! จำคุก 6 ปี “สมบัติ ทองย้อย” คดี ‘กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจ’
ครอบครัวของเขาหวังเพียงแค่ว่าการจากลาในครั้งนี้จะเป็นเพียงแค่การจากลาชั่วคราว เพราะอย่างน้อยที่สุดกระบวนการยุติธรรมก็เปิดโอกาสให้มีการอุทธรณ์ในคดี แต่แล้วในวันที่ 30 เม.ย. 2565 ศาลอุทธรณ์ก็ได้มีคำสั่งไม่ให้ประกันตัว เนื่องจากเชื่อว่าจำเลยจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่นหรืออาจจะหลบหนีหากให้ปล่อยตัวชั่วคราว
ในการยื่นประกันตัวต่อมากว่า 4 ครั้ง ก็ไม่ได้มีผลให้กระบวนการยุติธรรมของประเทศนี้เปลี่ยนใจปล่อยตัวสมบัติกลับคืนสู่อ้อมกอดของครอบครัวแต่อย่างใด
.
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน จึงอยากเชิญชวนทุกท่าน มาร่วมกันซึมซับความรู้สึกและความทรงจำของ “ณัฏ” ลูกสาวของสมบัติ ทองย้อย มา ณ โอกาสนี้
บันทึกของ “ณัฎ” เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2565
.
ผ่านมาแล้ว 50 วัน กับการที่ศาลตัดสินจำคุกพ่อในคดี 112…
เนื่องจากเมื่อวาน (วันพุธที่ 15 มิถุนายน 2565) ได้มีการเบิกตัวพ่อจากเรือนจำเพื่อนัดสืบพยานในคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ร้ายแรง จากการเข้าร่วมม็อบในวันที่ 18 ตุลาคม 2563 ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่ทางครอบครัวได้เจอพ่อแบบตัวต่อตัว และครั้งแรกที่เข้าร่วมฟังการสืบพยานหลังจากเดินทางไปถึงศาลแขวงดุสิตพวกเรานั่งรอพ่อที่ห้องพิจารณาคดี 408 โดยในห้องมีเจ้าหน้าที่นั่งอยู่ 1 ท่านและทนาย 1 ท่าน เมื่อใกล้ถึงเวลาทนายทั้งฝ่ายจำเลยและโจทก์ทำการทบทวนเอกสารที่เตรียมมาก่อนเริ่มการพิจารณาคดี ส่วนผู้เข้าร่วมฟังที่นั่งอยู่ในห้องตอนนั้นมีทั้งคนในครอบครัว เพื่อนคุณพ่อ และ นิสิต นักศึกษา ณ เวลาโดยประมาณ 08.50 น. ประตูพิเศษเปิดออก…
พ่อค่อยๆ เดินออกมาจากประตู ตอนนั้นพวกเราทุกคนดีใจมากที่ได้เห็นพ่อ อาเราดีใจมากที่ได้เห็นพ่อ ส่วนแม่จับมือเราแน่นมากด้วยความดีใจที่ได้เจอพ่อแล้ว คือมันเป็นช่วงเวลา 50 วันที่เราไม่ได้เจอพ่อเลยตั้งแต่ที่ศาลมีการตัดสินจำคุกพ่อ (ไม่รวมการเจอแบบ video call) หลังจากที่พ่อเดินออกมาแล้วเห็นพวกเรา พ่อเองก็คงอดดีใจไม่ได้เหมือนกัน จนยิ้มแป้นตาตี่ทะลุหน้ากากอนามัยออกมาเลย
เวลาผ่านไปไม่กี่วิ…พ่อค่อยๆ เดินออกมาจากหลังประตูกั้นตรงประตูพิเศษ รอยยิ้มของพ่อยังอยู่แต่ตอนนั้นเราแม่งโคตรรู้สึกแย่ ความรู้สึกตอนนั้นดาวน์มากจนจุกในอก พ่อต้องดีใจมากแค่ไหนถึงมีรอยยิ้มแบบนั้น ทั้งๆ ที่ขาทั้งสองข้างของพ่อมีโซ่คล้องเอาไว้อยู่ พ่อเองก็บอกว่าเจ็บข้อเท้ามากๆ สำหรับคนอื่นเขาเซียนแล้ว เขาเลยแปะพาสเตอร์กันเอาไว้ แต่พ่อไม่รู้เลยต้องทนเจ็บหน่อย มันเป็นการเจอพ่อที่ทั้งมีความสุขและทรมานมากจริงๆ
ก่อนเริ่มและหลังการพิจารณาคดี พ่อกับพวกเรานั่งกันอยู่ในระยะที่สามารถพูดคุยกันได้ซึ่งเราโคตรดีใจเพราะได้เจอพ่อแล้ว ได้บอก “คิดถึง” ต่อหน้าพ่อ ได้ “จับมือ” และ ”ชนหมัด” พ่อ เมื่อวานเราไม่ค่อยได้คุยอะไรกับพ่อเท่าไหร่ แต่ส่วนใหญ่อาเรากับแม่เราจะคุยกับพ่อมากกว่า ส่วนใหญ่พ่อจะถามถึงเรื่องที่บ้านเพราะพ่อเป็นห่วงมากๆ ด้วยความที่ว่าที่บ้านมีแต่ผู้หญิงและมีพ่อเป็นผู้ชายคนเดียวที่คอยดูแลพวกเรา ซึ่งตอนนี้พ่อไม่อยู่ เราทุกคนก็ต้องดูแลตัวเอง พ่อเล่าเรื่องต่างๆ นานาระหว่างที่อยู่ในเรือนจำให้ทุกคนฟัง เล่าเรื่องกิจวัตรประจำวันบ้าง เรื่องอาหารบ้าง เรื่องเพื่อนในนั้นบ้าง มันเป็นช่วงเวลาที่ดูปกติมากๆ เหมือนเวลาที่อยู่บ้านแล้วพ่อเล่าเรื่องต่างๆ ให้พวกเราฟังจนมันทำให้เราลืมไปเลยว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงพ่อก็ต้องกลับไปที่เรือนจำอีก…
หลังจากพิจารณาคดีเสร็จ เราลงไปซื้อข้าวกลางวันแล้วเอาข้าวไปให้พ่อ ซึ่งเราคิดว่าคงมีแค่กระจกใสกั้นเรากับพ่อไว้ แต่เราต้องฝากข้าวให้กับผู้คุมเพื่อเอาไปให้พ่อ เพราะสิ่งที่กั้นเรากับพ่อคือห้องๆ หนึ่ง ไม่ใช่กระจกอย่างที่เราคิด ตอนที่ผู้คุมเปิดกระจกมาเอาข้าวให้พ่อเรากวาดสายตาเพื่อมองหาพ่อ ซึ่งเราก็เห็นพ่ออยู่อีกฝั่งของห้อง และด้วยความที่ว่ากระจกระยะสายตาเป็นกระจกดำ แต่กระจกบนหัวเป็นใส เรากับพ่อก็กระโดดและยกมือบ๊ายบายเพื่อให้อีกฝ่ายเห็น
เรากับพ่อกระโดดอยู่แบบนั้นซักพัก จนผู้คุมน่าจะเรียกพ่อไปกินข้าว ความรู้สึกตอนนั้นโคตรดีใจ โคตรเสียใจ และ โคตรคิดถึงพ่อเลย…
ความจริงสิ่งที่เรากับพ่อทำเมื่อวานมันคือเรื่องปกติด้วยซ้ำ แต่มันกลายเป็นอะไรที่ดูพิเศษเพียงเพราะพ่อโดนพรากอิสรภาพจากการที่ศาลตัดสินจำคุกพ่อในคดี 112 การที่พ่อโพสต์ “กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจ” มันเป็นการแสดงความคิดเห็นด้วยซ้ำ ไม่ใช่การอาฆาตมาดร้าย ความจริงแล้ววัตถุประสงค์ของคดี 112 ตั้งขึ้นมาเพื่อปกป้องสถาบัน ไม่ใช่เพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งใช้เป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งคนคิดต่างทางการเมือง และไม่ควรมีใครถูกริดรอนอิสรภาพ เพียงแค่มีความคิดเห็นที่แตกต่าง
.
อ่านบทสัมภาษณ์ณัฐเพิ่มเติม