วันที่ 4 ต.ค. เป็นวันเกิดอายุครบ 21 ปีของ “ภูมิ หัวลำโพง” นักกิจกรรมเยาวชน ผู้ยังถูกคุมขังในคดีมาตรา 112 อยู่ในบ้านเมตตา หลังถูกศาลเยาวชนฯ สั่งใช้มาตรการพิเศษแทนการมีคำพิพากษา โดยให้จำเลยอยู่ในสถานพินิจฯ เป็นระยะเวลา 1 ปี และกำหนดเงื่อนไขให้อบรมหลักสูตรวิชาชีพอย่างน้อย 2 หลักสูตร
ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า คือวันที่ 18 ต.ค. 2567 นี้ จะครบ 1 ปี การอยู่ในบ้านเมตตาของภูมิแล้ว แต่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่าเขาจะถูกปล่อยตัวหรือไม่ เนื่องจากยังประสบปัญหาเรื่องการอบรมหลักสูตรวิชาชีพให้ครบตามเงื่อนไขของศาล โดยล่าสุด ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางได้นัดฟังผลการเข้าแผนฟื้นฟูฯ ในวันที่ 15 ต.ค. นี้
ช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ภูมิประสบปัญหาหัวไหล่หลุดซ้ำอีก จากการออกกำลังกาย ทำให้เขาถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลจุฬาฯ หมอวินิจฉัยว่า เอ็นหัวไหล่ฉีกขาด ทำให้ต้องใช้เหล็กยึดไว้
ในช่วงเดือนกันยายน ที่ปรึกษากฎหมายยังได้เข้าเยี่ยมภูมิรวม 3 ครั้ง หลังประสบปัญหากับสุขภาพตนเองอย่างต่อเนื่อง ภูมิดูซูบผอมลง และแววตาโรยแรง เขาบอกว่ายังมีอาการป่วยอื่น ๆ เช่น ช่วงกลางเดือนมีอาการปวดหัว และตัวรุม ๆ ขึ้นมา ตอนแรกก็กลัวว่าแผลจะติดเชื้อ แต่สักสองสามวันก็เริ่มดีขึ้น หากก็ยังเป็นไข้ต่ำ ๆ ในช่วงกลางคืนอยู่
ในเรื่องแผลที่ใช้เหล็กยึดไหล่ไว้ ภูมิเล่าว่าบริเวณปากบาดแผลดูกว้างขึ้น เหล็กเริ่มขยับได้ มีน้ำหนองซึมออกมา แต่ไม่เยอะเท่าคราวที่แล้ว โดยมีพยาบาลเข้ามาทำแผลให้ทุกวัน แต่ที่หนัก คือเขามีอาการปวดแขนตลอดเวลา ปวดร้าวตุบ ๆ ขยับได้เฉพาะแขนท่อนล่าง
“ตอนนี้จะอาบน้ำก่อนลงมาทำแผล เพราะถ้าเกิดเผลอ แผลโดนน้ำ จะได้ล้างแผลไปทีเดียวเลย” ภูมิเล่าถึงเรื่องกิจวัตรประจำวันที่ต้องปรับตัว เพื่อให้ไม่กระทบกับแผลที่เกิดขึ้น
ภูมิเล่าถึงกิจวัตรประจำวันว่า ตอนนี้อยู่บนห้องกักตัวเป็นหลัก ไม่ได้ลงมาข้างล่าง ไม่ได้ร่วมกิจกรรมอะไร “ผมจะได้ออกก็ต่อเมื่อมีคนไปเบิกตัวลงมา” ซึ่งหลัก ๆ ก็มีคุณแม่ของภูมิที่มาเยี่ยม และมีที่ปรึกษากฎหมายไปเยี่ยมบ้าง
ต่อมาในช่วงกลางเดือนกันยายน ภูมิเล่าปัญหาอีกว่า เมื่อพยาบาลล้างแผลอยู่ เหล็กที่ยึดหัวไหล่หลุดออกมา น่าจะเพราะแผลมีหนอง เขาจึงได้ออกไปทำแผลใหม่ในวันที่ 19 ก.ย. ตอนหลังเขายังคงมีอาการชา ๆ ที่แผล แต่ไม่ค่อยปวดตลอดเวลาเหมือนช่วงแรกแล้ว โดยต้องกินยาฆ่าเชื้อยาวไม่น้อยกว่า 1 เดือนต่อไป
ในส่วนหลักสูตรฝึกวิชาชีพนั้น ภูมิยังคงอยู่ระหว่างเรียนหลักสูตรศิลปะอีก 1 หลักสูตร โดยในช่วงกลางเดือนกันยายนนั้น ครูเจ้าของหลักสูตรเห็นว่าเขาป่วย จึงไม่ได้ให้ร่วมทำกิจกรรม ทำให้การฝึกยังค้างคาอยู่
“ผมบอกไว้แล้ว ว่าอยากให้เบิกตัวลงมาทำชิ้นงาน เพราะต้องการจบหลักสูตรวิชาชีพตามคำสั่งศาล ผมพยายามทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ จริง ๆ หมอที่จุฬาฯ อยากให้ผมผ่าตัดเลย เพราะปล่อยไว้เดี๋ยวก็เกิดปัญหาแผลอักเสบติดเชื้อ แต่ผมขอหมอไว้ให้เอาเหล็กยึดไปก่อน เพราะผมไม่อยากต้องกักตัว หรือมีเงื่อนไขว่าทำชิ้นงานไม่ได้ แต่มันก็ดูมีอุปสรรค”
ภูมิถอนหายใจยาว และเงียบไปสักพักใหญ่ ก่อนพูดต่อ “ผมอยากให้ศาลเห็นความพยายามของผม นี่ใกล้วันจะครบกำหนดตามศาลนัดแล้ว ถ้าเกิดว่าผมจบอีก 1 หลักสูตรไม่ทัน แต่ผมเรียนจบ ม.3 แล้ว ม.6 ก็จบแล้ว รอรับใบประกาศสิ้นเดือนนี้ ซึ่งจริง ๆ ศาลไม่ได้สั่งให้เรียนตามหลักสูตรเรียนพื้นฐาน แต่ผมก็เรียนจบ อยากให้ศาลเห็นถึงความตั้งใจตรงนี้”
ในวันที่ 15 ต.ค. 2567 นี้ ก่อนครบ 1 ปีการถูกคุมขัง ศาลเยาวชนฯ ได้นัดหมายภูมิไปฟังผลการปฏิบัติตามแผนฟื้นฟูตามกำหนด ซึ่งเขายังมีปัญหาเรื่องการอบรมหลักสูตรวิชาชีพให้ครบ 2 หลักสูตรตามคำสั่งศาล ทำให้เกิดความกังวล เนื่องจากเขาจบหลักสูตรอย่างเป็นทางการ คือหลักสูตรการชงกาแฟไปหลักสูตรเดียว ก่อนประสบปัญหาด้านสุขภาพ ทำให้การฝึกหลักสูตรศิลปะยังค้างคาอยู่ หากศาลเห็นว่าปฏิบัติไม่ครบ อาจใช้ดุลยพินิจสั่งให้ขยายระยะเวลาของแผนฟื้นฟูออกไปได้ และเขาอาจถูกควบคุมตัวอยู่ในบ้านเมตตาต่อไปอีก
ในการเยี่ยมอีกครั้งช่วงปลายเดือนกันยายน ที่ปรึกษากฎหมายยังได้อัปเดตเรื่อง “อาม่า” ของภูมิ ที่ประสบอุบัติเหตุตกรถจักรยานขณะนำเข้าจอด ได้รับบาดเจ็บลูกสะบ้าตรงหัวเข่าแตก ต้องเข้าเฝือก ทำให้ภูมิมีความเป็นห่วงอาม่า ซึ่งเป็นคนดูแลเขาในช่วงที่คุณแม่ไปทำงานต่างประเทศก่อนหน้านี้
“ในเรื่องแย่ต้องมองหาเรื่องดี อาม่าจะได้พักผ่อน เพราะถ้าไม่ป่วยจริง ๆ อาม่าคงทำงานไม่เลิก” ภูมิบอก
ภูมิยังแจ้งในช่วงปลายเดือนว่า ตอนนี้เรื่องอบรมหลักสูตรศิลปะของเขาใกล้จบแล้ว เหลือการส่งชิ้นงานกับครู แต่ทางบ้านเมตตาแจ้งว่าอาจจะได้รับใบจบหลักสูตรไม่ทันนัดหมายของศาลในวันที่ 15 ต.ค. นี้ แต่เจ้าหน้าที่บ้านเมตตาก็ได้มาถ่ายรูปเขาไว้ เพื่อจะใช้ประกอบในรายงานว่าเข้าอบรมและจบหลักสูตรจริง ส่วนใบเรียนจบ ม.6 คงจะได้ในช่วงเดือนพฤศจิกายนเลย
ภูมิยังเล่าให้ฟังเกี่ยวกับกรณีที่เด็กหรือเยาวชนถูกสั่งมาตรการพิเศษเข้าบ้านเมตตา ตามมาตรา 132 วรรคสอง เช่น กำหนดระยะเวลา 1 ปี แต่อยู่ไปประมาณ 8 เดือน (คือรับโทษ 2 ใน 3 แล้ว) บ้านเมตตาสามารมีรายงานให้ยุติแผนฯ เสนอต่อศาล โดยแต่ก่อนศาลเยาวชนฯ จะสั่งปล่อยตามความเห็นของบ้านเมตตาได้ แต่ปัจจุบันเหมือนศาลจะสั่งให้เข้าแผนตามมาตรา 132 วรรคหนึ่ง ไปอีก 4 เดือน ซึ่งภูมิมีความเห็นว่าการเข้ามาตรการในวรรคหนึ่งต้องมีการวางเงินประกันตัว ก็เป็นปัญหาอยู่ (ดูประเด็นเรื่องมาตรา 132 วรรคหนึ่ง และวรรคสองนี้ ในบทสัมภาษณ์ “ป้ามล” ทิชา ณ นคร)
ในโอกาสที่วันที่ 4 ต.ค. นี้ เป็นวันเกิดของภูมิ เมื่อถามถึงสิ่งที่อยากได้หรือคาดหวังในขวบปีที่ 21 นี้ ภูมิตอบในทันทีว่า “อยากได้ความยุติธรรม อยากได้อิสรภาพ การที่ต้องมาอยู่ที่นี้เพราะการแสดงออก ผมมักตั้งคำถามอยู่บ่อยครั้งว่าสิ่งที่ได้รับนี้มันถูกต้องแล้วหรือเปล่า อิสรภาพที่ต้องสูญเสียไป ครอบครัวขาดโอกาสหลาย ๆ อย่าง ผมอยากออกไปใช้ชีวิต ออกไปดูแลครอบครัวแล้ว ผมหวังว่าของขวัญวันเกิดในปีนี้ คือความยุติธรรมและอิสรภาพ”
เขายังบอกเพิ่มเติมถึงสิ่งรูปธรรมที่อยากได้ หลังทราบว่ามีการจัดเวทีเกี่ยวกับคดีการเมืองในช่วงวันเยาวชนแห่งชาติที่ผ่านมาว่า “อยากได้พวกหนังสือสิทธิเด็ก อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ICCPR เด็ก ๆ ที่นี้สนใจเรื่องสิทธิตัวเอง แต่ไม่ค่อยมีหนังสือให้อ่านเรื่องพวกนี้” ภูมิบอก
.
ย้อนอ่านเรื่องราวของภูมิ
“ภูมิ หัวลำโพง” จากเด็กกู้ภัย สู่เยาวชนไทยที่ถูกดำเนินคดีความมั่นคง