27 พ.ค. 2567 เวลา 09.00 น. ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาในคดีของ ไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือ “แอมมี่ The Bottom Blues” และ “ปูน” ธนพัฒน์ (สงวนนามสกุล) นักกิจกรรม “ทะลุฟ้า” ซึ่งถูกฟ้องในข้อหา “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” และ “วางเพลิงเผาทรัพย์” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และมาตรา 217 จากกรณีถูกกล่าวหาว่าวางเพลิงพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 ด้านหน้าเรือนจำกลางคลองเปรมเมื่อเช้ามืดวันที่ 28 ก.พ. 2564 เฉพาะไชยอมร ยังถูกกล่าวหาในข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) จากการโพสต์ภาพเหตุการณ์ด้วย ศาลพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 (แอมมี่) รวม 4 ปี และจำเลยที่ 2 (ปูน) รวม 1 ปี ไม่รอลงอาญา ก่อนศาลอาญาให้ประกันระหว่างอุทธรณ์โดยไม่กำหนดเงื่อนไขใด ๆ
คดีนี้ เมื่อวันที่ 3 มี.ค. 2564 ไชยอมรถูกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ บริเวณที่พักแห่งหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยเป็นการจับกุมตามหมายจับของศาลอาญาที่ 429/2564 ลงวันที่ 2 มี.ค. 2564 เจ้าหน้าที่กล่าวหาว่า ไชยอมรได้กระทำความผิดฐาน หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ, ร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงฯ ไชยอมรได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา หลังถูกนำตัวไปขอฝากขัง ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวในชั้นสอบสวน ทำให้เขาถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เป็นเวลา 69 วัน ก่อนได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวออกมาต่อสู้คดี
ส่วนธนพัฒน์ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์นี้ด้วย เจ้าหน้าที่ได้ออกหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาที่ สน.ประชาชื่น เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2564 ก่อนจะได้รับการประกันตัวระหว่างสอบสวน โดยในชั้นศาล ทนายความได้ยื่นคำร้องขอให้โอนย้ายคดีไปที่ศาลเยาวชนฯ เนื่องจากเขาเพิ่งอายุ 18 ปี 9 วันในวันที่เกิดเหตุ แต่ศาลได้ยกคำร้องโดยอ้างเหตุว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยพ้นเกณฑ์เยาวชนตามกฎหมายแล้ว รวมถึงจำเลยมีสภาพร่างกาย สภาพจิต สติปัญญาและนิสัย ปกติสมบูรณ์สมวัย
ต่อมา ศาลได้มีคำสั่งให้รวมการพิจารณาคดีทั้งสองเข้าด้วยกัน ก่อนสืบพยานในวันที่ 23, 28 ก.พ. และ 1 มี.ค. 2566 โดยข้อต่อสู้ที่สำคัญของฝ่ายจำเลย คือ การเผาพระบรมฉายาลักษณ์เป็นการสื่อถึงนักโทษการเมืองที่ถูกคุมขังอยู่ แต่ไม่ได้มุ่งหมายหรืออาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ยิ่งไปกว่านั้น การเผาเป็นการแสดงออกทางการเมืองเพื่อสะท้อนความคิดเห็นทางการเมือง ไม่ได้สร้างความกระทบกระเทือนหรืออันตรายต่อตัวบุคคลพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด
ภายหลังการสืบพยาน จำเลยทั้งสองได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลอาญาส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 217 ที่บัญญัติว่า “ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 – 140,000 บาท” นั้น ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 และมาตรา 34 หรือไม่ ก่อนศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า บทบัญญัติดังกล่าวไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 26 และ มาตรา 34
ย้อนอ่านประมวลคดี: “เผารูป ≠ อาฆาตมาดร้าย” ประมวลการต่อสู้คดี ม.112 “แอมมี่-ปูน” กรณีถูกกล่าวหาวางเพลิงรูปหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ก่อนพิพากษา
วันนี้ (27 พ.ค. 2567) ณ ห้องพิจารณาคดีที่ 905 ศาลอาญา มีประชาชนและสื่อมวลชนอิสระจำนวนหนึ่งเดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษาและให้กำลังใจแอมมี่และปูน ก่อนเวลาประมาณ 10.30 น. ศาลเริ่มอ่านคำพิพากษามีใจความสำคัญโดยสรุปว่า
คดีนี้มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ขณะเกิดเหตุประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 พระบรมฉายาลักษณ์ของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ถือเป็นสัญลักษณ์แทนพระองค์ การนำมาประดิษฐานติดตั้งอยู่ในสถานที่ต่าง ๆ นั้น แสดงถึงความจงรักภักดีที่มีต่อพระองค์
การที่จำเลยอ้างว่า ที่ทำการเผานั้นไม่ได้หมายถึงการเผาพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์โดยตรง แต่เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เพื่อสื่อถึงนักโทษทางการเมืองที่ยังถูกคุมขังอยู่ ไม่ได้มีเจตนาอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และไม่ได้สร้างความกระทบกระเทือนหรืออันตรายต่อตัวบุคคลพระมหากษัตริย์แต่อย่างใดนั้น เป็นเพียงสิ่งที่จำเลยคิด แม้จะมีปิยบุตร แสงกนกกุล นักวิชาการด้านกฎหมายในฐานะพยานฝ่ายจำเลย เบิกความยืนยันว่า การกระทำของจำเลยเป็นเพียงการแสดงออกเพื่อสะท้อนความคิดเห็นทางการเมือง ไม่ได้มีเจตนาที่จะอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ด้วยเหตุดังกล่าว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา 112 แต่การจะพิจารณาว่าจำเลยมีเจตนาหรือไม่ ต้องพิจารณาภายในจิตใจของจำเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ดังนั้นจึงต้องดูที่กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนาเป็นหลัก
ซึ่งจากคำให้การของพยานฝ่ายโจทก์ เมื่อนำมาประกอบกับภาพถ่ายของจำเลยทั้งสอง และคำเบิกความของจำเลยทั้งสองเองว่า จำเลยได้เผาพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 จริงตามที่โจทก์ฟ้อง แต่เป็นเพียงการแสดงออกเพื่อเรียกร้องให้ปล่อยนักโทษทางการเมือง ย่อมแสดงให้เห็นว่า หากไม่ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของจำเลย จำเลยย่อมสามารถเผาหรือทำลายตัวพระมหากษัตริย์ได้ จึงถือเป็นการขู่เข็ญและเป็นการลดคุณค่าของตัวพระมหากษัตริย์
จำเลยที่ 1 ยังโพสต์รูปภาพที่ไฟกําลังลุกไหม้พระบรมฉายาลักษณ์ในบัญชีเฟซบุ๊ก และมีการพิมพ์ข้อความว่า “สื่อคงไม่กล้าออก มิตรสหายท่านหนึ่งแจ้งว่าเมื่อคืนเกิดเหตุไฟไหม้พระบรมฯ ที่หน้าเรือนจําคลองเปรม คนละ 1 แชร์แด่อิสรภาพ #ปล่อยเพื่อนเรา” ซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถพบเห็นได้ ย่อมชี้ให้เห็นว่าจำเลยเผยแพร่ภาพให้พระมหากษัตริย์เสื่อมเสียชื่อเสียง ซึ่งถือเป็นการดูหมิ่นองค์พระมหากษัตริย์ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และมาตรา 217 นอกจากนี้ เมื่อจำเลยที่หนึ่ง ได้โพสต์ภาพดังกล่าวลงสื่อสาธารณะ จึงถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) ด้วย
พิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, มาตรา 217 และจำเลยที่ 1 ยังมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมฯ มาตรา 14 (3) การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป
ฐานหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และฐานวางเผลิงเผาทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 217 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานหมิ่นประมาทกษัตริย์ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ลงโทษจำคุกคนละ 3 ปี จำเลยที่ 2 ขณะกระทำความผิดอายุ 18 ปี จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 3 ปี
จำเลยให้การเป็นประโยชน์ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละ 1 ใน 3 สำหรับจำเลยที่ 1 ฐานหมิ่นประมาทกษัตริย์ คงจำคุก 2 ปี ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ฯ คงจำคุก 2 ปี รวมโทษจำคุก 4 ปี ส่วนจำเลยที่ 2 ฐานหมิ่นประมาทกษัตริย์ คงจำคุก 1 ปี ไม่รอลงอาญา
ภายหลังการอ่านคำพิพากษา ประชาชนที่มาฟังการพิจารณาต่างเข้ามาสวมกอดและให้กำลังใจแก่ทั้งสองคน ก่อนทั้งสองถูกนำไปควบคุมตัวในห้องขังใต้ถุนศาล ต่อมา ทนายได้ยื่นคำร้องขอประกันตัวทั้งสองระหว่างอุทธรณ์
เวลาประมาณ 16.30 น. ศาลอาญามีคำสั่งอนุญาตให้ประกันแอมมี่และปูนระหว่างอุทธรณ์โดยไม่ได้ส่งให้ศาลอุทธรณ์สั่ง ให้วางเงินประกันสำหรับปูนจำนวน 50,000 บาท และสำหรับแอมมี่จำนวน 200,000 บาท โดยศาลไม่ได้กำหนดเงื่อนไขประกันอื่น ๆ เพิ่มเติม