วันนี้ (27 ก.ย. 64) เวลา 10.00 น. ศาลอาญารัชดาฯ นัดฟังคำสั่งกรณีทนายความยื่นคำร้องขอโอนย้ายคดีวางเพลิงเผารูปรัชกาลที่ 10 หน้าเรือนจำกลางคลองเปรม ของ “ปูน” ธนพัฒน์ (สงวนนามสกุล) ไปยังศาลเยาวชนกลางและครอบครัว หลังก่อนหน้านี้ ศาลได้นัดไต่สวนคำร้องไปเมื่อวันที่ 20 ก.ย. 64 และนัดฟังคำสั่งในวันนี้
>> นัดไต่สวนโอนย้ายคดีเผารูป ร.10 ของ “ปูน ธนพัฒน์” ศาลนัดฟังคำสั่ง 27 ก.ย. นี้
ที่ห้องพิจารณาคดี 903 ธนพัฒน์พร้อมกับมารดา และเพื่อนผู้ไว้วางใจ เดินทางมาฟังคำสั่ง ด้านธนพัฒน์ได้สวมเสื้อยืดสีดำพิมพ์ข้อความสีแดงอ่านว่า “ยกเลิก 112 ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์” หลังเมื่อวันนัดไต่สวนได้ใส่เสื้อพิมพ์ลายในข้อความเดียวกัน แต่เป็นสีขาวมาศาล
เมื่อทนายความและธนพัฒน์เข้าไปในห้องพิจารณาคดี ก่อนศาลออกพิจารณาคดีและอ่านคำสั่งว่าจะให้โอนย้ายคดีหรือไม่ เจ้าหน้าที่ศาลได้สอบถามทนายความถึงตารางนัดหมายเพื่อกำหนดวันนัดตรวจพยานหลักฐาน
เวลาประมาณ 10.10 น. ศาลออกพิจารณาคดี ก่อนที่พนักงานอัยการผู้เป็นโจทก์ในคดีนี้จะเดินทางมาถึงห้องพิจารณาในเวลาต่อมา
ศาลอ่านคำสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ขอให้มีการโอนย้ายคดีไปพิจารณาที่ศาลเยาวชนฯ ตามมาตรา 97 ของ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวฯ โดยศาลได้ให้เหตุผล ดังนี้
พิเคราะห์แล้ว หลักการดำเนินคดีอาญาแก่บุคคลทั่วไป คือ ถ้าหากอายุต่ำกว่า 18 ปีจะต้องไปดำเนินคดีที่ศาลเยาวชนและครอบครัว ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเยียวยา แก้ไข และฟื้นฟูเยาวชนผู้กระทำความผิด โดยใช้กระบวนพิจารณาแตกต่างจากการพิจารณาคดีอาญาธรรมดา
แต่ถ้าหากผู้กระทำผิดอายุมากกว่า 18 ปี กฎหมายถือว่ามีสติปัญญา วิจารณญาณ จึงต้องดำเนินคดีที่ศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีอาญาทั่วไป แต่ก็มีข้อยกเว้นตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธี พิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 ที่วางหลักไว้ว่า ถ้าบุคคลใดอายุไม่เกิน 20 ปีบริบูรณ์ได้กระทำความผิด ถ้าศาลพิจารณาแล้วว่า บุคคลนั้นยังมีสภาพร่างกาย สภาพจิต สติปัญญาและนิสัย เช่นเดียวกับเด็กหรือเยาวชน ก็มีอำนาจสั่งโอนคดีไปพิจารณาที่ศาลเยาวชนฯ ได้ โดยข้อยกเว้นนี้ต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบ เคร่งครัด และเหตุเหมาะสม เฉพาะตัวของจำเลย ประกอบด้วยเหตุผลตามกฎหมาย
เมื่อไต่สวนแล้วได้ความว่า เหตุการณ์ตามโจทก์ฟ้องเกิดขึ้นขณะจำเลยอายุ 18 ปี 9 วัน ถือว่าพ้นเกณฑ์เยาวชนตามกฎหมายแล้ว จึงต้องพิจารณาว่า จำเลยมีสภาพร่างกาย สภาพจิต สติปัญญาและนิสัย เช่นเดียวกับเด็กหรือเยาวชนหรือไม่
ทั้งนี้จากการไต่สวน จำเลยมีร่างกายปกติสมบูรณ์สมวัย สภาพจิตใจก็ไม่มีความผิดปกติที่แสดงให้เห็นชัดเจน ประกอบกัยขณะนี้กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ในโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี และมีความคิดจะลงทะเบียนเรียน pre degree ของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง แต่ยังไม่ได้ชำระเงินค่าลงทะเบียน และจำเลยได้เข้ามาอยู่ที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุ แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีความคิดที่ดี ช่วยเหลือตัวเองได้พอสมควร
นอกจากนี้ บุคคลที่จำเลยอยู่อาศัยด้วยที่กาญจนบุรีและมารดาของจำเลยยังเชื่อมั่นไว้ใจ ว่าจำเลยสามารถดูแลตัวเองได้ จึงยอมให้มาอยู่อาศัยที่กรุงเทพฯ ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า จำเลยสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ฉลาด รอบรู้ สามารถเรียนรู้ได้อย่างคนทั่วไป นอกจากนี้ มารดาของจำเลยได้เบิกความว่า จำเลยนั้นมีนิสัยดื้อเงียบ ฟังแม่แต่ไม่เถียง เรียนเก่ง จึงแสดงให้เห็นว่าจำเลยนั้นมีสติปัญญา สามารถเรียนรู้ได้สมกับวัยของจำเลย
เมื่อจำเลยไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลตุลาการเฉลิมพระเกียรติ สํานักงานศาลยุติธรรม เพื่อทําการตรวจวินิจฉัย แพทย์ได้ลงความเห็นว่า จำเลยมีอาการวู่วาม คล้อยตามความเห็นเพื่อน รับผิดชอบต่อสิ่งที่ตั้งใจได้แค่บางส่วน และวินิจฉัยว่า จำเลยนั้นมีพฤติกรรมและนิสัยสอดคล้องกับพฤติกรรมของเยาวชน
ทั้งนี้ ความเห็นแพทย์ที่วินิจฉัยว่านิสัยสอดคล้องกับพฤติกรรมของเยาวชนนั้น ศาลเชื่อว่า เป็นไปตามวัยของจำเลย ซึ่งเป็นวัยรุ่น อยู่ในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างวัยเด็กและผู้ใหญ่ เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ มีการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ต้องการการยอมรับ ซึ่งพฤติกรรมและการเลือกคบเพื่อนสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ตามวุฒิภาวะและอายุที่เพิ่มขึ้น หากได้รับคำแนะนำจากผู้ใกล้ชิด จึงยังไม่เห็นสมควรที่ศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีธรรมดาจะโอนคดีไปพิจารณาที่ศาลเยาวชนฯ
หลังศาลอ่านคำสั่งเสร็จสิ้น ธนพัฒน์ได้ลุกขึ้นและเดินไปยืนหน้าที่นั่งของผู้พิพากษาเพื่อขอแถลงถ้อยคำ ศาลชี้แจงก่อนที่จะให้ธนพัฒน์แถลง โดยกล่าวว่า การชุมนุมโดยสงบและเปิดเผยนั้นเป็นสิทธิที่ได้รับรองด้วยรัฐธรรมนูญ แต่วิธีการชุมนุมต้องนึกถึงตัวเองด้วย
ด้านธนพัฒน์ได้แถลงว่า ถึงตนจะอายุแค่ 18 ปี แต่ตนต้องการเรียกร้องความยุติธรรม ท่านก็เป็นตุลาการ หนึ่งในความอยุติธรรมที่ตนต้องการปฏิรูป โดยตนยืนยันจะปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ รวมไปถึงสถาบันตุลาการ ก่อนศาลจะกล่าวว่า ศาลมีอำนาจบังคับใช้แต่กระบวนพิจารณาในศาลเท่านั้น ศาลย้ำว่า ถึงแม้จะไม่ได้โอนย้ายคดีไปศาลเยาวชน แต่ผลตรวจจากโรงพยาบาลตุลาการเฉลิมพระเกียรตินั้นสามารถนำไปยื่นคำร้องให้ศาลใช้ดุลยพินิจลดโทษได้
ผู้พิพากษาองค์คณะอีกรายได้กล่าวว่า ขั้นตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นตอนการสืบพยาน ยังไม่ได้สอบถามคำให้การ และบอกธนพัฒน์ว่า ถ้าต้องการแถลงหรือพูดอะไรสามารถพูดในชั้นสืบพยาน คำพูดจะได้ปรากฏอยู่ในสำนวน พูดตอนนี้ไปไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร ขณะธนพัฒน์อธิบายว่า ต้องการพูดให้ศาลฟังและรับรู้เท่านั้น โดยศาลตอบกลับว่า ไม่ต้องพูดก็ได้ เพราะสามารถหาได้ตามอินเทอร์เน็ต
ทนายจำเลยแถลงว่า บุคคลอาจมีความสามารถเรียนรู้ได้ (IQ) แต่อาจอยู่ในภาวะการเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กไปสู่วัยผู้ใหญ่ โดยแพทย์ได้วินิจฉัยแล้วว่า ปูนนั้นมีพฤติกรรมเป็นเด็กหรือเยาวชน ซึ่งในนัดก่อนหน้านี้ศาลได้กล่าวว่า ถ้าหากใบรับรองแพทย์ชี้มาว่าอย่างไร ก็ให้ว่าไปตามนั้น
ศาลกล่าวแย้งทนายจำเลยว่า คำวินิจฉัยแพทย์ใช้ประกอบการวินิจฉัยเท่านั้น ขณะที่ผู้พิพากษาองค์คณะอีกรายได้กล่าวว่า ผู้พิพากษาหลักคดีนี้เคยอยู่ศาลเยาวชนมา 10 ปี ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าไม่ผิด เดี๋ยวศาลก็ยกฟ้อง หรือดูอัตราลดโทษให้ได้
ขณะทนายจำเลยแถลงอีกว่า ตนยังไม่ได้คิดไปถึงขั้นว่าจะยกฟ้องหรือไม่ ได้แต่นึกถึงว่าจะขอให้ศาลใช้ดุลยพินิจโอนย้ายคดีไปที่ศาลเยาวชน เพื่อประโยชน์ของลูกความเท่านั้น ด้านศาลยังคงย้ำว่า ใช้คำวินิจฉัยของแพทย์เพื่อประกอบการใช้ดุลยพินิจเท่านั้น เข้าใจว่าต้องการให้ลูกความได้รับสิทธิเต็มที่ แต่ให้นำกรณีนี้ไปประกอบการพิจารณาคดีในขั้นตอนต่อไป
หลังจากนั้น ศาลได้กำหนดนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 18 ต.ค. 64 เวลา 13.00 น. ส่วนกรณีที่โจทก์ได้ยื่นขอรวมคดีของปูนเข้ากับคดีของ “แอมมี่” ไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ ศาลได้ยกคำร้องไปแล้ว
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
แจ้งข้อหา “ม.112-217” เยาวชนอายุ 18 ปี คดีวางเพลิงเผาทรัพย์รูป ร.10 หน้าเรือนจำ